ชั่วพริบตา ก็ถึงเวลาเปิดตัว “พ่าหวังเปี๋ยจี” อย่างเป็นทางการแล้ว
นักแสดงทุกคนมาถึงก่อนกำหนด โดยเฉพาะหลิวเสี่ยวหนิง แม้ว่าตอนนี้เธอจะได้รับความนิยมบ้างแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่างเฉินจุนเหยียน และเธอก็รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสำคัญต่อบริษัทมากแค่ไหน ดังนั้นเธอจึงไม่ ไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย
ในฐานะประธานและผู้เขียนบทของบริษัท ซูฉิงเองก็มาควบคุมการผลิตด้วยตัวเอง เมื่อเธอเห็นหลิวเสี่ยวหนิงก็เดินเข้าไปทัก “เสี่ยวหนิง เตรียมตัวเป็นไงบ้าง?”
“อา…ประธานซู!” เมื่อกี้หลิวเสี่ยวหนิงยังคงท่องจำ เมื่อเธอได้ยินเสียงของซูฉิงก็หันไปพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย “ท่องไว้แล้วล่ะค่ะ ฉันท่องตอนอยู่บ้านตั้งหลายรอบ แต่ว่า…ก็ยังประหม่าอยู่เลยค่ะ”
ซูฉิงตบไหล่เธอเบาๆ และพูดปลอบ “ผ่อนคลายก่อนนะ ถ้าเล่นไปตามปกติก็ได้แล้วล่ะ เธอได้รับการรับรองจากหลายบริษัท ฉันเชื่อในความสามารถของเธอนะ”
“ค่ะ!”
หลิวเสี่ยวหนิงพยักหน้าอย่างมั่นคงและยิ้มให้ซูฉิง
เธอจะไม่ทำให้บริษัทผิดหวัง
หลังจากที่พนักงานทุกคนเข้าที่แล้ว ฉากก็ถูกบันทึก และภาพยนตร์ได้เข้าสู่การถ่ายทำทันที
ฉากแรกเป็นแนววรรณกรรม พูดถึงนางเอกที่รับบทโดยหลิวเสี่ยวหนิงวิ่งไปที่หลังเวทีของโรงละครและถามพระเอกที่รับบทโดยเฉินจุนเหยียน อีกทั้งเป็นการบอกถึงฉากไคลแม็กซ์ของละครทั้งหมด เป็นส่วนที่สำคัญมาก
ในฐานะนักแสดง เฉินจุนเหยียนได้จดจำถึงทักษะของภาพยนตร์และการแสดงไว้ด้วยใจแล้ว หากเทียบหลิวเสี่ยวหนิงกับเขา แม้ว่าจะยังห่างชั้นกัน แต่ดีที่อารมณ์ความรู้สึกของทั้งสองนั้นเข้ากันได้ดี
“คัตๆๆ!”
ผู้กำกับที่นั่งหลังเครื่องสังเกตทุกย่างก้าวของนักแสดง และเมื่อเขาเห็นคำถามสุดท้าย จึงตะโกนให้หยุด
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดกับหลิวเสี่ยวหนิงด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เสี่ยวหนิง เวลานี้น้ำตาคุณไม่ควรไหลเร็วเกินไปนะครับ ต้องมีความรู้สึกอดกลั้นด้วย อารมณ์ยังไม่ถึง มาๆๆ เรามาถ่ายกันอีกรอบนะ ถ่ายทำอีกรอบครับ”
นี่เป็นครั้งที่สามที่ผู้กำกับสั่งคัตแล้ว
หลิวเสี่ยวหนิงรู้สึกท้อแท้ ตอนเธอได้รับบทนางเอกของละครเรื่องนี้ ใจเธอเกิดความกดดันมาก ตอนนี้ก็ถูกผู้กำกับสั่งคัตติดต่อกันจนเริ่มสับสนมากขึ้น
“ได้ค่ะ…”
เฉินจุนเหยียนที่สังเกตเห็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาดูสติไม่อยู่กับตัว เขาจึงยิ้มและคุยกับผู้กำกับ “ผู้กำกับครับ คุณถ่ายตั้งนานแล้ว ให้เราพักสักหน่อยสิครับ จะได้จัดการอารมณ์ความรู้สึกด้วย”
หลังจากที่ผู้กำกับตกลง ทั้งสองก็กลับไปที่พื้นที่พักผ่อน และเฉินจุนเหยียนก็เดินถือบทไปหาหลิวเสี่ยวหนิง
“เมื่อกี้อารมณ์ไม่ดีเหรอ?”
หลิวเสี่ยวหนิงเหลือบมองเขา ยิ้มอย่างไม่เต็มใจและส่ายหัว
เฉินจุนเหยียนยิ้มและลากเส้นบนบทสคริปต์
สถานที่ให้เธอเห็น “อันที่จริงฉากเมื่อกี้ไม่ได้ยากขนาดนั้น เดิมทีนางเอกเป็นสาวชนบทที่สงบเสงี่ยมแต่แน่วแน่ แม้ว่าเธอจะทะเลาะกับพระเอก อารมณ์ก็จะไม่ขึ้นขนาดนั้น เอางี้ เธอเคยมีแฟนไหม หรือเคยทะเลาะกับแฟนเก่าบ้างไหม?”
หลิวเสี่ยวหนิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “มีค่ะ…”
“ถ้างั้นอีกเดี๋ยวคิดว่าฉันเป็นแฟนเก่าเธอนะ จินตนาการว่าเราทะเลาะกันจนทำเธอไม่กล้าร้องไห้ แค่อยากจะจัดการความข้องใจกับฉัน ความรู้สึกนั้นก็ใช้ได้แล้ว จำไว้ล่ะ ต้องอดกลั้นอารมณ์ไว้ อีกเดี๋ยวฉันจะกระตุ้นอารมณ์เธอให้ ถ้าเกิดร้องไห้ออกมาไม่ได้ก็มองหาแสงหรือการกระตุ้นจากภายนอก นี่คือทางเลือกสุดท้าย”
ขณะที่เฉินจุนเหยียนพูด เขาก็แสดงท่าทางกับหลิวเสี่ยวหนิงไปด้วย เพื่อสร้างความกระตือรือร้นของผู้หญิงคนนี้
เมื่อหลิวเสี่ยวหนิงเห็นรุ่นอาวุโสเป็นแบบนี้ อารมณ์ขุ่นมัวก็หายไปและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ ขอบคุณผู้อาวุโสเฉินนะคะ! รบกวนคุณแล้วล่ะค่ะ—”
“กำลังคุยอะไรกันน่ะ?”
ซูฉิงเดินเข้ามานั่งข้างเฉินจุนเหยียน ก่อนจะหันหน้าถามพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
หลิวเสี่ยวหนิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อกี้รบกวนผู้อาวุโสเฉินช่วยเรื่องละครน่ะค่ะ เพราะฉันทำไม่ค่อยดีเท่าไร…”
เฉินจุนเหยียนส่ายหัว “ไม่หรอก เสี่ยวหนิงตั้งใจมาก แค่บกพร่องนิดหน่อยเอง เราเป็นความสัมพันธ์แบบต้องร่วมมือกัน ขอบคุณอะไรกันล่ะ”
พูดจบเขาก็มองไปยังซูฉิงและยื่นบทให้ “โอ้จริงสิซูฉิง ฉันอ่านบทถึงพระเอกแล้วนะ…ฉันมีปัญหานิดหน่อย…”
ไม่นานซูฉิงกับเฉินจุนเหยียนก็คุยถึงบทสคริปต์กันอย่างเผ็ดร้อน ทั้งยังสื่อสารความคิดเห็นที่มีต่อสคริปต์ได้อย่างราบรื่นอีกด้วย ทั้งยังมีมุมมองที่คล้ายกันมากมาย
หลิวเสี่ยวหนิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ฟังด้วยความสนใจ แต่ว่าไม่นานสายตาเธอก็มองไปยังเฉินจุนเหยียน
ซุปเปอร์สตาร์เฉินทั้งหล่อ อ่อนโยน แถมยังเต็มใจช่วยเหลือคนใหม่อีกด้วย…
ดูเหมือนเธอจะเริ่มชอบเขาขึ้นมาแล้วล่ะ
แต่หากคนที่มีตาก็จะเห็นว่าเฉินจุนเหยียนนั้นชอบพี่ซูฉิง แถมทั้งสองยังคุยกันรู้เรื่อง เขาจะมามองเธอได้ยังไง?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลิวเสี่ยวหนิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากที่ซูฉิงปรากฏตัว เฉินจุนเหยียนก็เอาแต่คุยเรื่องบทกับเธอคนเดียว ไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด
ร่องรอยของการสูญเสียเกิดขึ้นในดวงตาของเธอและรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไป เมื่อนึกได้อย่างนั้นเธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นและไปฝึกฝนที่อื่น
…
ถ่ายทำในช่วงบ่าย เพราะหลิวเสี่ยวหนิงได้รับคำแนะนำจากเฉินจุนเหยียน ฉากของพวกเขาจึงผ่านในครั้งเดียว จากนั้นนางเอกเหลือเพียงไม่กี่ซีนเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงถ่ายเฉินจุนเหยียนเป็นหลักในตอนบ่าย และเนื่องจากเขามีประสบการณ์มาก ไม่นานก็ถ่ายทำเสร็จ
หลังจากเสร็จงาน เฉินจุนเหยียนก็รอซูฉิงตรงประตู ทันทีที่ทั้งสองเดินออกจากสถานที่ถ่ายทำ นักข่าวจำนวนมากก็เข้ามาล้อมรอบพวกเขา พร้อมสาดแสงแฟลชใส่พวกเขาไม่หยุด
ซูฉิงรีบเอื้อมมือออกมาบัง และเฉินจุนเหยียนก็หันไปพยายามปกป้องเธอ และผู้ช่วยก็คอยเคลียร์ทางข้างหน้าให้
ในขณะนั้น นักข่าวได้ยกไมค์เพื่อถามคำถาม
“คุณซูฉิง ไม่ทราบว่าความคาดหวังและมุมมองของคุณกับภาพยนตร์เรื่อง “พ่าหวังเปี๋ยจี” ที่ผลิตโดยสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์คืออะไรคะ?”
“คุณซูฉิงคะ ได้ยินมาว่าหนังเรื่องนี้เป็นงานที่ทางสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์กำลังจะเลือกส่งไปเทศกาลหนัง คิดว่าตัวเองมีข้อดีอะไรบ้างคะ?”
คำถามและคำถามเล่าที่ส่งมาได้ถูกซูฉิงปฏิเสธไปทั้งหมด แต่จากนั้นก็มีคำถามน่าสงสัยถูกโยนเข้ามา
“คุณซูฉิงคะ ได้ยินมาว่าคุณเลิกกับท่านประธานตระกูลฮ่อกรุ๊ปแล้ว คุณมีแผนต่อไปอย่างไรคะ? เฉินจุนเหยียนเป็นศิลปินภายใต้ของคุณและมักจะทำงานร่วมกัน ดูเหมือนว่าคุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณเฉินดีมากเลยนะคะ
คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาไหมคะ?”
ซูฉิงที่สงบในตอนแรก แต่หลังจากได้ยินคำถามนั้น เธอก็ขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปาก