ตอนที่ 250

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 250 – อีวายามค่ำคืน (5)

เขาไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ที่ทุกๆอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเหตุการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้

มันเป็นในเขตพื้นที่เป็นกลางหรือเปล่านะ? ในตอนที่การล่าขุมทรัพย์ได้ใกล้เข้ามา ผู้คนได้แบ่งกันออกกเป็นสองกลุ่ม และจู่ๆอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เข้าโจมตีกลุ่มแรกอย่างกระทันหัน พวกเขาได้ถูกขโมยเหรียญจนมีไม่พอสำหรับผ่านด่าน

สมบัติ ละอองมณีได้อยู่ในกลุ่มของคนที่ถูกโจมตี ท่ามกลางความสับสนสมบัติ ละอองมณีได้ได้พยายามต่อสู้ขัดขืนกับชายหนุ่มที่พุ่งเข้าใส่เขา

เขาจำไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจำได้ก็แต่ว่าดวงตาอันเกรี้ยวกราดและอาฆาตของเด็กหนุ่มได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยความขมขื่นเสียใจ และทำอะไรไม่ได้

เมื่อสถานการณ์จบลง สมบัติ ละอองมณีก็ได้สติขึ้นมาตอนที่เด็กหนุ่มกลายเป็นศพไปแล้ว

ดังนั้นสมบัติ ละอองมณีจึงได้ลงมือฆาตกรรมเป็นครั้งแรก ในตอนแรกเขาสับสนเกินกว่าจะคิดอะไรได้ ก่อนที่จะนึกถึงประตูมิติ และรีบไปจ่ายค่าผ่านทางเข้าไปสู่เขตพื้นที่เป็นกลาง

แต่ว่าความรู้สึกของการดิ้นรนขัดขืนของชายหนุ่มยังคงฝังแน่นอยู่ภายในมือของเขา คอยตามหลอกหลอนอยู่เรื่อยมา ไม่สิ การจะพูดว่ามันคอยตามหลอกหลอนก็ไม่ถูกสักหน่อย

มือของเขาสั่น ลมหายใจติดขัด และหัวใจก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น มันแทบจะไม่มีสัญญาณของความรู้สึกผิดเลย

มันเหมือนกับเป็นความปิติยินดีซะมากกว่า

นอกไปจากนี้เมื่อไหร่ที่เขานึกถึงสายตาที่กรอกขึ้นไปด้านบนของเด็กหนุ่มในตอนท้าย หัวใจของเขาก็จะเต้นระรัว และอวัยวะช่วงล่างของเขาก็จะตั้งชันขึ้นมา

เมื่อละอองมณีรู้แบบนี้ เขาก็ได้เปิดโลกของสิ่งที่เรียกว่าอาชญากรรม

หลังจากที่ทำความคุ้นเคยกับพาราไดซ์ เขาก็ไปในเส้นทางที่ไขว้คว้าพลังของอีวา และทำการฆาตกรรมมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ไม่ว่าเขาจะฆ่าไปกี่คน เขาก็ได้รับมาแค่ความรู้สึกที่่ว่างเปล่าเท่านั้นเอง เขาไม่อาจจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เคยรู้สึกในครั้งแรกของการฆาตกรรมได้เลย

ละอองมณีได้หาเหตุผลในธรรมชาติของชาวโลก พูดให้ชัดก็คือเมื่อชาวโลกตายในพาราไดซ์ พวกเขาก็จะไม่ได้ตายจริงๆ

พวกเขาจะเพียงแค่สูญเสียความทรงจำ และย้อนกลับไปที่โลกเพียงเท่านั้น

แม้ว่าในหมู่คนเหล่านั้นจะมีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเพราะทนกับช่องว่างความทรงจำ และความรู้สึกว่างเปล่าไม่ไหว แต่นั่นมันก็คนล่ะเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง

ฆ่าด้วยมือตัวเอง และเฝ้ามองดูกระบวนการตาย นี่แหละคือสิ่งที่ละอองมณีต้องการจริงๆ

หรือพูดอีกอย่างก็คือเป้าหมายของเขาเป็นเหล่าคนที่นับว่าพาราไดซ์คือบ้าน

แน่นอนว่านั่นมันไม่ได้ทำให้เขาไปลักพาตัวชาวพาราไดซ์ เป้าหมายที่เหมาะสมมันมีอยู่แล้วก็คือเหล่าต่างเผ่าพันธุ์ เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นเลยสักนิด

แม้ว่าการกระทำทั้งสองอย่างจะผิดกฎหมายทั้งคู่ แต่การเข้าไปยุ่งกับสหพันธรัฐก็อันตรายน้อยกว่ามาก นอกจากนี้เขายังทำได้ด้วยการซ้ำพวกต่างเผ่าพันธุ์ที่ถูกจับเอาไว้อยู่แล้วได้อีกด้วย

“ฟุฟุฟุฟุ”

ละอองมณีได้หัวเราะออกมาก่อนจะค่อยๆยืนมือออกไป และลูบไล้ตามตัวเด็กหนุ่มที่ถูกแขวนไว้กับกำแพง

แฟรี่ท้องฟ้าไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ แม้ว่าจะมีลมหายใจแผ่วๆดังออกมา แต่ร่างกายเขาคงอ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไรได้

“เยี่ยม เยี่ยมมาก”

ละอองมณีได้ค่อยๆลูบผิวขาวซีดที่ ก่อนจะหัวเราะ และพูดออกมา

“มาค่อยๆสนุกกันเถอะนะ เจ้าตัวน้อย”

และเขาก็ได้ยิ้มน่ายินดีออกมา

ภายในห้องทำงานลับของรอยัลพัทยา มีแค่ระดับบริหารขององค์กรไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงที่นี่ และพวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงที่นี่เพราะรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร

ใช่แล้ว ที่นี่นคือ ‘แกลเลอลี่’ ที่ละอองมณีสร้างเอาไว้เพื่อจัดเก็บ ‘งานศิลปะ’ ที่เขาจัดการแล้ว

ละอองมณีได้นั่งลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องทรมาณพร้อมหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบ จากนั้นก็มองกลับไปที่งานศิลปะที่เขาสลักเอาไว้ด้วยความพอใจ

ขณะที่เขากำลังจะถอดกางเกงออกเพื่อเพลิดเพลินไปกับความสุข… ปัง!

“ระ เรื่องใหญ่ครับ!”

มีคนได้เปิดประตูออกมา และล้มลงไปกับพื้นเพราะรีบวิ่งเข้ามา ละอองมณีที่กำลังถอยกางเกได้ขมวดคิ้วขึ้นมา

“ไอ้สารเลวตัวไหน…”

เมื่อเขาหันกลับไปมองก็ไม่อาจจะพูดต่อจนจบได้ ลูกน้องที่แขนขาด และน้ำตานองหน้าได้เงยหน้าขึ้นมา

“แก”

“ระ โรงประมูลถูกโจมตีครับ!”

ละอองมณีขมวดคิ้วขึ้นมา

“และ แล้วก็…!”

เมื่อเห็นชายหนุ่มพูดไม่ทันจบ ละอองมณีก็พอจะเดาได้แล้วว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เขาได้รีบดึงกางเกงขึ้นมา และออกไปจากห้องลับ

เนื่องจากว่าห้องลับสร้างอยู่ลึกลงไปใต้ดินทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขึ้นมาถึงชั้นบน และยิ่งเขาเดินขึ้นไป เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากด้านนอก

จนกระทั่งในท้ายที่สุดเมื่อเขาออกมาจากชั้นใต้ดิน และเปิดประตูไปด้านนอก…

ตูมม! เสียงระเบิดรุนแรงได้ดังกระแทกหน้าเขาเข้ามา ละอองมณีได้หันหน้าหรี่ตาออกมาทันที

สิ่งแรกที่เขาได้เห็นเลยก็คือกลุ่มลูกน้องของเขากำลังวิ่งกระจายซ้ายขวารวมทั้งมีกลุ่มคนหกคนเดินตรงฝ่าวงล้อมเข้ามาด้านหน้า

การต่อสู้คงจะเกิดขึ้นไปแล้วรอบหนึ่งเนื่องจากว่ามีคนนับสิบนอนหมดสติอยู่กับพื้น

มันไม่มีอะไรให้ต้องถามอีกแล้ว พวกเขากำลังถูกโจมตีอยู่

ละอองมณีได้มองศึกษาสถานการณ์ และถามขึ้นเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้น? พวกมันมีแค่หกคนเองนี่!”

“พวกเราไม่รู้ครับ!”

“อะไรนะ?”

“พวกเราไม่เข้าใจ! ไม่เข้าใจเลยจริงๆ! จู่ๆคนบ้าพวกนั้นก็บุกกันเข้ามา! แม้ว่าพวกเขาจะใช้จำนวนที่เหนือกว่าเข้าต่อต้านแล้วก็ตาม…!”

ลูกน้องที่วิ่งตามหลังได้สะอื้นออกมา มันยากที่จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ว่าก็ไม่อาจจะโทษเขาได้ด้วยเช่นกัน องค์กรที่มีจำนวนคนมากกว่าฝ่ายบุกรุกนับสิบเท่ากลับถูกโจมตีโดยไม่อาจทำอะไรได้

ที่ยิงแย่ไปกว่านั้นนักธนูที่คอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังจู่ๆหัวก็จะถูกบิดหรือไม่ก็ถูกดึงออกไปจนกลายเป็นการตายอันน่าหวาดกลัว

หากไม่ใช่เรื่องเวทมนต์ที่พวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาก็ไม่รู้จริงๆแล้วว่าจะอธิบายเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้อย่างไร แม้ว่าจะมีควันดำลอยวนอยู่รอบๆ แต่ว่าในตอนนี้ก็ไม่ได้มีใครสนใจมันเลย

ละอองมณีได้กัดฟันพึพำออกมา

“…แล้วจิรายุ แมทธิวไปไหน?”

“ขะ เขาไม่รับสายครับ!”

“ไอ้เจ้าลาตัวนั้น…”

ละอองมณีได้กัดฟัน และสูดหายใจลึก

“ไปพาตัวไอ้เวรนั่นมาเดี๋ยวนี้! แล้วก็ติดต่อแก๊งโอชัวร์ด้วย!”

“ดะ ได้ครับท่าน”

ลูกน้องได้รีบวิ่งออกไปอย่างลนลาน

‘เวรเอ้ย กับอีแค่กลุ่มคนหกคน…’

ละอองมณีได้กรีดร้องใส่เหล่าลูกน้องที่โซซัดโซเซถอยมาด้วยความหวาดกลัว

“ไอ้พวกเศษสวะไร้ค่า!”

ได้เกิดอาการชะงักขึ้น ไม่ใช่แค่เหล่าลูกน้องเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสายตาของเหล่าผู้บุกรุกได้จ้องมาที่ละอองมณี

‘ชิ’

ละอองมณีเป็นชาวโลกที่ในช่วงแรกๆเคยได้มีประสบการณ์กับการต่อสู้ของแก๊ง และการต่อสู้บนถนนมาก่อน อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ถึงความสำคัญของกำลังใจในการต่อสู้

หากเป็นแบบนี้รอยัลพัทยาได้พ่ายแพ้แน่ๆ

และเพราะแบบนี้เขาได้พยายามทำตัวใจเย้น และคอยๆเดินลงบันไดไป แม้ว่าสายตาของเขาจะเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่เขาก็ยังเดินออกไป และพูดขึ้นอย่างสงบ

จากนั้นเขาก็ได้หยุดอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มที่มีใบหน้าสีขาว เนื่องจากส่วนสูงที่ต่างกันเล็กน้อยทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นไป

สายตาของชายทั้งสองคนได้สบกัน หลังจากจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ละอองมณีก็พูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง

“เรามีแขก”

“…”

“แขกปัญญาอ่อนที่ไร้มารยาท แกกล้ามากเลยนะ รู้บ้างไหมว่าที่นี้ที่ไหน?”

“สมบัติ ละอองมณี”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ

“นายน่าจะซื้อแฟรี่ท้องฟ้ามาในโรงประมูลวันนี้”

ละอองมณีได้ขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นเขาก็หันไปเห็นแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังยืนอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม เขาได้ปรบมือเข้าด้วยกัน และแสดงสีหน้ากังวลออกมา

ทันทีที่เขาเห็นเธอ เข้าก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปแล้ว

“อ่อ~”

เขาได้เปิดตากว้างพร้อมยิ้มเยาะเย้ยออกมส

“เข้าใจแล้ว~”

“พาตัวเขามา”

ซอลจีฮูได้ขัดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งการ ละอองมณีได้แค่นเสียงขึ้น

“ทำแล้วจะได้อะไรล่ะ?”

“ถ้างั้นฉันก็จะให้นายได้ตายอย่างสงบ”

ละอองมณีได้อ้าปากกว้าง

“ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

เขาได้ขมวดคิ้ว และหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อเขายกแขนขึ้น ฮิวโก้ก็ยังยกขวานขึ้นเช่นกันเป็นสัญญาณที่บอกว่าพร้อมจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อหากว่าละอองมณีเล่นตลก

“ท่านละอองมณี!”

“ระวัง…!”

ขณะที่รอบๆได้เกิดเสียงวุ่นวายขึ้น โชฮงก็ยิ้มเยาะออกมา ในเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายบุกอยู่ฝ่ายเดียว เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกลูกน้องเหล่านี้ถึงยืนอยู่แต่ด้านหลัง แต่ว่ามันก็ยังน่าขำที่เจ้าพวกนี้ทำเป็นเก่งในตอนหัวหน้าตกอยู่ในอันตราย

“หุบปาก! พวกแกมันน่าอับอาย!”

ละอองมณีได้หันกลับไปมอง และตะโกนขึ้นจนทำให้เสียงบ่นเงียบไปทันที หลังจากแสยะยิ้มออกมา เขาก็วางมือลงไปบนไหล่ของซอลจีฮู

“นายค่อนข้างจะดื้นเลยนะสหาย”

จากนั้นด้วยเสียงหัวเราะแปลกๆ เขาก็ได้พยักหน้าออกมาราวกับเห็นด้วยกับการกระทำของซอลจีฮู

“ใช่แล้วล่ะ นายควรจะเป็นแบบนี้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้าย นายต้องกล้าแบบนี้! ฉันชอบนาย”

เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงดัง และตบบ่าซอลจีฮูอย่างแรง

“แต่นายรู้อะไรไหม…”

ทันใดนั้นเขาก็จับบ่าซอลจีฮูแน่น และเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม

“นายต้องรู้ว่าเล่นกับใครด้วย นายจะเที่ยวเห่าไปทุกที่ไม่ได้หรอกนะ”

“…”

“อย่างน้อยที่สุด นายก็ควรจะมาคุยกับฉันก่อน บางทีฉันอาจจะส่งเขาคืนให้นายก็ได้นะ ในเมื่อนายทำกับฉันแบบนี้นายยังหวังให้ฉันทำดีด้วยอีกไหมล่ะ? ฉันพูดถูกไหม?”

ละอองมณีได้ลูบแก้มซอลจีฮู และเผยฝันสีเหลืองออกมา

“มีคำกล่าวไว้ว่าพวกโง่จะไม่รู้จักกลัวความยิ่งใหญ่… ฮ่าห์”

เขาได้เอามือออกมา และเท้าเอวขึ้น ก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนพื้น และพูดออกมาเหมือนกับเป็นคนใจ้กว้าง

“ก็ได้! ฉันจะคืนเขาให้กับนาย! นายถึงขนาดเอาแฟรี่ท้องฟ้าอีกตัวมาขอความเห็นใจเลยนี่นา ฉันไม่ได้เป็นคนเย็นชาหรอกนะ ช่วยรอเดี๋ยวแล้วกัน”

ด้วยแบบนี้เขาได้หันกลับเดินเข้าไปในอาคาร ไม่นานนักเขาก็กลับออกมาพร้อมวัตถุทรงกลมที่แช่อยู่ในของเหลว

“เอ้า รับไปสิ”

เขาได้โยนออกมาทางชายหนุ่มเหมือนกับเป็นลูกบอล ลูกทรงกลมที่ถูกแช่ไว้ในของเหลวได้กลิ้งมาตามพื้นก่อนที่จะถึงเท้าของซอลจีฮู

ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่ใช่แฟรี่ท้องฟ้าเลยสักนิด

“ไม่ใช่เขา? ถ้างั้นนี่มันอะไร?”

อีกชิ้นได้ถูกโยนออกมาข้างหน้า

เมื่อก้มมองดูที่เท้าแล้ว ซอลจีฮูก็หรี่ตาออกมา ตัดสินจากหูของสิ่งนี้แล้ว นี่คงจะเป็นแฟรี่ท้องฟ้า

ปัญหาคือเหลืออยู่เพียงแค่หัวเขาเท่านั้นเอง นอกไปจากนี้ยังได้รับความเสียหายมากจนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นใคร เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้เน่าหรืออะไร ละอองมณีคงจะต้องเก็บเอาไว้ทำยาดองสูตรพิเศษอย่างแน่นอน

แม่แฟรี่ท้องฟ้าที่ตามซอลจีฮูมาจากโรงประมูลได้ทรุดตัวกับพื้นทันที จากนั้นถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะอ่อนแอ แต่ว่าเธอก็ยังคงพยายามคลานมาข้างหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

“อ่า…”

งึกๆ เธอได้ค่อยๆโกยหัวไร้ร่างเข้าหาตัวเอง

“อ่า…. อ่า…”

เธอได้เปล่งเสียงไร้ซึ่งความหมาย พร้อมทั้งแสดงใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกออกมาอย่างชัดเจน จริงๆแล้วหัวในมือของเธอมันแทบจะแยกแยะเผ่าพันธุ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นี่จึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคือหัวของใคร

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา!”

ในท้ายที่สุดเธอก็กอดหัวเอาไว้แน่น และโหยหวนออกมา

“ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?”

ละอองมณีได้มองดูแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังคร่ำครวญ และถามออกมาหน้าไม่อาย

“ลองดูใกล้ๆสิ อะไรนะ คิดว่าไม่ใช่เขาหรอกหรอ? ยังมีอีกนะ อยากให้ฉันเอามาเพิ่มไหมล่ะ? หรือว่าที่ร้องไห้ก็เพราะกำลังประทับใจน่ะ? ฮุฮุฮุ!”

เสียงหัวเราะมีความสุขสดชื่นได้ดังออกมาจากเขา

“พวกแกกำลังทำอะไรกันอยู่? ไม่ใช่ต้องปรบมือให้กับการได้กลับมาพบกันอันซาบซึ้งหรอกหรอ?”

เขาได้ปรบมือพร้อมกับหัวเราะออกมา จากนั้นเองทันใดนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วนิ่งไป มันมีเหตุผลที่เขาทำแบบนี้อยู่ ในตอนนี้ลูกน้องของเขาน่าจะกลับมามีความมั่นใจ และกำลังใจจนทำให้พวกเขาปรบมือ และหัวเราะตามออกมาได้แล้วสิ

แต่แล้วเมื่อมองกลับไปมอง ใบหน้าละอองมณีก็ต้องเดือดดาลขึ้นมา ลูกน้องของเขาทั้งหมดได้ถอยหลังกลับไปอย่างหวดกลัวด้วยสีหน้าที่เหมือนกับจะบอกว่า ‘เราซวยแล้ว’

“แก…”

ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงเหมือนกับลาวาที่กำลังจะปะทุได้ดังก้องออกมาจากด้านหน้าของเขา

“ไอ้สารเลว…!”

ขณะที่ละอองมณีหันกลับไปมองชายหนุ่มก็รู้สึกถูกสายตาทิ่มแทง

“อึก!”

ประกายสายฟ้าได้สว่างวาบอยู่ตรงหน้าของเขา

เป็นการโจมตีอย่างกระทันหัน

เขายังไม่ทันได้เห็นเลยด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มตรงหน้าทำอะไร

มีเพียงก็แต่จู่ๆตาของเขาก็ร้อนขึ้นมา

ขณะที่ละอองมณีกำลังเดินเซถอยหลับไป สิ่งเดียวที่เขาได้เห็นก็คือซอลจีฮูได้ดึงแขนกลับไปอย่างรุนแรง

“แก…!”

กร๊อบบ! ก่อนที่จะได้ทันพูดจบ ดั้งจมูกของละอองมณีก็ถูกบดขยี้ไปเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่พวยพุ่งขึ้นมา

“อ๊ากกกกกก!”

ละอองมณีได้ล้มทรุดลงไปตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด เขาได้จับจมูกดิ้นพล่านไปมาเหมือนกับปลา

จากนั้นการเตะอันรุนแรงดุดันก็ได้ตามเข้ามา ทันทีที่เท้าของซอลจีฮูกระแทกใส่ท้องของละอองมณี ดวงตาของเขาก็ถลนออกมา

“อั๊ก! อ๊ากกก!”

เขาได้อ้วกออกมาพร้อมๆกับเสียงโหยหวนเหมือนคนกำลังตาย แต่ว่าการเตะไม่ได้จบลงแค่นั้น

ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม… และครั้งที่สี่คงจะเสริมมานาเข้ามาด้วยทำให้ร่างของละอองมณีลอยขึ้นไปจนกระแทกเข้ากับบันได