ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 50-1 เกาะฝูอวี้ (9)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ฮูหยินตงฟางเผยรอยยิ้มบางชี้ที่หูตน ออดอ้อนฉอเลาะว่า “ท่านพี่ดูให้ดีๆ”

 

 

ตงฟางชิงฉีได้แต่ดูให้ดี ก็ไม่พบอันใดแปลกประหลาด “เจ้าต้องการให้ข้าดูอันใด?”

 

 

ใบหน้านางบึ้งตึง มีท่าทางโมโหอยู่บ้าง กล่าวว่า “ท่านพี่ไม่ใส่ใจข้าสักนิด! คนเขาทำต่างหูไข่มุกที่หูหายไป เป็นที่ท่านพี่มอบให้ข้า เหลือแค่ข้างเดียว”

 

 

ยามนี้ตงฟางชิงฉีรู้สึกว่าหูนางข้างนั้นว่างเปล่า อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ “ยังคิดว่าเจ้าพูดถึงอะไร ต่างหูหล่นได้อย่างไร ยังจำได้ไหมว่าหล่นที่ไหน”

 

 

ฮูหยินตงฟางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มกล่าวว่า “วันก่อนยังเห็นอยู่ คิดว่าเมื่อวานข้าไปหยิบสุราในอุโมงค์ใต้ดิน น่าจะหล่นที่นั่น ท่านพี่ไปหาเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงดีอกดีใจไปเป็นเพื่อนฮูหยินนานแล้ว แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมจึงได้ตอบสนองเชื่องช้าอยู่สักหน่อย ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้ายังมีงานต้องจัดการ เจ้าไปเองเถอะ”

 

 

ฮูหยินตงฟางแสร้งทำทีไม่พอใจ ดึงแขนเสื้อเขาแสดงท่าทีออดอ้อน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาถึงกับเหมือนลืมทะนุถนอมหยกงาม ผลักไหล่นางเบาๆ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าเหลวไหล ข้ามีงานต้องทำ” กล่าวจบเขาก็หยิบกุญแจเหล็กนิลที่เอวยัดใส่มือนาง “เจ้าไปหาเองเถิด ตอนออกมาก็อย่าลืมใส่กุญแจด้วย”

 

 

 นางรับกุญแจมา ยิ้มตาหยีเป็นประกายวาว กล่าวอ่อนโยนว่า “วางใจเถอะ ท่านทำงานไปเถอะ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยสิบขวบ”

 

 

กล่าวจบก็หันกายจะจากไป พลันได้ยินเสียงเขาดังขึ้นด้านหลัง “ชิงหรง”

 

 

“อา?” นางหันกลับไป

 

 

เขาเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีอันใด เจ้า…อย่าเอาแต่เที่ยวเล่น”

 

 

 

 

 

*****

 

 

 

 

 

ตั้งแต่เสวียนจีได้กระบี่เปิงอวี้มา เรื่องที่มักจะทำก็คือจ้องมองเหม่อลอย เหม่อสักพัก จากนั้นยิ้มเซ่อซ่า ยิ้มเสร็จก็เหม่อต่อ

 

 

ระยะนี้อวี่ซือเฟิ่งอยู่กับนางเช้าค่ำ รู้ว่านางเหม่อเมื่อใด ก็ไม่สนใจผู้ใดทั้งนั้น ดังนั้นก็จะไม่ไปสนใจนาง เขาก็มีงานสำคัญต้องทำ และต้นเหตุที่ทำให้ปวดหัวก็คือหน้ากากเปลือกไม้อมตะที่ซ่อนอยู่ในถุงในอกเสื้อ

 

 

รองเจ้าตำหนักมาถึงเกาะฝูอวี้แล้ว เขาไม่มีหนทางหลบเลี่ยงได้อีกแล้ว วันนี้มีข้ออ้างไม่พบ พรุ่งนี้ก็ต้องพบ เขาไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร ยิ่งไม่รู้จะบอกกล่าวกับผู้ใดอย่างไร

 

 

แต่ตอนนี้พวกตู้หมิ่นหัง เฉินหมิ่นเจวี๋ย ก็มาเกาะฝูอวี้ มีคนคอยคุยกับเสวียนจีแล้ว เฉินหมิ่นเจวี๋ยเห็นเสวียนจีเอาแต่จ้องมองกระบี่เปิงอวี้แล้วก็ยิ้มเซ่อซ่า อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องเล็กชอบกระบี่เปิงอวี้ขนาดนี้หรือ จ้องมองได้ทุกวัน หรือว่ากำลังพูดกับมัน”

 

 

เสวียนจียิ้มแย้ม ลูบคลำกระบี่ไปมาเบาๆ เป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “อืม…ไม่รู้ทำไม เหมือนมีวาสนากับมันเป็นพิเศษ ราวกับเกิดมาก็เป็นของข้า”

 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดี อาวุธตนเองต้องเลือกจนพอใจ แต่ว่าเจ้าเป็นเจ้านายกระบี่เปิงอวี้ได้ ทำเอาข้าตกใจจริงๆ นะ” เขาหันกลับไปมองตู้หมิ่นหังยิ้มกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้ ศิษย์พี่ใหญ่ก็เคยลองใช้มันมาระยะหนึ่ง”

 

 

เสวียนจีมองไปทางตู้หมิ่นหังอย่างแปลกใจ เขายิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้า “อาจารย์เคยเอากระบี่นี่ออกมาให้ข้าลอง น่าเสียดายพลังข้าไม่เข้ากับมัน ไม่เปล่งพลังกระบี่เช่นกัน ดังนั้นได้แต่คืนอาจารย์ไป”

 

 

นางได้ยินว่าคนมากมายใช้ไม่ได้ ตนเองเท่านั้นที่ใช้ได้ ยามนี้รู้สึกได้ใจจนจมูกเชิดขึ้นฟ้าไปแล้ว คว้ากระบี่เปิงอวี้มาลูบไปลูบมาหลายสิบรอบ ฝุ่นเล็กน้อยก็ไม่ปล่อยให้เล็ดรอดหลุดตา

 

 

นางแอบรู้สึกว่าราวกับตนเองเคยผ่านสถานการณ์เช่นนี้มา กระบี่ในมือส่องประกาย ไอเย็นแผ่ปกคลุม มือนางถือผ้าขาวเช็ดถูไปมารอบแล้วรอบเล่า ตัวกระบี่ถูกนางขัดถูจนไม่มีฝุ่นสักนิด ทุกวันนางจะมาขัดถู เพราะทุกวันตัวกระบี่จะจับมีรอยโลหิตจับตัวมากมาย…

 

 

พลันหยุดมือ นางได้สติคืนมา มองมือตนเองนิ่งอึ้งไ ปมือนางกำลังคว้าแขนเสื้อทำท่าเหมือนขัดถูกระบี่วิเศษ

 

 

เสวียนจีอดรู้สึกพร่าเลือนไม่ได้

 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยยังคงยิ้มกล่าวว่า “งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ศิษย์น้องเล็กยังไม่ถึงวัย อีกห้าปี เจ้ากับศิษย์น้องหลิงหลงนำกระบี่ต้วนจินเข้าร่วม งานชุมนุมปักบุปผาน่าเป็นใต้หล้าของเจ้าสองคนแล้ว”

 

 

ผู้ใดจะรู้ว่าพอเอ่ยถึงหลิงหลง ไม่เพียงเขาเอง ทุกคนเองก็แอบทอดถอนใจ พวกจงหมิ่นเหยียนยังมาไม่ถึงเกาะฝูอวี้ เสวียนจีเข้าใจดี พวกเขายิ่งช้า ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นไปได้มากว่าประสบอันตรายใหญ่หลวง แต่ตนเองกลับทำอะไรไม่ได้ การรอคอยเป็นรสชาติที่ยากทนรับไหวโดยแท้

 

 

สุดท้ายยังคงเป็นเฉินหมิ่นเจวี๋ยที่ทนบรรยากาศอึดอัดไม่ไหว เสนอให้ทุกคนออกไปชมทิวทัศน์เกาะฝูอวี้ ทุกคนจึงได้ฝืนระงับอารมณ์เป็นกังวลลง เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งรับหน้าที่นำทาง เขาสองคนอยู่เที่ยวบนเกาะมาได้สองสามวันแล้ว ได้ชมทิวทัศน์ทั้งเกาะไปหมดนานแล้ว รู้ว่าที่ไหนงามที่สุด

 

 

“ข้าพาพวกท่านขึ้นไปบนเขา ที่นั่นงดงามที่สุด มองเห็นทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง พวกท่านต้องไม่เคยเห็นสถานที่งดงามเช่นนี้แน่”

 

 

เสวียนจีเผยรอยยิ้มบางกวักมือเรียกพวกเขา ดอกซ่อนกลิ่นหลังใบหูนางดอกนั้นยังคงสวยสดงดงาม ไม่ได้แห้งเ**่ยวลงแม้แต่น้อย

 

 

ทุกคนขยับก้าวเดินตามพวกเสวียนจีสองคนขึ้นไปยังเขาตอนเหนือ ระหว่างทางได้ชมผีเสื้อเริงระบำ นกกระเรียนเหินเวหา บนเขายังมีป่าเขาผืนใหญ่ มีดอกไม้ป่าหลากสีสันแทรกตัวอยู่ ความงามพิเศษน่าหลงใหลเคลิบเคลิ้ม มักมีฝูงกวางน้อยปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ไม่ก็ม้าตัวน้อย บ้างก็กำลังกินใบไม้ บ้างก็เล็มต้นหญ้า เห็นคนมาก็ไม่กลัว กลับเข้ามาคลอเคลียใกล้ชิดเลียมือตะกายเอว ดูเหมือนสนิทกันมาก

 

 

พอถึงยอดเขา เป็นดังที่เสวียนจีว่าไว้ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีคราม ทะเลมรกตส่องประกาย ยามคนเราได้อยู่ท่ามกลางภาพนี้ ก็รู้สึกได้ว่าตนเองช่างเล็กนิดเดียว ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายเปิดกว้างขึ้นมาทันที ราวกับใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องทุกข์ใจอันใด ท่ามกลางฟ้าและดินอันงดงามกว้างใหญ่ ยังมีเรื่องใดที่คนเราต้องใส่ใจเป็นทุกข์หรือ

 

 

ตู้หมิ่นหังชื่นชมกล่าวว่า “เมื่อก่อนก็เคยมาเกาะฝูอวี้ ถึงกับไม่รู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้ด้วย พวกเจ้าสองคนพบสมบัติล้ำค่าแล้ว”

 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยก้าวขึ้นไปยืนบนหินก้อนใหญ่ที่สูงที่สุดอย่างรวดเร็ว มองทะเลกว้างไกลพลางโบกมือสุดแรง ตะโกนดัง คลื่นเสียงถูกเสียงคลื่นลมพัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะแหะๆ หันกลับไปกวักมือเรียก “พวกเจ้าก็มานี่สิ! มีเรื่องทุกข์ใจอันใด ก็ตะโกนออกไปดังๆ สะใจยิ่ง!”

 

 

เสวียนจีก็โดดขึ้นไปเลียนแบบเขา สองมือป้องปากเป็นเหมือนเป่าแตร พลางตะโกนสุดแรง “อา! หลิงหลง! ศิษย์พี่หก! หรูอี้! พวกเจ้ารีบมาเร็ว!”

 

 

นางตะโกนจนแผ่นหลังชุ่มเหงื่อ รู้สึกปลอดโปร่งดังคาด ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นในอกราวกับมลายหายไปในพริบตา

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขาเล่นกันสนุก ก็โดดขึ้นไปบ้าง ป้องมือไปที่ริมฝีปาก ทำท่าเหมือนจะตะโกน แต่กลับไม่ตะโกนออกมา เขาปล่อยมือลง ปล่อยให้ลมทะเลพัดเอาผมยาวดำขลับของเขาสะบัดไปมา รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างถูกลมพัดกลืนไปกับสายลม

 

 

เสวียนจีหันกลับไปกวักมือเรียกตู้หมิ่นหัง “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านก็เอาด้วยสิ”

 

 

เขายิ้มส่ายหน้า “ไม่…ข้าไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ…”

 

 

ไม่มีจริงหรือ เขาหลุบตาลง บางทีอาจมีเพียงเขาที่รู้

 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยกับเสวียนจีหันไปตะโกนใส่ทะเลใหญ่อยู่เป็นนาน เหนื่อยจนเหงื่อผุดเต็มหน้า ท้องก็เริ่มหิวแล้ว กำลังจะเอ่ยว่ากินอะไรกันหน่อย พลันเห็นเชิงเขามีคนมากันสองสามคน ล้วนเป็นชายในชุดครามพร้อมหน้ากากอสุรา ในมือหัวหน้าผู้นั้นถือพัดขนนกพัดโบกอยู่เป็นระยะ ให้ความรู้สึกสูงส่งอยู่เล็กน้อย

 

 

พออวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขา สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ค่อยๆ โดดลงจากก้อนหินเงียบๆ เข้าไปคุกเข่ากล่าวว่า “ศิษย์คารวะรองเจ้าตำหนัก”

 

 

รองเจ้าตำหนักผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าคือซือเฟิ่ง? ทำไมหน้ากากเจ้าหายไปอีกแล้ว ครั้งนี้อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเจอมารปีศาจ หน้ากากถูกทำพังอีก”

 

 

กล่าวจบ สายตาเขากวาดไปยังใบหน้าทุกคนบนยอดเขา สุดท้ายไปหยุดที่ใบหน้าเสวียนจี เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็จำได้ว่าดรุณีน้อยงดงามราวบุปผาเบื้องหน้าคือผู้ใด เป็นเด็กหญิงที่โต้เถียงกับเจ้าตำหนักต่อหน้าทุกคนเมื่อสี่ปีก่อน

 

 

ยามนี้เขาพลันนิ่งอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะดัง พัดในมือโบกไปมา กล่าวว่า “ที่แท้เช่นนี้เอง โชคเจ้าดีมากนะ นางเป็นคนปลดออก?”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ

 

 

เสวียนจีเห็นคนประหลาดสวมหน้ากากพวกนี้ทำอวี่ซือเฟิ่งตกที่นั่งลำบากอีก จึงรีบวิ่งเข้าไป เสียงดังกล่าวว่า “พวกท่านจะตำหนิซือเฟิ่งไม่รักษากฎอีกใช่ไหม หน้ากากเขาถูกข้าปลดออกเอง ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา ท่านมาลงโทษข้าเถอะ!”

 

 

รองเจ้าตำหนักใช้พัดป้องปากไว้ หัวเราะเสียงทุ้มเบาๆ สองเสียง กล่าวเบาๆ ว่า “แม่นางไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อ ข้าไหนเลยจะกล้าลงโทษ อืม เป็นเจ้าปลดออกจริงด้วย…เจ้าปลดออก…” เขาพลันปรบมือดังทีหนึ่ง หัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “ปลดได้ดี! ปลดได้ดี! ซือเฟิ่ง ข้ายินดีกับเจ้าด้วย! หน้ากากปลดออกได้อย่างราบรื่น เจ้าเป็นคนแรกของตำหนักหลีเจ๋อเรา”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบไม่กล่าวอันใด

 

 

เสวียนจีฟังน้ำเสียงเขา ไม่เหมือนคนพวกนั้นที่ครั้งก่อนท่าทางโกรธแค้น จึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอก ยิ้มกล่าวว่า “มีอันใดไม่ราบรื่น ปลดได้สบาย กล่าวเช่นนี้แปลว่าปลดหน้ากากก็ไม่ใช่ความผิดแล้ว? รู้อย่างนี้ข้าเห็นหน้าก็ปลดเลยดีกว่า! ไยต้องรอมานานเพียงนั้น”

 

 

พัดในมือรองเจ้าตำหนักผู้นั้นตีหน้ากากเบาๆ เอาแต่หัวเราะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นหัวเราะวาจาพรั่งพรูเปิดเผยของเสวียนจี หรือว่าหัวเราะอวี่ซือเฟิ่งที่ในที่สุดก็ปลดหน้ากากออกได้ แม้ว่าเขาเองก็เป็นชาย แต่ท่าทางราวสตรี ดูท่าทางรู้สึกแปลกใจมาก ครั้งนี้เขาถูนิ้วมือเรียวงามไปมา เผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ต้องรอมานานเพียงนั้น…ไม่รอนานอีกหน่อย ไม่เช่นนั้นไยกล่าวว่าทนทุกข์ก่อนจึงลิ้มรสหวานล้ำเล่า คนทิ้งถิ่นกำเนิดมักจะต้องทนรับทุกข์ทรมานสักหน่อย”

 

 

ที่เขาว่ามาหมายความว่าอย่างไร เสวียนจีงุนงงเล็กน้อย ตำหนักหลีเจ๋อยุ่งยากจริง ระเบียบเยอะ กฎก็มาก แม้แต่วาจาก็วกวน ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขากล่าวอันใดกันแน่

 

 

รองเจ้าตำหนักโบกพัดไปมา สุดท้ายตีเข้าที่แขนเสื้อทีหนึ่ง กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าก็หมดภารกิจสมหวังแล้ว คุกเข่าคำนับเช่นนี้ก็ไม่ต้องแล้ว ลุกขึ้นเถิด ชีวิตข้างนอกไม่ง่าย เจ้าเองก็ต้องระมัดระวัง วันหน้าหากประสบอุปสรรคใด แม้ว่าไม่อาจกลับไปกลับถิ่นกำเนิด แต่ก็อย่าได้ลืม ไม่ว่าอย่างไรตำหนักหลีเจ๋อยังคอยปกป้องอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคำนับรับคำนอบน้อม ค่อยๆ ยืนขึ้น เห็นชัดว่าเขาตื่นตระหนก สองมือสั่นเทา เป็นนานกล่าวอันใดไม่ออกสักคำ