หกวันให้หลัง ฉู่ฉีเฟิงและองค์รัชทายาทหนานฮวาเดินทางสู่แคว้นฉู่พร้อมกัน
คืนนั้น เจิ้งตั๋วเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนทั้งสอง
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยการอวยพร แต่อย่างน้อยเมื่อดูไปแล้วนับได้ครึกครื้นพอสมควร
หลังจากงานเลี้ยงจบลง คนหนึ่งเดินข้างหน้าอีกคนเดินข้างหลังออกมาจากห้องโถง เดินมาถึงบริเวณลานบ้าน องค์รัชทายาทหนานฮวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ แล้วจึงถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านหญิงสวินหยางเดินทางมาพร้อมกับคังจวิ้นอ๋องด้วย แล้วทำไมหลายวันมานี้จึงไม่เห็นนางเลยเล่า?”
ฉู่ฉีเฟิงใช้หางตามองเขาแวบหนึ่ง ริมฝีปากคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “องค์รัชทายาทเอาใจใส่ต่อนางยิ่งนัก”
ชัดเจนยิ่งนักว่าคำพูดประโยคนี้มีความนัยอย่างอื่นแฝงอยู่
องค์รัชทายาทหนานฮวาย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ฉู่สวินหยางตกอยู่ในอันตรายในแคว้นฉู่ ทว่ากลับทำไม่รู้ไม่ชี้ พูดขึ้นราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “ระหว่างข้าและท่านหญิงอย่างไรก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนเก่า มีใจอยากจะทักทายต่อหน้าคงไม่เกินไปหรอก?”
ฉู่ฉีเฟิงไม่มีใจจะพูดอะไรมากมายกับเขา เพียงกล่าวว่า “องค์รัชทายาทรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องคุ้มกันท่านและคณะทูตหนานฮวาเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงอีก”
พูดแล้วก็สะบัดชายเสื้อคลุมเดินจ้ำอ้าวจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
องค์รัชทายาทหนานฮวามองเงาหลังของเขา ริมฝีปากค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา ด้านหลังเจิ้งตั๋วและคนที่มาอวยพรได้เดินตามหลังอกมา
เมื่อเห็นว่าเขายืนอยู่ในลานบ้าน เจิ้งตั๋วไม่เพียงแต่ประหลาดใจ ทั้งยังเดินเข้ามาด้วยความสงสัย “องค์รัชทายาททำไมจึงยังอยู่ที่นี่เล่า? ต้องการให้ข้าเรียกคนส่งท่านกลับห้องพักหรือไม่?”
“อ้อ ไม่ต้องหรอก” องค์รัชทายาทหนานฮวาพูดพร้อมกับถอนสายตากลับมา “กั๋วกงเดินทางมาแคว้นฉู่พร้อมคังจวิ้นอ๋อง ทำไมจึงได้ยินมาว่าท่านหญิงสวินหยางมาด้วย แต่หลายวันมานี้ไม่เคยพบหน้านางเล่า?”
“ท่านหญิงนั้นเดินทางมาด้วยกัน” เจิ้งตั๋วเอ่ยโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “แต่เหมือนกับจะมีเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยต้องไปจัดการ จึงได้แยกทางกับท่านอ๋องนานแล้ว ได้ยินว่า…ท่านหญิงอาจจะไม่กลับเมืองหลวงพร้อมกับพวกเรา”
ฉู่สวินหยางเดินมาเป็นพันลี้ถึงที่นี่ แล้วนางยังมีเรื่องส่วนตัวอันใดที่นี่?
องค์รัชทายาทหนานฮวาเกิดความสงสัยขึ้นในใจทว่าสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดใด เขาพูดคุยกับเจิ้งตั๋วอีกสองประโยคจึงได้แยกทางไป
ยามวิกาล
ไฟทางเดินทั้งสองข้างของห้องพักไม่ได้ดับทั้งหมด
องค์รัชทายาทหนานฮวานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะไม่มีสิ่งใดวางอยู่ นอกจากถ้วยน้ำชาวางอยู่ด้านขวามือของเขา น้ำชานั้นได้เย็นชืดไปหมดแล้วเพราะวางอยู่นาน สีของน้ำชเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ดูแล้วเหมือนจะขุ่นเล็กน้อย
เวลานี้เขาพิงพนักเก้าอี้เพื่อพักสายตา นิ้วมือกดอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ เคาะลงกับที่เท้าแขนเก้าอี้เป็นพักๆ
กระทั่งเสียงฆ้องยามสามเกิงดังขึ้นจึงได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากในลานบ้าน ไม่กี่นาทีให้หลัง หลี่เหวยผลักประตูเข้ามา
ค่ำคืนนี้หมอกด้านนอกหนาเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างที่เขาเดินทางมา เส้นผม คิ้ว ล้วนกลายเป็นสีขาว บนเสื้อผ้าปรากฏน้ำค้างเป็นชั้นๆ เมื่อเดินเข้าประตูมานั้นยังนำพาลมพัดเข้ามาด้วยระลอกหนึ่ง
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว ดวงตาเบิกกว้าง ทว่ากลับเอนกายลงไปพิงพนักเก้าอี้ เพียงเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”“ข้าไปสืบมาแล้ว เวลานี้ยังไม่ทราบร่องรอยของท่านหญิงสวินหยางขอรับ” หลี่เหวยตอบ เมื่อไปสอบถาม มีคนพูดว่าท่านหญิงสวินหยางเดินทางมาแคว้นฉู่สองครั้ง แต่ละครั้งไร้ซึ่งร่องรอยที่แน่นอน และมักจะอยู่ข้างนอกเพียงลำพังเป็นเวลานาน ดูเหมือน…แม้แต่คังจวิ้นอ๋องก็ยังไม่รู้ว่านางไปไหนขอรับ”
ท่านหญิงของราชวงศ์ที่เติบโตมาในห้องหับมิดชิด นางมักจะเดินทางไปกับบิดาและพี่ชายนั้นช่างเถิด แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ถูกตำหนิหรือควบคุม
“ข้างนอกต่างเล่าลือกันว่าองค์รัชทายาทซีเยว่ทั้งรักและตามใจนางอย่างยิ่ง นี่คงจะไม่ใช่เพียงคำเล่าลือสินะ” องค์รัชทายาทหนานฮวากล่าว มีความหงุดหงิดเล็กน้อย
จากนั้นเขาจึงเอียงหัวไปทางนอกหน้าต่างและครุ่นคิด
หน้าต่างบานนั้นเปิดออก แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมานั้น งดงามและสงบยิ่งนัก
“แคว้นฉู่ทั้งแคว้นไม่ได้กว้างใหญ่แล้วนางจะไปที่ไหนได้?” จากนั้นเนิ่นนานเขาจึงพูดขึ้น
หลี่เหวยได้แต่หลุบตาลงต่ำไม่ได้เอ่ยอันใด
องค์รัชทายาทครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นทนไม่ได้ที่จะนวดคลึงหัวคิ้วของตน
หลี่เหวยเห็นแล้ว สิ่งที่เขาอดทนเก็บงำไว้ในใจนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยออกมา “ฝ่าบาท ท่านจะทำตามที่ฮองเฮาสั่งมาจริงๆ หรือขอรับ”
“อืม?” สายตาขององค์รัชทายาทเย็นชา เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเป็นคำถาม
หลี่เหวยสบสายตากับเขา ในใจนั้นพลันกระตุกวูบ รีบก้มหน้าก้มตา จากนั้นจึงค่อยๆ มองกลับแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “หากข่าวที่ได้มาจากท่างซีเยว่เป็นความจริง เช่นนั้นชื่อเสียงของท่านหญิงสวินหยางนั้นไม่ใคร่จะดีนัก ลือกันว่านางถูกตามใจจนเคยตัวนั้นก็ช่างเถิด ทว่า ระยะนี้ข่าวลือเกี่ยวกับนางและเหยียนหลิงจวินแอบคบหากัน คำพูดเช่นนี้…”
หลี่เหวยนั้นคำนึงถึงความรู้สึกของนายท่านจึงได้พูดจาอ้อมค้อมเช่นนี้
ระยะนี้ แม้เหยียนหลิงจวินจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงตลอดเวลา แต่ข่าวที่บอกว่าฉู่สวินหยางเข้าออกจวนสกุลเฉินเป็นประจำนั้นเป็นเรื่องจริง ข้างนอกนั้นได้ลือกันมานานแล้ว
องค์รัชทายาทหนานฮวาได้ยินแล้ว แม้จะรู้สึกคาดไม่ถึงแต่มิได้ใส่ใจนัก ยังคงครุ่นคิดอย่างใจลอยอยู่พักหนึ่ง
หลี่เหวยเห็นแล้ว กลับตึงเครียดยิ่ง “ฝ่าบาท ไม่เพียงแต่ท่านหญิงสวินหยาง แม้แต่คังจวิ้นอ๋องยังไม่ถูกกับท่าน ฮองเฮาไม่คิดเช่นนี้ เดิมทีคิดจะเปิดแผ่นฟ้า โดยให้แคว้นเราแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ หากจะนำการแต่งงานเพื่อกระชับไมตรีระหว่างสองแคว้นเพื่อควบคุมเขาเอาไว้ในเวลานี้ เช่นนั้นท่านหญิงสวินหยางไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดขอรับ”
องค์รัชทายาทได้ยินแล้ว จึงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง…
เขายังคงเอนกายพิงลงบนพนักเก้าอี้ พูดลอยๆ ขึ้นว่า “นี่เจ้าไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม ที่จริง… เจ้ากลัวว่าข้ายังไม่ได้แต่งนางเข้ามา นางก็จะให้ข้าสวมหมวกเขียวแล้วละสิ?”
อำนาจของฉู่อี้อันแข็งแกร่ง และระหว่างฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินจะไม่มีใครเคยพบพวกเขาอยู่ด้วยกันแบบจังๆ ดังนั้นวันนี้พูดส่วนพูด ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นการพูดคุยไร้สาระลับหลังเท่านั้น ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้า
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สำหรับหญิงสาวในตระกูลชั้นสูงแล้วนั้น…
————————–