บทที่ 408 ความลับ

บทที่ 408 ความลับ

เซียวเฟิงถึงกับชะงักไปเลย เขาไม่มีชื่ออยู่ในอันดับยอดฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นเขตฮัวเซียหรือในเขตฮันกึล!

เรื่องมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ได้ เพราะต่อให้เลเวลหรืออุปกรณ์ของเขาจะไม่เพียบพร้อมเหมือนแต่ก่อน แต่เซียวเฟิงก็มั่นใจมาก ๆ ว่าตัวเองสามารถเอาชนะเทพเจ้าสายฟ้าและซีเหมินชุยเสวียได้

แต่ถึงอย่างนั้น ทำไมเขาจึงไม่ได้อยู่ในอันดับที่ว่านี่กันนะ?

ตอนนี้มีเพียงเหตุผลเดียวที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ นั่นคือ เขาไม่ได้อยู่ในเขตฮัวเซีย อันดับยอดฝีมือในเขตฮัวเซียจึงไม่ได้แสดงรายชื่อของเขา ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ใช่ผู้เล่นของเขตฮันกึลด้วย เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ในอันดับยอดฝีมือของเขตฮันกึลด้วยเช่นกัน

สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มันช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน ดังนั้นตอนนี้ หากชายหนุ่มต้องการที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในอีเวนต์เซิร์ฟเวอร์ครั้งที่ 2 เขาจึงจำเป็นต้องทำให้ตนเองติด 5 อันดับในลานประลอง อย่างไรก็ตาม ตัวเขายังไม่สามารถกลับไปยังเขตฮัวเซียได้ เพราะงั้น สนามประลองของเขตฮันกึลจึงเป็นทางออกสุดท้าย

อันที่จริง เมื่อตอนที่ระบบอันดับได้รับการอัปเกรด เซียวเฟิงเองก็ติดอยู่ในอันดับยอดฝีมือนี้ด้วย และข้อมูลที่แสดงให้เห็นก็ทำเอาทั่วทั้งฮัวเซียต้องตกตะลึงกันไปเลย!

นั่นเพราะพลังต่อสู้ของเขาที่อยู่ในอันดับยอดฝีมือนั้น สูงถึง 100,000 หน่วยไปแล้ว! มันสูงเป็นสิบเท่าของผู้ที่อยู่อันดับ 2 อย่างไนท์คูนเนอร์เลยด้วยซ้ำ!

ผู้เล่นจำนวนมากมายในเขตฮัวเซียต่างสะพรึงกลัวในเวลานี้ พวกเขาต่างมองว่าเจ้าแห่งฮีลเลอร์นั้นน่าเกรงขามมาก ๆ ขนาดเจ้าตัวไม่ได้ล็อกอินเข้าเกมเป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาก็ยังคงอยู่ในอันดับ 1 ของอันดับยอดฝีมือที่เพิ่งจะอัปเดตใหม่แม้เลเวลของเขาจะเริ่มหลุดออกจากในอันดับเลเวลแล้วก็ตาม

การที่ชายหนุ่มสามารถมีพลังต่อสู้มากเป็นสิบเท่าของอันดับ 2 ได้นั้น มันก็สมควรแล้วที่เขาจะถูกยกย่องให้เป็นผู้เล่นอันดับ 1 ในเขตฮัวเซีย!

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เซียวเฟิงกลับมาล็อกอินและปรากฏตัวขึ้นในเขตฮันกึลโดยไม่คาดคิด อันดับ 1 ที่อันดับยอดฝีมือของเขตฮัวเซียก็หายไปในทันที กาลเวลาเปลี่ยนไป เรื่องของเซียวเฟิงก็เริ่มมีคนพูดถึงน้อยลง จนกระทั่งกลายเป็นเพียงบทสนทนาเพียงครั้งคราวในบางโอกาสเท่านั้น

เหตุผลที่เหล่าผู้เล่นในเขตฮัวเซียไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เป็นเพราะในเวลาเดียวกันกับที่เซียวเฟิงหายไปจากอันดับ 1 นั้น ชุดอาร์ติแฟคท์ของเขาก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่มันอยู่กับไนท์คูนเนอร์แทน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคาดว่าเจ้าแห่งฮีลเลอร์คงจะแอบล็อกอินและส่งชุดเกราะนี้ให้เธอแบบลับ ๆ และเพราะในอันดับยอดฝีมือไม่มีเขาอยู่อีกต่อไปแล้ว มันเลยทำให้ผู้คนหันไปสนใจไนท์คูนเนอร์แทนว่าเธอคนนี้จะสามารถแข็งแกร่งเหนือเจ้าแห่งฮีลเลอร์ได้หรือไม่หลังจากสวมชุดอาร์ติแฟคท์นี้แล้ว

อีเวนต์จะเริ่มในอีกสามวัน มันไม่ได้เป็นเรื่องยากนักสำหรับเซียวเฟิงถ้าอยากจะเร่งให้ตนเองขึ้นเป็นท็อป 5 อันดับลานประลอง แต่ปัญหาก็คือ ถ้าเขาใช้เวลาทั้งหมดเพื่อเร่งไต่อันดับในลานประลอง มันจะทำให้การเก็บเลเวลของชายหนุ่มต้องถูกชะงักลง

แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เซียวเฟิงจำเป็นต้องเร่งมือ ยังไงเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวเองโหมทำอะไรสักอย่างอยู่แล้ว

เซียวเฟิงเริ่มกำจัดซอมบี้รัตติกาลที่อยู่รอบตัวเขาหลายสิบตัว ไม่ผิดจริง ๆ ป่ารัตติกาลแห่งนี้เหมาะกับการเก็บเลเวลของเขามาก ๆ

ที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยมอนสเตอร์ธาตุมืดที่เลเวลสูงกว่า 40 อยู่เต็มไปหมด พวกมันทำให้เซียวเฟิงได้ค่าประสบการณ์ในประมาณมาก ติดแค่ว่ามอนสเตอร์ในเขตนี้ไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ หากเทียบกับเหล่านักรบโครงกระดูกบนภูเขากระดูกที่หนาเกรอะอยู่เต็มเขาเป็นสวรรค์แล้ว ซอมบี้รัตติกาลในป่ารัตติกาลนี้ก็นรกดี ๆ นี่เอง

ที่หลบซ่อนของเซียวเฟิงนั้นเป็นเหมือนแคมป์เก่า ๆ ที่ถูกพังไปแล้ว มันเหมือนค่ายทหารเมื่อกาลก่อนที่ซึ่งถูกปล่อยร้างและถูกกาลเวลากัดกินในที่สุด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอื่นอยู่ที่นี่นอกเสียจากพวกซอมบี้รัตติกาล

“อะไรน่ะ?”

ทันใดนั้น สายตาของเซียวเฟิงก็เหลือบไปเห็นมุม ๆ หนึ่งในค่ายนั้น ดูเหมือนว่าจุดนั้นจะเป็นส่วนของศูนย์บัญชาการ ที่ซึ่งเป็นอาคารที่ถูกดูแลรักษาไว้อย่างดีที่สุดภายในค่าย ด้านในอาคารดังกล่าวมีเศษหินที่แตกกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเซียวเฟิงจริง ๆ ก็คือตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้บนหินเหล่านั้นต่างหาก

เขารีบเดินเข้าไปยังจุดเหล่านั้นและใช้เท้าปัดเศษฝุ่นดินที่ปกคลุมมันอยู่ออก ใช่จริง ๆ สิ่งที่ถูกสลักไว้บนหินที่แตกเหล่านั้นคือตัวอักษร และแม้ว่ามันจะสึกกร่อนไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังพอจะสามารถจับใจความได้บ้าง

“…วิหารที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้… เฮียรอนแห่งจักรวรรดิอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือ…คำสั่งที่ได้รับ คือการเข้าโจมตีทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…”

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจคำสั่งของผู้เร้นกายในความมืด…ทั้ง ๆ ที่ข้าเป็นถึงราชาแห่งซอมบี้…แต่ตำแหน่งผู้เร้นกายในความมืดภายในกองทัพกลับสูงกว่าข้าเป็นอย่างมาก…”

“เมื่อคืนก่อน…แสงสว่างจุติลงมาใกล้ ๆ ค่ายของข้า…ความแข็งแกร่งระดับนั้น จะต้องเป็นเทวทูตที่มาจากวิหารแน่ ๆ มันสร้างบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ให้เผ่าพันธุ์แห่งความมืดของพวกข้า…”

“ยามที่ผู้เร้นกายในความมืดไปตรวจสอบ…เขาสามารถกลับมาได้โดยไร้ซึ่งบาดแผล…ข้าไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของการต่อสู้เลยเสียด้วยซ้ำ…”

“ข้าได้พบกับลิชคิง…และคุยเกี่ยวกับความลับบางอย่างกับเขา…แต่…”

เซียวเฟิงพยายามคุ้ยเขี่ยบนพื้นดินเพื่ออ่านข้อความเหล่านี้และจับใจความให้ได้ แต่ก็มีเพียงหินบางส่วนเท่านั้นที่พอจะอ่านได้ ส่วนที่เหลือมันแตกเสียจนไม่สามารถอ่านคร่าว ๆ ได้เลย

แต่ถึงแม้ว่าประโยคบนแผ่นหินเหล่านี้จะไม่สมบูรณ์ เขาก็ยังพอจะเข้าใจได้ถึงความลับอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่ระบุเอาไว้ภายในนี้!

ซึ่งมันคือ ระหว่างวิหารแห่งแสงและเผ่าพันธุ์แห่งความมืด ทั้งสองฝ่ายนี้ มีความสัมพันธ์บางอย่างด้วยกัน!

สิ่งนี้ทำให้เซียวเฟิงสนใจไม่น้อยเลย จากหลาย ๆ บันทึกก่อนหน้า มันบ่งบอกให้เขารับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างวิหารแห่งแสงและทัพแห่งความมืดนั้นค่อนข้างแปลกมากจริง ๆ เหมือนกับที่เซียวเฟิงเคยวิเคราะห์และคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ การปรากฏตัวของทัพแห่งความมืด ย่อมเกี่ยวพันกับวิหารแห่งแสงเสมอ! และทุกครั้งมันก็ทำให้วิหารแห่งแสงสามารถหยั่งรากลึกลงไปในดินแดนแห่งพระเจ้าได้ด้วย!

“เร็วเข้า! ฉันเจอหมอนั่นแล้ว! มันอยู่นี่! ส่งสัญญาณเร็ว!”

อย่างไรก็ตาม ความคิดของเซียวเฟิงก็ต้องถูกสะกัดไว้ก่อนเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้เล่นคนอื่น

เมื่อหันกลับไปมอง เซียวเฟิงก็พบกับกลุ่มผู้เล่นที่กำลังพากันโถมเข้ามาในซากค่ายร้างนี้ คนเหล่านั้นจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ตื่นเต้นและกังวล แถมยังเอาแต่ยืนเว้นระยะห่างไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกด้วย

“ระวังตัวไว้ด้วย! เจ้านี่แข็งแกร่งมาก ๆ! พลังโจมตีมันสูงเกินกว่าที่พวกเราจะรับไว้ได้! พวกเราไม่มีทางล้มมันได้อย่างแน่นอน!”

“ใช่แล้ว! เรียกทุกคนมาล้อมมันไว้! พวกเรามีหน้าที่ตามตัวมันอย่างเดียว! ห้ามต่อสู้ เพราะยังไงก็ไม่ชนะ!”

“ใช่ ๆ คอยจับตาดูไว้ให้ดีก็พอ! เมื่อไหร่ที่เขามาเราค่อยถอย! การตามหาตัวหมอนี่น่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! ห้ามปล่อยให้มันหนีไปได้เด็ดขาด!”

“มันเป็นถึงอดีตอันดับ 1 ในเขตฮัวเซียเลย เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตฮัวเซีย! บางทีอาจจะมีแค่คิมจงฮัน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตฮันกึลเท่านั้นที่จะสามารถสู้กับมันได้!”

กลุ่มผู้เล่นของฮันกึลนี้มีประมาณแปดถึงเก้าคน และทุกคนต่างก็จ้องมาที่เซียวเฟิงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก พวกเขาทำเหมือนจะวิ่งเข้ามาแต่ก็ไม่กล้าเข้า ดูทรงแล้วถ้าหากเซียวเฟิงหนี คนเหล่านี้ก็คงจะวิ่งไล่ตามเขาต่อแน่ ๆ

เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าพวกคนจากฮันกึลจะตามหาตัวเขาเจอเร็วขนาดนี้ เขาอุตส่าห์หนีเข้ามาจนเกือบจะถึงศูนย์กลางของป่ารัตติกาลนี้แล้ว และคิดว่ากว่าพวกผู้เล่นฮันกึลจะตามเจอก็น่าจะเที่ยง ๆ บ่าย ๆ นู่น แต่นี่กลายเป็นว่าพวกนี้มาถึงตั้งแต่ยังเช้าตรู่

แต่เพราะตอนนี้เซียวเฟิงกำลังสนใจค่ายร้างที่เขาหลบอยู่นี้มากกว่า ดังนั้นเขาจึงอยากจะหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในนี้เพิ่ม อย่างน้อย ๆ ก็อยากจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับที่นี่ก่อน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่มีเวลามาวุ่นวายกับผู้เล่นที่ตามตัวเขาเจอ ผลลัพธ์คือพวกคนเหล่านี้จำเป็นต้องถูกกำจัด

ไม่ถึง 3 นาที ผู้เล่นแปดถึงเก้าคนก็กลายเป็นศพนอนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

พวกเขาเหล่านี้พยายามรักษาระยะห่างจากเซียวเฟิงอยู่จริง ๆ และมันได้ผล ต่อให้มีคนของเขาถูกเซียวเฟิงฆ่าตายไป ผู้เล่นที่ยังเหลือก็จะรีบหนีไปให้ไกลขึ้นเพื่อที่จะมีชีวิตรอด และคอยตามตัวเซียวเฟิงไปเรื่อย ๆ ยึดตามสภาพของเซียวเฟิงที่ไร้ซึ่งอุปกรณ์ประจำตัวในตอนนี้ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะฆ่าผู้เล่นเหล่านี้ทั้งหมด

แต่ความยากนั้นก็หายไป แผนของผู้เล่นฮันกึลที่วางไว้มันสมบูรณ์หากไม่ติดว่าเซียวเฟิงมียูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ตัวใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาข้าง ๆ กายเขา

ยูนิคอร์นที่ได้ชื่อว่าเร็วมากกว่าสัตว์ขี่ตัวอื่น ๆ และด้วยความเร็วระดับนี้ มันก็ทำให้โอกาสรอดของผู้เล่นคนอื่น ๆ กลายเป็นศูนย์ด้วย

“เสี่ยวเสวีย ไปกันเถอะ”

หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้นอีก เซียวเฟิงก็กระโดดขึ้นหลังเสี่ยวเสวียอีกครั้งและไปจากที่นี่ เพราะผู้เล่นเหล่านั้นเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ของเขาไปหมดแล้ว อีกไม่นานจะต้องมีผู้เล่นของเขตฮันกึลจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาที่นี่แน่ ๆ

เซียวเฟิงไม่อยากจะโยนตัวเองเข้าไปในดงปัญหาตอนนี้ อนึ่งก็เพราะหอกลองกินัสยังติดคูลดาวน์อยู่ เมื่อไร้ซึ่งสกิลระดับตำนานแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่มีสกิลอื่นที่สามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและรุนแรงเพื่อจัดการคนหมู่มากได้ ดังนั้นมันจะเป็นปัญหาไม่น้อยถ้าเขาเลือกที่จะปะทะตอนนี้

ฮี้!

เสี่ยวเสวียเงยหน้าร้องด้วยความองอาจ จากนั้นก็สยายปีกสีขาวที่อยู่บนหลังออกกว้าง ด้วยคำสั่งของเซียวเฟิง ร่างของยูนิคอร์นยักษ์ตนนี้ก็ทะยานสู่ฟากฟ้าในระดับที่ไม่สูงมากเพื่อสอดส่องหาจุดที่มีมอนสเตอร์มารวมกันอยู่ภายในป่ารักตติกาลแห่งนี้

ซึ่งในขณะเดียวกัน เซียวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเปิดดูค่าสถานะต่าง ๆ ของเสี่ยวเสวี่ยไปด้วย เมื่อครั้งที่อัญเชิญออกมาจากมิติสัตว์เลี้ยง เขาสังเกตเห็นได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือระดับของเซียวเฟิงที่เหมือนจะพัฒนามาอีกหนึ่งระดับ กลายเป็นสัตว์ขี่ระดับเทพเจ้าไปแล้ว เซียวเฟิงเกือบจะลืมไปแล้ว เขาไม่รู้ด้วยว่าทำไมจู่ ๆ เสี่ยวเสวี่ยถึงมีระดับเพิ่มขึ้นได้เช่นนี้

เสี่ยวเสวีย (ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์)

เลเวล : 36

ประเภท : สัตว์ขี่

เจ้าของ : แด๊ด

ระดับ : เทพเจ้า

ธาตุ : แสง

พลังชีวิต : 7,300 / 7,300 หน่วย

มานา : 7,300 / 7,300 หน่วย

พลังโจมตีกายภาพ : 230 – 230 หน่วย

พลังโจมตีเวทมนต์ : 230 – 230 หน่วย

พลังป้องกันกายภาพ : 205 – 205 หน่วย

พลังป้องกันเวทมนตร์ : 205 – 205 หน่วย

ความสามารถพิเศษของเผ่าพันธุ์ : จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์, จิตวิญญาณแห่งลม

จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (เลเวล 2) : ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ได้รับการอวยพรจากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่จะช่วยเพิ่มค่าป้องกันกายภาพและเวทมนตร์อีก 70% นอกจากนี้ สกิลควบคุมหรือดีบัฟ จะไม่มีผลกับมัน

จิตวิญญาณแห่งลม (เลเวล 2) : ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ได้รับการอวยพรจากจิตวิญญาณแห่งลม ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันจะเพิ่มขึ้นตามเลเวล และสามารถเพิ่มได้มากสุดถึง 4,600%

สกิล : การขี่ระดับสูง, จิตวิญญาณแห่งความโชคดี, จิตวิญญาณแห่งการอวยพร, จิตวิญญาณแห่งสายลม, จิตวิญญาณแห่งท้องนภา, เฮอร์ริเคนโหมกระหน่ำ, สายลมแห่งการรักษาศักดิ์สิทธิ์, จิตวิญญาณแห่งทุ่งแสงสว่าง, สายเลือดแห่งคุณธรรม

การขี่ระดับสูง (เปิดใช้งานเมื่อเลเวล 10) : สามารถทำให้ขี่มันได้ในการต่อสู้ แต่หากทำเช่นนี้ พลังชีวิตของสัตว์เลี้ยงจะใช้คู่กับผู้เป็นเจ้าของ เมื่อใดที่รับความเสียหายรุนแรง พลังชีวิตของมันจะลดจนเหลือ 1 แต้มแต่จะไม่ตาย ความเสียหายที่เกินกว่าพลังชีวิตของสัตว์ขี่จะรับไหว จะถูกส่งไปให้เจ้านายแทน

จิตวิญญาณแห่งความโชคดี (เลเวล 2) : เพิ่มค่าความโชคดีของผู้เป็นนาย ปริมาณที่เพิ่มจะขึ้นอยู่กับเวเวล ค่าความโชคดีที่เพิ่มขึ้น ณ ปัจจุบันคือ 7 แต้ม

จิตวิญญาณแห่งการอวยพร (เลเวล 2) : เพิ่มค่าสถานะพื้นฐานของผู้เป็นนายทั้ง 5 สถานะ ปริมาณที่เพิ่มจะขึ้นมีค่าเป็นสองเท่าของเลเวลปัจจุบัน

จิตวิญญาณแห่งสายลม (เลเวล 2) : หลังจากที่สั่งใช้งานสกิลแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้นอีก 200% เป็นเวลา 60 วินาที คูลดาวน์ 30 นาที

จิตวิญญาณแห่งท้องนภา (เลเวล 2) : ได้รับความสามารถในการบิน มีความเร็วในการเคลื่อนที่เพียง 60% เมื่อเทียบกับบนพื้นดิน นอกจากนี้ การบินจะใช้มานา 10 หน่วยตามระยะทางและเวลา ไม่มีคูลดาวน์

เฮอร์ริเคนโหมกระหน่ำ (เลเวล 1) : เลือกพื้นที่เป้าหมายเพื่อวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ขณะที่วิ่ง ความเร็วจะเพิ่มขึ้นช้า ๆ และหลังจากที่ถึงเป้าหมาย จะทำให้ศัตรูที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเสียหายและติดสถานะมึนงง

สายลมแห่งการรักษาศักดิ์สิทธิ์ (ยังไม่เปิดใช้งาน) : ???

จิตวิญญาณแห่งทุ่งแสงสว่าง (ยังไม่เปิดใช้งาน) : ???

เลือดคุณธรรม (ยังไม่เปิดใช้งาน) : ???