ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 50-2 เกาะฝูอวี้ (9)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีวิ่งไปข้างกายเขา คล้องแขนเขา ยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง ตอนนี้ดีเลย ไม่มีผู้ใดมาตำหนิลงโทษเจ้าอีกแล้ว เจ้าวางใจได้แล้วกระมัง”

 

 

เขายกมุมปาก ฝืนยิ้มเล็กน้อย อืมขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “รองเจ้าตำหนัก ศิษย์ขอตัวก่อน”

 

 

เขาคว้าแขนเสื้อเสวียนจี หันหลังจะลงเขาราวกับกำลังหลบเลี่ยงสิ่งที่น่ากลัวอันใด พลันได้ยินรองเจ้าตำหนักผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า “เอ๋ เดี๋ยวก่อน ดูความจำข้าสิ ลืมไปได้ ในเมื่อหน้ากากเจ้าปลดออกแล้ว เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ ควรคืนให้ตำหนักหลีเจ๋อ!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสะดุ้งทันที พลันปล่อยมือเสวียนจี ตามองไปข้างหน้านิ่งงันอย่างน่าประหลาด เป็นนานก่อนจะฝืนยิ้มกล่าวว่า “ขอรองเจ้าตำหนักโปรดอภัย ตอนศิษย์ปะทะกับจิ้งจอกม่วงที่เขาเกาซื่อซาน หน้ากากถูกนางแย่งไปได้ โยนลงหน้าผาลึกไปแล้ว”

 

 

เขาโกหก! เสวียนจีมองเขางุนงง ในใจพลันรู้สึกเป็นลางไม่ค่อยดีนัก

 

 

“หายไปแล้ว?” เสียงรองเจ้าตำหนักสูงขึ้นหนึ่งระดับ ลูกตาพลันกลิ้งกลอกไปมา พริบตาก็ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็แล้วไป หายแล้วก็หายไป ซือเฟิ่ง อย่างไรเจ้าก็ยังคงเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ กับแม่นางที่มิใช่ญาติสนิทอันใด ไม่ควรเอาแต่คอยตามข้างกายนาง เจ้าควรไปกับพวกเรา อีกสองวันกลับตำหนักหลีเจ๋อสักครั้ง ไปรายงานตัวกับเจ้าตำหนักให้เรียบร้อย แล้วค่อยออกมาก็ไม่สาย”

 

 

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งซีดขาว กัดริมฝีปากแน่น แววตาราวกับค่ำคืนมืดมิดถึงขีดสุด มองไม่เห็นที่ลึกที่สุด เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “ศิษย์…รับทราบ”

 

 

เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีเห็นเขาเผยอารมณ์เช่นนี้ออกมา ราวกับสิ้นหวังหมดหวัง เจ็บปวดกับไร้หนทางผสมผสานเข้ากัน สุดท้ายกลายเป็นอะไรที่บอกไม่ถูกผสมกันอยู่ในแววตาเขา ลึกๆ ลงไป ราวกับดูดซับเอาจิตวิญญาณมนุษย์ตามลงไปด้วย

 

 

ในใจนางพลันตกใจ พึมพำว่า “ซือเฟิ่ง…?”

 

 

เขาหันกลับไปมองนางเงียบๆ ยังเป็นแววตาเช่นนั้น เริ่มตั้งแต่แสงอาทิตย์งดงามงามและสายลมตอนบ่ายมา เขาก็ใช้แววตาเช่นนี้มองจ้องนาง หญ้าเขียวมรกต ท้องฟ้าสีคราม โลกมนุษย์แสงสีเสียงวุ่นวาย เขาล้วนไม่มอง มองเพียงนาง มองเพียงนางผู้เดียว

 

 

ยามเขายกมือลูบไล้ ใบหน้าพลันร้อนผ่าว นิ้วมือราวกับวาดไล้กระเบื้องที่ประณีตอย่างที่สุด ค่อยๆ ไล้ริมฝีปากแดง คิ้วงามของนาง ราวกับใช้มือมาสัมผัสรูปโฉมนางสลักลงไปในความทรงจำ

 

 

“เสวียนจี” เสียงเขาทุ้มต่ำ อ่อนโยนอย่างที่สุด ราวกับลมวสันต์ในเดือนสาม “ข้าจากไปชั่วคราวสักสองสามวัน เจ้าดูแลตัวเองให้ดี รู้ไหม ต้องดูแลตัวเองให้ดี”

 

 

นางยังคงไม่เข้าใจ ในเมื่อจากไปสองสามวัน เหตุใดแววตาเขาจึงได้ลึกซึ้งราวกับจะต้องจากกันนิรันดร์

 

 

เขาพลันเขยิบเข้าใกล้นาง แตะริมฝีปากเข้าที่ใบหูนางแผ่วเบา พึมพำกล่าวว่า “ข้าบอกความลับเจ้าเรื่องหนึ่ง ต้องรู้ว่าเป็นคนนั้นยากที่สุด แต่เจ้า…เป็นคนที่ทำให้ข้ายินยอมพร้อมใจ”

 

 

เขาก้มหน้าบรรจงจุมพิตใบหน้านางเบาๆ ราวกับลมทะเลเค็มเฝื่อนพาดผ่าน เสวียนจีสูดลมหายใจลึก ตอนเงยหน้ามองเขา เขาก็ตามรองเจ้าตำหนักลงเขาไปแล้ว

 

 

ไม่อาจปล่อยเขาไป

 

 

ในใจนางพลันราวกับน้ำบ่าไหลทะลัก ความรู้สึกที่รุนแรงโหมกระหน่ำ

 

 

หากเขาไปแล้ว วันหน้านางก็จะไม่ได้พบเขาอีกแล้ว

 

 

ชายหนุ่มที่มักมีรอยยิ้มบางราวบุปผา ชายหนุ่มที่มักจะพูดคุยกับนางอย่างอดทน ชายหนุ่มที่บางครั้งหน้าแดงไร้วาจา ชายหนุ่มที่รู้อะไรมากมายที่นางไม่รู้

 

 

ไม่อยากให้เขาจากไป ไม่อยากเลยจริงๆ

 

 

ตู้หมิ่นหังเข้ามาประคองนางไว้ ถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “เสวียนจี พวกเราไปกันเถอะ เจ้าอย่าได้ยุ่งเรื่องตำหนักหลีเจ๋ออีกเลย”

 

 

นางไม่ได้ยิน เอาแต่ปัดมือเขาออกเบาๆ รีบไล่ตามไป ตะโกนว่า “รอก่อน!”

 

 

คนประหลาดสวมหน้ากากหลายคนตรงหน้าหยุดลง รองเจ้าตำหนักโบกพัดเสียงดังไปมา เผยรอยยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “แม่นาง เจ้าคิดจะต่อปากโต้เถียงเช่นครั้งก่อนอีกหรือ”

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า ค่อยๆ บรรจงกล่าวว่า “เปล่า ข้ามาบอกพวกท่าน อีกสองสามวันข้าจะไปตำหนักหลีเจ๋อรับซือเฟิ่ง”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันสะดุ้ง ไม่กล่าวอันใด

 

 

รองเจ้าตำหนักกลอกตาไปมา ยังคงยิ้ม “แม่นางน้อยเอ๋ย เจ้าก็ควรรู้กฎธรรมเนียมตำหนักหลีเจ๋อ สตรีไม่อาจไปได้”

 

 

“เช่นนั้นข้าจะรออยู่ข้างนอก!” นางขัดเขาเสียงดัง “อย่างไรหากเขาไม่ออกมา ข้าก็จะรอต่อไป รอจนเขามา”

 

 

พัดในมือรองเจ้าตำหนักในที่สุดก็หยุดพัด หลังหน้ากากฉายแววตาเยียบเย็นที่ทำให้คนต้องขนลุก ชายชุดครามด้านหลังหลายคนรีบก้าวขึ้นหน้ามาทันที หากถูกเขายกมือห้ามไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “แม่นาง น้อย ข้าไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนเจ้าตำหนัก เจ้าอย่าได้โต้เถียงอีก”

 

 

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าก็ไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนซือเฟิ่ง ท่านอย่าได้บีบบังคับข้า”

 

 

“บังอาจ!” ชายชุดครามด้านหลังหลายคนพากันตวาดเสียงดุดัน คิดจะก้าวเข้าใส่ในทันที เสวียนจีกุมกระบี่เปิงอวี้แน่น รู้สึกเพียงว่าใจเต้นแรง พลังวัตรในกายราวกับเป็นหนึ่งกับกระบี่เปิงอวี้ หน้าอกพลันมีกระแสคลื่นหนึ่งม้วนหอบขึ้นมาอย่างไร้ขอบเขต

 

 

“เอ๋?!” รองเจ้าตำหนักส่งเสียงแปลกใจขึ้นเสียงหนึ่ง รีบยกมือรั้งคนด้านหลังไว้ เขาอึ้งมองเสวียนจีแต่หัวจรดเท้า จากเส้นผมไปปลายนิ้ว ราวกับนางพลันเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง

 

 

เป็นนานพัดในมือเขาจึงได้พัดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนบรรยากาศอึดอัดกดทับรุนแรงจะพลันมลายหายไปในพริบตา เขาใช้พัดตีไหล่อวี่ซือเฟิ่ง หัวเราะกล่าวว่า “ก็ได้ แม่นางน้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้า เจ้าก็ไปกับนางชั่วคราวก่อนแล้วกัน”

 

 

เอ๋? ไยเขาจึงได้รับปากปล่อยตัวง่ายเพียงนี้ได้ เสวียนจียังคงไม่ทันได้ตั้งสติ มือลูบผมไปมา หรือว่ารองเจ้าตำหนักผู้นี้จริงๆ แล้วก็เป็นคนดีในใต้หล้าคนหนึ่ง

 

 

จนอวี่ซือเฟิ่งเดินมาข้างกายนาง กุมมือนางไว้แน่น นางจึงได้สติว่านี่เป็นความจริง ดีใจจนแย้มยิ้มกว้างสีหน้าเบิกบาน “ที่แท้รองเจ้าตำหนักเป็นคนดี! ขอบคุณรองเจ้าตำหนัก!”

 

 

รองเจ้าตำหนักส่งเสียงหัวเราะน่าแปลก ตีเข้าที่หน้ากากสองที ก่อนจะกล่าวว่า “คนดีน่ะรึ ก็ไม่แน่ เจ้าเป็นบุตรสาวเจ้าสำนักฉู่ ข้าจะล่วงเกินได้อย่างไร ศิษย์เราซือเฟิ่งได้รับเกียรติเป็นคนสำคัญของเจ้า ก็นับว่าเป็นวาสนาเขา แต่ทว่าพูดจริงๆ แล้วเจ้าสองคนก็มิใช่ญาติสนิทอันใด…เอาเช่นนี้แล้วกัน อีกหลายเดือนกว่าจะงานชุมนุมปักบุปผา รอเจ้าตำหนักมา ซือเฟิ่งก็ไปบอกเอาเอง ถึงตอนนั้นค่อยตัดสิน”

 

 

กล่าวจบเขาก็ไม่หันหน้ามาอีก ปากครวญเพลงทำนองประหลาดเดินจากไป

 

 

เสวียนจีดึงมืออวี่ซือเฟิ่งไว้ ยิ้มราวบุปผาดอกหนึ่ง “ซือเฟิ่ง ซือเฟิ่ง~~~เจ้าอยู่ต่อได้ ดีที่สุดเลย!”

 

 

เขาก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย ยกมือไปลูบศีรษะนางอ่อนโยนทีหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้ายังใจกล้าเหมือนเดิม เอาเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าหิวแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”

 

 

เสวียนจีดึงมือเขาไว้ เผยรอยยิ้มบางลงเขาไปกับเขา ตู้หมิ่นหังกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยด้านหลังกำลังอึ้งอยู่ แม้ว่ารู้นานแล้วว่าศิษย์น้องเล็กดื้อรั้น แต่รองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อในเวลาจริงจังถึงกับยอมถอย หาได้ยากมาก เมื่อครู่อันตรายจริง หากต่อสู้กันขึ้นมาจริง พวกเขาทั้งสามเพิ่มอีกสามเท่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกฝ่าย

 

 

“หึๆ ศิษย์น้องเล็กกับเจ้าซือเฟิ่งนั่นเป็นคู่กันแล้ว ตามความเห็นข้า กลับไป อาจารย์และอาจารย์หญิงก็คงต้องหารือเรื่องเขาสองคนแล้ว ไม่แน่นะ จัดพร้อมกันกับศิษย์น้องหลิงหลงกับหมิ่นเหยียนเลย!”

 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยลูบเครา รู้สึกพึงพอใจกับงานมงคลที่จะเกิดพร้อมกันสองงานอย่างยิ่ง

 

 

ตู้หมิ่นหังลำคอตีบตัน ไม่กล่าวอันใด

 

 

เสวียนจีเดินไปได้ครึ่งทางพลันนึกขึ้นได้ เงยหน้ายิ้มราวกับได้ของมีค่าที่ตกมาจากท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เมื่อครู่เจ้าจูบข้า…”

 

 

“เปล่า” ยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกเขาขัดขึ้น

 

 

“เห็นๆ อยู่ว่ามี…” นางเริ่มงุนงงอีกครา

 

 

“เปล่า” เขาหน้าแดงแล้ว

 

 

“เช่นนั้น…ความลับที่เจ้าพูดคืออะไรกัน”

 

 

“อันใดก็ไม่ใช่”

 

 

หูเขาแดงตามแล้ว พลันหันกลับไปยิ้มกับนางเล็กน้อย ลากมือนางออกวิ่ง ทำเอากวางน้อยม้าน้อยข้างทางร่วมวิ่งไปพวกเขาด้วย

 

 

เงาร่างทั้งสองถูกแสงอัสดงลากให้ทิ้งตัวยาว หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดิน