บทที่ 249 – อีวายามค่ำคืน (4)
ซอลจีฮูได้ถอนหอกกลับมา และพึมพำเงียบๆ
“…อ่อนแอ”
นอกจากสองฝาแฝดแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าชายคนนี้กลายมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงได้ยังไงกัน แต่ว่าในตอนนี้เขาได้วางคำถามที่ไร้คำตอบเอาไว้ก่อน และเดินไปที่ห้องในชั้นนี้แทน
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะค้นทุกๆห้องจนละเอียดแล้ว เขาก็ไม่เห็นตัวผู้จัดการเลย จะเห็นก็มีแต่มนุษย์สัตว์สองคนที่นอนเป็นศพอยู่เท่านั้นเอง
จากนั้นเมื่อเขาได้พิจารณาถึงความวุ่นวายที่ก่อขึ้นมาแล้ว การที่ผู้จัดการไม่แสดงตัวออกมาจนถึงตอนนี้มีความหมายได้เพียงแค่หนึ่งในสองทางเท่านั้น หนึ่งคือผู้จัดการกำลังซ่อนตัวอยู่ หรือไม่ก็หนีไปแล้ว
ในตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเท้าดังมาจากบันได
โชฮง ฮิวโก้ และมาเรียได้ปรากฏตัวออกมาทีล่ะคน
ในหมู่พวกเขาไม่มีใครดูจะบาดเจ็บเลยสักนิด จะมีก็แต่แก้มมาเรียที่แดงเหมือนกับเธอจะโกรธอยู่มากๆ
โชฮงได้ยกแท่งเหล็กหนามขึ้นมา และสะบัดไปมา
“โอ้ จับตัวหัวหน้าได้แล้วหรอ?”
“ฉันหาเขาไม่เจอ”
“เขาคงซ่อนอยู่แน่ อีกไม่นานเดี๋ยวก็เจอเองแหละ ที่ทางเข้ามียัยบ้าคนหนึ่งเฝ้าอยู่นี่นา”
“แล้วคุณมาแชล จิโอเนียไปไหนแล้วล่ะ?”
“ค้นอาคารอยู่ เขาบอกว่าเขาจะไปตรวจดูว่ามีใครซ่อนอยู่ไหม”
ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองก่อนจะก้าวเดินออกไป ยังไงเขาก็ต้องไปที่นั่น
เขาได้เดินลงไปที่ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เดินต่อไปที่ชั้นใต้ดิน และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด
“เยี่ยม เยี่ยม พวกกลุ่มคนบ้า… ยังดีที่สินค้าไม่เป็นไร แน่นอนว่าสินค้าที่สำคัญที่สุดก็ยัง…”
ผู้ชัดเจนที่เขาเคยเห็นมาก่อนกำลังถือคริสตัลสื่อสารเอาไว้อยู่ โดยที่ยังใช้มืออีกข้างบีบแขนมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้อีกด้วย
เขารู้สึกถึงสายตาของซอลจีฮูไหมนะ? ผู้จัดการได้หันกลับมาก่อนจะสะดุ้งตัวใจ
“มะ ไม่มีทาง! จิรายุ แมทธิวไปไหน…!?”
เมื่อซอลจีฮูได้ก้าวออกไปข้างหน้า ผู้จัดการก็รีบทิ้งคริสตัลสื่อสารลง
“แก..!”
ในที่สุดเมื่อจำซอลจีฮูได้ ฮิวจ์ โรดริโก้ก็ได้ก้าวโซเซถอยไป จากนั้นดวงตาเขาก็เป็นประกาย และรีบยกแขนมนุษย์จิ้งจอกวัยรุ่นขึ้นมา
“ถะ ถอยไปนะ!”
เมื่อเห็นลมหายใจอ่อนแรงของมนุษย์จิ้งจอก สายตาของซอลจีฮูได้กลายเป็นประกายขึ้นทันที
“แกคงจะมาเพื่อสินค้านี่ใช่ไหม?”
ปุ๊ ปุ๊ ปุ๊! ซอลจีฮูได้เปิดใช้งานต่างหูเฟสติน่าสามครั้งโดยไม่ลังเลสักนิด
“แกคิดว่าฉันจะส่งให้แกง่ายๆงั้นหรอ!? ฉันจะฆ่าพวกมันทั้งหมด แล้วก็…!”
ฟิ้ว! สายลมรุนแรงได้พัดออกมา และโรดริโก้ก็หรี่ตาลง
มีแรงกดบางอย่างกดลงมาที่อกของเขา แต่ว่าเขาก็สบัดหัวและพูดต่อ
“สร้างคุณค่า…?”
ก่อนที่จะหยุดพูดลงด้วยสีหน้าสับสน
“…”
เขาได้ลดสายตาลง และหามนุษย์จิ้งจอกไม่เจอ
เมื่อเขาแอบกรอกตากลับขึ้นมา เขาก็ได้เห็นซอลจีฮูอีกครั้งหนึ่ง ซอลจีฮูกำลังอุ้มมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนที่โรดริโก้จะได้ทันสังเกต
โรดริโก้ตกใจมาก เขายังไม่เห็นชายหนุ่มขยับเลยด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งมนุษย์จิ้งจอกก็ยังเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ปากของโรดริโก้ได้อ้ากว้างค้าง
“โชฮง ฮิวโก้”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นพร้อมทั้งค่อยๆวางมนุษย์จิ้งจอกลงไป
“อย่าได้ให้เขาหนีรอดไปได้ ถ้าเขาพล่ามเรื่องไร้สาระก็จัดการตามเห็นสมควรได้เลย”
“ครับผม!”
ฮิวโก้ได้ตะโกนออกมาพร้อมหมุนแขนเป็นวงกลม
ซอลจีฮูได้มองกลับไปที่กรงเหล็ก และยกหอกพิสุทธิ์ขึ้นมา ความโกลาหลที่กระทันหันได้ดึงความสนใจของเผ่าพันธุ์ต่างๆที่ถูกจับเอาไว้
ซอลจีฮูได้เหวี่ยงหอกใส่กรงที่ใกล้ที่สุดก่อน ฟิ้ว หอกพิสุทธิ์ได้ตัดผ่านโลหะเหมือนกับเต้าหู้ดังคาดไว้
เมื่อกรงเหล็กได้ถูกตัดขาดครึ่งก็ได้ทำให้เกิดรูโหล่ขนาดใหญ่ขึ้นที่ด้านบน ตรงนั้นเขาเห็นมนุษย์จิ้งจอกที่แขนขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่
เธอคงจะคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ทำให้เธอผงะถอยไป หูสีซีดของเธอได้ตั้งชันขึ้น และหางของเธอก็กำลังส่ายไหวอย่างอ่อนโยน
ซอลจีฮูได้เดินเข้าไปช่วยตัดโซ่ปล่อยให้เธอกลายเป็นอิสระ
มนุษย์จิ้งจอกที่เป็นอิสระได้บิดตัวส่ายไปมาอย่างรุนแรงราวกับว่าไม่คุ้นชินกับอิสระภาพ
เธอได้ค่อยๆพยุงตัวขึ้นโดยจับกำแพงเอาไว้ และถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัย
“… มนุษย์ นายต้องการอะไร?”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ
“เรามาช่วยพวกคุณ”
“?”
“พวกเราจะส่งพวกคุณกลับสหพันธรัฐ มันอาจจะยาก แต่ว่าช่วยร่วมมือกับเราด้วย”
การได้รับความช่วยเหลือมันเกินกว่าที่เธอคาดคิดงั้นหรอ? บนใบหน้าของเธอได้เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างขัดเจน
แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้มีเวลามาโน้มน้าวเธอ เขาได้ค้นหยิบเอาน้ำยารักษาออกมาจากกระเป๋า และเทมันใส่ปากของมนุษย์จิ้งจอก
“อึก!”
ดวงตาของมนุษย์จิ้งจอกได้เบิกกว้างขึ้น หลังจากที่แทบจะยืนไม่ไหวจากสารพัดการทรมาน ร่างกายของเธอก็ค่อยๆฟื้นคืนกำลังกลับมา
ซอลจีฮูได้หันมองไปรอบๆตัว ภายในชั้นใต้ดินนี้มีกรงอยู่นับสิบที่รอให้เขาจัดการอยู่
“ฮะ เฮ้! เอาไปซะไอ้สารเลว!”
โรดริโก้ได้ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“หุบปาก!”
ผั๊วะ! แต่ว่ามาเรียได้ตบแก้มเขา และตะโกนออกมา
“แกเป็นผู้จัดการใช่ไหม? แกนี่มันเศษสวะจริงๆเลย แกกล้าเรียกว่าการรักษาความปลอดภัยงั้นหรอ? สมองของแกมันมีปัญหาหรือยังไงกัน?”
“อะ อะไรนะ?”
“ไม่มีแม้กระทั่งยามสักคนเข้ามาถึงบาเรียของฉันได้ยังไงกัน? ทำไมแกถึงได้เอาแต่พวกไร้สมองนั่นมาเป็นยามล่ะ? ที่ฉันต้องเสียไข่ทองคำไปก็เพราะแกคนเดียวเลย!”
มาเรียได้ต้มแก้มของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมทั้งสบถคำด่าออกมามากมาย โดยไม่ได้สนใจโรดริโก้ที่เต็มไปด้วยน้ำตาเลยสักนิด
ซอลจีฮูได้หันกลับไปยุ่งอยู่กลับการปล่อยตัวเผ่าพันธุ์ต่างๆต่อโดยไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เขาได้รีบตัดกรง และตัดโซ่ให้กับแฟรี่ท้องฟ้าที่ตัวสั่นอยู่ตรงมุมกรงทันที
“คุณไม่เป็นไรนะ?”
“อ่า!”
ทันทีที่เขาเข้าไปหาเธอ แฟรี่ท้องฟ้าก็ยกมือกุมหัวหลบเขา ปากของเธอได้อ้าขึ้น แต่ว่าก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆดังออกมา เธอดูเหมือนจะกำลังทรมานอยู่กับบาดแผลทางจิตใจที่ได้เผชิญมา
เมื่อมองดูดีๆแล้วเธอก็เป็นคนที่อยู่ในสภาพที่เลวร้ายมากๆ เธอคงจะถูกทุบตีอยู่หลายครั้งจนสภาพเลวร้ายมากเหมอนกับเป็นนักโทษที่ถูกขังไว้ใต้ดิน
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังหมดคำพูด แฟรี่ท้องฟ้าอีกคนก็ได้เข้ามาใกล้เธอ และโอบกอดแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังตัวสั่นเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรนะ ทุกๆอย่างจบแล้วลาเซีย พวกเราถูกช่วยไว้แล้ว ตอนนี้พวกเขากลับบ้านได้แล้ว”
ด้วยการปลอบโยนจากเพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันได้ทำให้อาการตัวสั่นของเธอค่อยๆลดลงไป แฟรี่ท้องฟ้าที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“คุณช่วยรักษาเธอได้ไหม?”
ซอลจีฮูได้หลุดจากความสับสน และเรียกมาเรียเข้ามา นักบวชที่กำลังยุ่งอยู่กับการตบหน้าโรดริโก้ไม่จบไม่สิ้นได้สูดลมหายใจ และตอบกลับคำเรียก
เมื่อเธอได้เห็นสภาพของแฟรี่ท้องฟ้า เธอก็ถึงกับเดาะลิ้นออกมา
“พระเจ้า… ฉันคิดว่าแค่เวทย์ธรรมดาคงไม่พอ ไอ้โรคจิตนั่นมันทำกับเธอขนาดนี้เลยงั้นหรอ?”
“ช่วยทำเท่าที่ทำได้ที”
“ได้ๆ”
เธอได้ค่อยๆร่ายเวทย์ออกมา
ซอลจีฮูได้หันกลับไปช่วยปลดปล่อยนักโทษต่อ คนต่างเผ่าพันธุ์ที่ค่อยๆถูกปลดปล่อยจากกรงได้ค่อยๆเดินโซเซไปล้อมรอบผู้จัดการ
โรดริโก้ที่รู้สึกถึงอันตรายได้รีบพยายามดิ้นรนหลบหนี แต่แล้วก็ต้องนิ่งเงียบไปเมื่อเจอกับหมัดนับสิบของฮิวโก้
เมื่อซอลจีฮูได้ปล่อยทุกๆคนเป็นอิสระ คนต่างเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ต่างก็ส่งสายตาอันร้อนแรงให้กับซอลจีฮู
พวกเขาไม่ได้โง่ ไม่เพียงแค่ชายหนุ่มจะจัดการไอ้สารเลวที่จับพวกเขาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ยังรักษาพวกเขาอีกด้วย พวกเขารู้ว่าซอลจีฮูมาช่วยพวกเขาจริงๆ
แต่ว่าก็มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องการอย่างมาก
หลังจากได้รับข้อความอันเต็มไปด้วยความปรารถนาอันรุนแรง ซอลจีฮูก็ผงะไป เขาได้เอนหัวมาข้างหน้า และยื่นมือออกมาแสดงท่าทางให้พวกเขาทำตามต้องการ
จิตสังหารอันรุนแรงจากสายตานับสิบได้จ้องลงไปที่จุดๆหนึ่ง มันรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้ฮิวโก้ที่กำลังจับคอโรดริโก้อยู่ต้องผงะ
“ฮ่าห์… แกทำร้ายพวกเขาขนาดไหนกันเนี้ย?”
ฮิวโก้ได้ส่ายหัว และโยนโรดริโก้ลงไปที่พื้น
ชายร่างอ้วนได้กลิ้งไปกับพื้น และร้องโหยหวนดังลั่นออกมา เนื่องจากคนต่างเผ่าพันธุ์ได้กระโจนเข้าใส่เขาแทบจะทันที
หนึ่ง สอง สี่ แปด… โรดริโก้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยคนต่างเผ่าพันธุ์ที่กระโดดพุ่งเข้าใส่จากทุกทาง มนุษย์สัตว์ได้กระชากผม ควักลูกตา และผ่าท้องเพื่อระบายความโกรธออกไป มันแทบจะเหมือนกับกลุ่มซอมบี้กำลังลุมกินสิ่งมีชีวิต
ซอลจีฮูที่มองอยู่เงียบๆจู่ก็รู้สึกถึงคนที่เข้ามาหาเขา คนๆนั้นก็คือแฟรี่ท้องฟ้าที่แสดงอาการสาหัสก่อนหน้านี้
เธอไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการระบายความแค้น กลับกันเธอได้เดินโซเซเข้ามาหาซอลจีฮู และจับชายเสื้อของเขาเอาไว้เบาๆ
เธอได้คุกเข่ากับพื้นจนแทบจะหมอบคลาย และเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเธอยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และสิ้นหวัง แฟรี่ท้องฟ้าได้ค่อยๆรวบรวบความกล้าทั้งหมดพูดออกมา
“ละ ลูก…”
‘ลูก?’
“ลูก… ลูกของฉัน… ได้โปรด…”
เธอได้ร้องไห้ออกมาด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร
‘อย่าบอกนะว่า’
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็นึกไปถึงแฟรี่ท้องฟ้าวัยรุ่นที่ถูกนำไปประมูลก่อนหน้านี้
“ลูกของคุณ… เด็กหนุ่ม?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาเพื่อให้มั่นใจ และแสงสว่างภายในดวงตาอันดำมือของแฟรี่ท้องฟ้าก็ได้หวนกลับมา เธอได้พยักหน้าพร้อมกับจับชายเสื้อซอลจีฮูเอาไว้แน่น
แต่ว่าทุกๆคนที่เข้าร่วมการประมูลต่างก็สวมหน้ากากกับผ้าคลุมทำให้ซอลจีฮูไม่รู้ว่าใครเป็นคนสู้ และทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเอง
“นี่ครับ”
มาแชล จิโอเนียได้เปิดประตูชั้นใต้ดิน และเดินลงมาพร้อมลากชายหมดสภาพเอาไว้ในมือ คนๆนี้คือคนที่จัดการการประมูล
ดวงตาของซอลจีฮูได้เป็นประกายขึ้นทันที
“เขากำลังซ่อนอยู่ ผมได้ลองสอบสวนดูแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ผู้จัดการ”
“เยี่ยมมาก”
ซอลจีฮูได้รีบตอบกลับ และจับชายคนนั้นขึ้นมา คนๆนี้ดูเหมือนจะถูกอัดอยู่หลายครั้งจนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“ถ้ายังไม่อยากตายก็ตอบมา”
น้ำเสียงของเขาเย็นชามากจนซอลจีฮูยังกลัวตัวเอง ชายคนนี้ได้พยักหน้ารัวๆด้วยดวงตาที่เปียกชื้น มาแชล จิโอเนียคงจะจัดการเขาอย่างหนักจนเขาให้ความร่วมมือแน่ๆ
“นายยังจำแฟรี่ท้องฟ้าในการประมูลวันนี้ได้ใช่ไหม? คนที่เป็นเด็กหนุ่ม”
“คะ ครับ! ผมจำได้!”
“ใครเป็นคนซื้อไป? นายรู้จักเขาไหม?”
“ครับ ผมรู้จัก!”
“นายรู้จักสินะ?”
“ครับ! ผมมั่นใจว่าเขาคือสมบัติ ละอองมณี!”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ชายคนนี้ได้รีบพูดต่อ
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ! เขาเป็นแขกของโรงประมูลมานาน แล้วเราก็มีลูกค้าเก่าอยู่มาก! สินค้ารอบนี้ตรงกับรสนิยมคนๆนั้น! ผมคิดว่าแบบนั้นครับ!”
มันดูเหมือนกับเขาจะไม่ได้โกหก ซอลจีฮูได้โยนคนๆนี้ออกไป และเสียงกรีดร้องน่ากลัวก็ดังออกมา
‘สมบัติ ละอองมณี? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อน…’
เขาไม่อาจจะไปหาถามชื่อชาวโลกมั่วๆได้เลย เมื่อตระหนักได้ว่าเขาต้องการข้อมูลเกี่ยวกับคนๆนี้ ซอลจีฮูก็ล้วงมือเข้าไปหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา และจากนั้น-
“สมบัติ ละอองมณี หัวหน้าหนึ่งในแปดองค์กรของอีวา องค์กรรอยัลพัทยา ธุรกิจหลักของพวกเขาคือการปล่อยเงินกู้กับค้าเกย์ แถมเขายังมีชื่อเสียงในเรื่องการชอบเพศเดียวกันที่เป็นเด็กหนุ่มก่อนที่จะฆ่าหลังจากทำการทรมานแล้วด้วย”
ทันใดนั้นน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็ดังออกมาจากด้านหลังเขา เมื่อหันกลับไปมองซอลจีฮูก็ต้องเบิกตากว้าง คิมฮันนาห์เธอกำลังเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าเขินอาย
“รอยัลพัทยามีสมาชิกทั้งหมด 76 คน เป็นระดับ 2 11 คน ระดับ 3 36 คน ระดับ 4 28 คน และระดับ 5 1 คน ระดับโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 3.25 มีนักบวชสองคน ไม่มีนักเวทย์ แกนหลักของพวกเขาคือแรงค์เกอร์ระดับสูง จิรายุ แมทธิว”
เธอค่อยๆเดินลงมาหาซอลจีฮูพร้อมรายงานข้อมูลเกี่ยวกับรอยัลพัทยา หลังจากมองไปรอบๆชั้นใต้ดินแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างมุ่งมั่น
“นายจะไปต่อใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างตกใจก่อนจะพยักหน้า คิมฮันนาห์ได้เม้มฝีปากอยู่เล็กน้อย และหยิบเอาสมุดจดออกมาจากกระเป๋า เธอได้ขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไป ก่อนจะฉีกมัน และยื่นออกมา มันก็คือแผนที่ไปรอยัลพัทยา
ซอลจีฮูได้มองแผนที่ด้วยสีหน้าแปลกใจ เขายังจำได้ว่าก่อนหน้านี้คิมฮันนาห์ยังขัดเขาอยู่เลย แต่มาตอนนี้เธอก็เปลี่ยนท่าทีไปซะแล้ว
แน่นอนว่ามันก็มีเหตุผลที่ทำให้คิมฮันนาห์ต้องเปลี่ยนท่าทีไป เธอคิดผิดตั้งแต่แรกแล้ว เธอวางแผนไว้ว่าจะนำทางซอลจีฮูไปในทางที่เฉพาะเจาะจง แต่เขาก็ได้ไปผิดทางเรียบร้อยแล้ว
โดยหลักคือซอลจีฮูเป็นคนที่ไม่มีใครควบคุมได้
เพราะงั้นเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปทางอื่น คิมฮันนาห์จะต้องเปลี่ยนเป็นปรับตัวตามซอลจีฮู
เรื่องนี้มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว และไม่มีทางย้อนกลับ การยุติลงกลางคันจะเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุดที่เธอจะทำ
การทำอะไรสักอย่างมันดีกว่าอยู่เฉยๆ ในตอนนี้เมื่อทุกๆอย่างได้เริ่มวุ่นวายขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็จะต้องไปต่อให้จบ มันไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งทีถูกต้องเท่านั้น แต่มันก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้
“องค์กรในอีวามีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 1 องค์กรแข็งแกร่ง 3 องค์กรระดับปานกลาง และ 4 องค์กรระดับอ่อนแอ รอยัลพัทยาเป็นองค์กรระดับปานกลาง”
น้ำเสียงนิ่งสงบของคิมฮันนาห์…
“ไปซะ ที่นี่ให้ฉันจัดการเอง”
…ได้กลายเป็นเฉียบคมขึ้น
“ก่อนรุ่งเช้านายจะต้องทำลายให้ได้อย่างน้อยหนึ่งองค์กร ทำให้พวกเขาหมดหวังที่จะฟื้นฟูกลับมา จากนั้นเราค่อยมากังวลกันว่าจะเอายังไงต่อ”
“รอยัลพัทยาสินะ”
มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“มันฟังดูไม่ง่ายเลย โรงประมูลก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าการไปโจมตีสำนักงานขององค์กรตรงๆมันน่าจะยากกว่ามาก”
“ไม่เลย มันน่าจะเป็นไปได้อยู่”
คิมฮันนาห์ได้สะบัดผมออกมา
“ไม่ใช่ว่าทุกๆองค์กรได้เริ่มต้นลงทะเบียนกับอีวาตั้งแต่แรก”
นี่มันชัดเจนมาก
“พวกเขาได้ยกกองกำลังต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์ก่อนที่จะได้รับการยอมรับเป็นองค์กร รอยัลพัทยาก็นับเป็นหนึ่งในนั้น”
“มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?”
“ย้อนกลับไปแล้วการสร้างองค์กรมันไม่ใช่เรื่องยากเลย จริงๆแล้วอาณาจักรก็ให้การสนับสนุนอีกด้วย แต่แล้วมาตราฐานก็ได้ถูกยกระดับขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีวานี่แหละ”
[พูดตามตรงฉันก็ยังสบสนอยู่ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงทำให้ขั้นตอนซับซ้อนนัก]
[ก็นะ เมื่อก่อนมันไม่ได้เป้นแบบนี้…]
‘อ่า’
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงมั่นใจนัก และทำไมฮ่าวอวิ่นถึงอยากจะมาอีวา
มีความเป็นไปได้สูงว่าแปดองค์กรในอีวาส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนแบบคาเพเดี่ยม
“จากมาตราฐานของฉันแล้ว ในหมู่องค์กรปัจจุบันในอีวามีแค่สอง หรือสามองค์กรเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอจะได้รับการยอมรับเป็นองค์กรในสกีเฮราซาร์ดหรือในฮารามาร์ค”
แปดองค์กรจะน่ากลัวหากว่าพวกเขาร่วมมือกัน แต่ว่าหากเป็นการจัดการกับพวกเขาทีละองค์กรก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
โชฮงได้พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่แล้ว เจ้าพวกนี้มันก็แค่พวกกุ้งฝอย หากว่าพวกเขาถูกบังคับให้ร่วมสงคราม เข้าพวกนี้ก็จะตายก่อนได้ทำอะไรซะอีก”
“ไม่สิ ฉันพนันได้เลยว่าจะไม่มีใครสักคนตาย”
“?”
“เพราะว่าเจ้าพวกนี้จะวิ่งหนีไปก่อนจะสู้ซะอีก”
โชฮงได้หัวเราะออกมากับคำประชดประชันของคิมฮันนาห์ ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ตรวจสอบสถานที่ตั้งในแผนที่ ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป…
“ซอลจีฮู”
คิมฮันนาห์ได้หยุดเขาไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้านายจะทำมัน ก็ทำมันให้เรียบร้อย”
แม้ว่าเธอจะพูดแบบนี้ เธอก็มั่นใจแล้วว่ามันเป็นชัยชนะของพวกเขา หัวหน้าที่เธอคิดว่าจะเดินไปตามเส้นทางของการเจรจาต่อรอง ได้เลือกเดินไปในเส้นทางผู้พิชิตแทน
นี่มันก็ไม่ได้แย่อะไร
หลังจากได้ไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว เธอตัดสินใจว่าซอลจีฮูสามารถจะเดินไปในเส้นทางนี้ได้อย่างง่ายดาย ยังไงแล้วคาเพเดี่ยมก็ยังมีอาวุธลับที่ยังไม่เปิดเผยต่อโลกอยู่
เว้นแต่ว่าศัตรูจะเอานักบวชแรงค์เกอร์ระดับพิเศษมาก โอกาสชนะส่วนใหญ่ก็จะเป็นของคาเพเดี่ยม
“ฆ่าพวกมันให้แหลก ฉันไม่อยากจะเห็นความปราณีครึ่งๆกลาง”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเบาๆ เขาได้ขยำแผนที่และเริ่มเดินออกไป
“ไปกันเถอะ”