บทที่ 251 – อีวายามค่ำคืน (6)
“อ๊ากกกก!”
เลือดกองใหญ่ได้ไหลออกมาจากปากของละอองมณี เขาได้พยายามตะเกียดตะกายลุกจากพื้นด้วยความสับสน และตกตะลึง แต่เขาก็แทบไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้เลย
ทั้งหมัด และเท้าที่อัดแน่นไปด้วยมานาได้เปลี่ยนให้ภายในร่างกายของเขายุ่งเหยิง
แม้กระทั่งในตอนที่ระดับมานาของซอลจีฮูอยู่ที่ ปานกลาง (สูง) ก็ยังสามารถจะตัดเมดูซัสที่อยู่ในจุดสูงสุดระดับกลางของพวกปรสิตได้เลย เพราะงั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่ชาวโลกธรรมดาๆคนหนึ่งจะทนกับการโจมตีระดับ สูง (สูง) ได้
“อะ ไอ้สารเลว…!”
ละอองมณีได้พยายามเงยหน้าขึ้นมา ซอลจีฮูได้ยกเท้าขึ้นข้างหน้าทันที และเมื่อละอองมณีเห็นแบบนี้ก็ได้รีบตะโกนออกมา
“ไอ้สารเลว แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!?”
เท้าได้ชะงักไป
“แกคิดว่าแกเป็นใคร…?”
ละอองมณีได้หยุดพูดไปกลางคันด้วยสีหน้าสับสน นั่นก็เพราะจู่ๆศัตรูก็ย่อตัวลงมาสบตากับเขา
เมื่อเขาได้สบตากับสายตาอันน่ากลัวของชายหนุ่ม และสัมผัสได้ถึงออร่าอันน่าหวาดผวา-
“…”
ลมหายใจของละอองมณีก็นิ่งไป
“นายเป็นใครล่ะ?”
น้ำเสียงนิ่งๆได้ดังออกมา เพียงแค่สายตามันก็เหมือนกับจะฆ่าเขาได้เลย การได้เผชิญหน้าเข้ากับสายตานี้ได้ทำให้สีหน้าโกรธแค้นของละอองมณีได้กระจายหายไปแทบจะทันที
เหงื่อได้ค่อยๆหยุดลงมาจากหน้าผากของเขาทีละหยด รูขุมขน ม่านตา และริมฝีปากที่โชกเลือดของเขาได้เปิดกว้างด้วยความกลัว
“แกเป็นใคร?”
คำถามน่าขนลุกได้ดังออกมาอีกครั้ง ละอองมณีได้พยายามฝืนกลืนน้ำลายลงไป เนื่องจากว่าเขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมของฆาตกร เขาจึงไวต่อเรื่องของความเป็นตาย
เขาจะตาย ไม่ว่าเขาจะตอบอะไรไปเขาก็จะตาย
เขาต้องตายแน่ๆ สายตาของชายคนนี้บอกออกมาแบบนั้น
“มะ ไม่… ฉัน…”
“บอกมาสิ”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆยื่นมือออกมาจับคอของละอองมณีเอาไว้
“แก-“
เมื่อเขาได้ยืนขึ้น ละอองมณีก็ถูกลากขึ้นมาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มได้ยกแขนขึ้นพร้อมกับตะโกนดังลั่น
“เป็นใคร!?”
และกระแทกเข้าใส่ใบหน้ากระตุกของละอองมณี
ปัง!
หมัดจะต้องหนักมากๆจนถึงขนาดทำให้เกิดรอยแตกขนาดเล็กขึ้นที่พื้นจากการกระแทกของละอองมณี
มันได้แสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาล จากการโดนพละกำลังนี้เข้าไปทำให้ละอองมณีตัวงอลงเหมือนกุ้ง
มีสมาชิกองค์กรที่เฝ้าอยู่ดูบางคนได้พยายามจะเข้ามาช่วยหัวหน้า แต่ยังไงก็ตามพวกเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อฟีโซราได้ก้าวออกมาจากทางขวา และโชฮงได้ก้าวออกมาจากทางซ้าย
อาวุธที่พวกเธอถือเอาไว้ต่างก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยปราณอย่างชัดเจน
“นะ นั่นมันปราณดาบ?”
“แรงค์เกอร์ระดับสูงสองคน… ถ้างั้นต่อให้ท่านจิรายุ แมทธิจะมา…”
พวกเขาทำได้แต่พึมพำกับตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นซอลจีฮูจึงสามารถระบายความโกรธออกมาได้เต็มที่โดยไม่มีใครขัดขวาง
“ฉันไม่ปล่อยให้แกได้ตายง่ายๆแน่ จำคำนี้เอาไว้เลย”
เขาได้ตะคอกออกมา แต่ว่านี่มีแต่ทำให้ละอองมณีโกรธมากขึ้นเท่านั้น
ซอลจีฮูได้ค้นลงไปหยิบขวดยาออกมาจากเข็มขัดสีดำ นี่ก็คือน้ำยาแปรธาตุที่เขาได้เอามาจากที่ซ่อนตัวของอาเบอร์ มูโต้ในเทือกเขาหินยักษ์
สิ่งที่ซอลจีฮูหยิบออกมาก็คือขวดน้ำยาที่เต็มไปด้วยของเหลวสีส้มสดใส ซอลจีฮูได้เปิดฝาออก และจากนั้นก็เทราดใส่ละอองมณีโดยไม่พูดคำใด
ซ่าห์!
ทันทีที่ของเหลวได้ถูกร่างละอองมณี เปลวเพลิงรุนแรงก็ถูกจุดขึ้น และกระจายไปทั่วร่างละอองมณีในทันที นี่คือการเผาทั้งเป็น
ดวงตาละอองมณีได้เบิกกว้างขึ้น
“อ๊ากกกกกกกกก!”
เขาได้ดิ้นพล่านไปมาเหมือนกับแมลงถูกเผาก่อนที่จู่ๆจะกลายเป็นปลาที่ดิ้นไปมา
แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้หยิบเอาหอกพิสุทธิ์ขึ้นมา และฟาดเข้าใส่ละอองมณีอย่างแรกงราวกับว่าเขาไม่สนใจเลยสักนิด
“อ๊าา!”
มันได้ดำเนินต่อไปปโดยที่การฟาดไม่ได้จบลงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
หัว ไหล่ เข่า เท้า เข่า เท้า… ซอลจีฮูได้ใช้ด้ามหอกบดขยี้ร่างกายของละอองมณีโดยไม่หยุดพัก
“อ๊ากกก! อ๊าา! ฮ่าาาห์! อ๊ากกก!”
ละอองมณีกำลังจะกลายเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ทุกๆการโจมตีจะทำให้กระดูก เนื้อฉีก และเลือดกระจายออกมา
ที่แย่ไปกว่านั้นเปลวเพลิงก็จะแผดเผาตามแผลของแทบจะทันที นี่เป็นความเจ็บปวดที่เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์คนใดไปแล้ว
ฟ่อออ
ในท้ายที่สุดละอองมณีที่ทนไม่ไหวก็กลายเป็นลมน้ำลายฟูมปากไป
แต่นั่นก็แค่ทำให้ซอลจีฮูหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแทกหอกเข้าใส่ท้องของละอองมณี เขาได้ยกร่างละอองมณีขึ้นมาเหมือนกุ้งเสียบไม้
ซ่าาาห์! เมื่อเปลวเพลิงได้ดับลงไป ซอลจีฮูก็ถอนหอกออกจากละอองมณี และโยนร่างเขาลงไปกับพื้น มันยังไม่จบเท่านี้
“มาเรีย!”
ซอลจีฮูได้ตะโกนขึ้นพร้อมหยิบน้ำยารักษาออกมา
“รักษาเขา”
“…วะ ว่าไงนะ?”
“ฉันบอกให้รักษาเขา แค่ทำให้เขาได้สติมาก็พอ อย่าปล่อยให้เขาตาย”
“…”
มาเรียได้หยิบไม้กางเขนออกมาโดยไม่คิดอะไรอีก ริมฝีปากของเธอได้กระตุกอยู่เล็กน้อยขณะที่แสดงสีหน้างงงวยออกมา แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะพูดออกมาได้เพราะคำสั่งที่น่ากลัวของซอลจีฮู
เธอเพียงแค่ร่ายเวทย์ออกมาตามที่เขาบอก
ซอลจีฮูเองก็ยังสาดน้ำยารักษาใส่ละอองมณี และมองดูแสงเวทย์รักษาสีขาวค่อยๆลดลง
“ฮ่าาห์ ฮ่าาาห์!”
ละอองมณีค่อยๆฝืนลืมพร้อมไอเสียงแหบแห้งออกมา สีหน้าของเขาได้ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
จากความทรมานก่อนหน้านี้ได้ทำให้เขาเข้าใจแล้ว เขายอมตายเสียดีกว่าต้องทรมานกับความเจ็บปวดเหมือนเก่า และในตอนนี้เมื่อเขาได้เผชิญมาเอง เขาก็รู้แล้วว่าซอลจีฮูหมายความว่ายังไงที่บอกว่าจะไม่ฆ่าเขาง่ายๆ
เขาได้เงยหน้าขึ้นไปมองดูแฟรี่ท้องฟ้า จากนั้นก็กระแทกหน้าผากลงทั้งน้ำตา
เขาดูเหมือนจะกำลังขอโทษอยู่ แต่ว่ามันดูจะสายเกินไปหน่อยแล้ว
ซอลจีฮูได้แค่นเสียง และโยนน้ำยาลุกไหม้ขวดที่สองลงไป แม้ว่าทั้งตัวละอองมณีจะเปียกโชกไปด้วยน้ำ แต่ว่าไฟก็ยังติดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ซอลจีฮูได้ใช้ด้ามหอกฟาดเขาต่อ ก่อนจะโยนลงบ่อน้ำเพื่อดับไฟ และจะรักษาเขาเมื่อเขาหมดสติไป
ซอลจีฮูได้ทำขั้นตอนเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้การจ้องมองอันเงียบกริบของทุกๆคน
มีเพียงแต่เสียงกรีดร้องดังออกมาเท่านั้น
และไม่นานเสียงกรีดร้องก็ได้หายไป… ซอลจีฮูได้ใช้น้ำยาลุกไหม้ไปทั้งหมดหกขวดแล้ว
ขณะที่เขากำลังยกละอองมณีออกมาจากบ่อน้ำ สัมผัสที่เขารู้สึกได้ผ่านจากตัวหอกก็เหมือนกับยกขอนไม้ขึ้นมาเท่านั้น
ก้อนเนื้อรูปร่างมนุษย์ที่ถูกเผาจนไหม้กำลังลอยอยู่เหนือบ่อน้ำ ศพมันน่าสยดสยองมากเกินกว่าที่จะมองได้
ฮิวโก้ได้เดินเข้ามาดึงแขนซอลจีฮูเอาไว้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ซอล ซอล! หยุดเถอะ เขาตายไปแล้ว!”
“คุณควรจะหยุดได้แล้ว คุณกำลังจะกลายเป็นมอนสเตอร์หรอครับ?”
มาแชล จิโอเนียก็ยังแทรกขึ้นมา แม้กระทั่งแฟรี่ท้องฟ้าที่โหยหวนก็ยังหยุดร้องไห้ และมองดูภาพตรงหน้าราวกับต้องมนต์
ซอลจีฮูได้สะบัดฮิวโก้ออกไป และหอบหายใจอย่างหนัก คริสตัลที่อยู่ในกระเป่าของเขาก็ยังส่องแสงออกมาอย่างเหมาะเจาะ
ซอลจีฮูได้เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ก่อนจะหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา
-ฉันเอง เกิดอะไรขึ้น?
ซอลจีฮูได้จ้องคิมฮันนาห์
-…พอเข้าใจแล้ว
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มแห้งๆ และพูดขึ้น
-ยามของอีวากำลังใกล้จะไปถึงที่นั่นแล้ว ฉันเรียกพวกเขาเอง
“อะไรนะ?”
-นายคิดว่านายจะทำเรื่องพวกนี้ และจากไปเงียบๆได้งั้นหรอ?
“…”
-ถ้านายจะทำอะไรสักอย่างก็รีบๆทำจะดีกว่านะ ยังไงเมื่อไหร่ที่ยามไปถึงก็ยอมให้พวกเขาจับตัวนายซะ อย่าได้ต่อต้านจนเรื่องกลายเป็นซับซ้อนกว่านี้อีก ฉันได้คุยกับซอกกูนีร์เรียบร้อยแล้ว แล้วก็…
เมื่อซอลจีฮูกำลังจะวางสาย คิมฮันนาห์ก็รีบพูดต่อ
-ไว้ชีวิตพวกมันไว้สักสิบคน
“…ไม่ใช่เธอบอกให้กวาดล้างให้หมดหรอกหรอ?”
-นี่เป็นคำขอจากราชวงศ์ ราชวงศ์อยากที่จะรักษาหน้าเอาไว้ พกเขาจะต้องขังนักโทษเอาไว้ก่อนที่จะเกิดการประหาร เพราะงั้นซอกกูนีร์เลยขอให้ช่วย
ซอลจีฮูได้วางสายลงไป
“เธอว่ายังไงบ้างล่ะ?”
ฟีโซราที่มองจับตาฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดได้ถามออกมา แม้กระทั่งในตอนนี้สมาชิกของรอยัลพัทยาก็ยังไม่ได้ขยับแม้แต่นิด
พวกเขาถึงขนาดไม่พยายามหนีเลย
มันค่อนข้างน่าตลก แม้กระทั่งหนอนหากถูกเหยียบมันก็ยังดิ้นเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการขยับมีผลลัพธ์เดียวคือความตาย พวกเขาทุกคนก็เอาแต่ดูเหมือนหน้าพวกเขาตายไปอย่างน่าสมเพช
พวกเขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมอันปลอดภัยตลอดเวลาในพาราไดซ์ สนุกไปกับชีวิตที่เหมือนเกม ดังนั้นเมื่อได้เห็นความบ้าคลั่งของซอลจีฮู พวกเขาจึงหมดกำลังใจในการต่อสู้ไปแล้ว
ในตอนนี้มันยากที่จะเรียกพวกเขาว่าศัตรูด้วยซ้ำไป พวกเขาเป็นเหมือนกับหุ่นไล่กาที่รอการถูกฟันซะมากกว่า
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นเบาๆ
“ฆ่าให้หมด เหลือไว้แค่สิบคนพอ”
ฟีโซราได้ผิวปากออกมา
“ท่านสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีแห่งรอยัลพัทยาได้ยินกันแล้วใช่ไหม?”
ฟีโซราได้ชักดาบ เดินไปข้างหน้าพร้อมปรบมือออกมา
“หากไม่ทำอะไรพวกนายก็แพ้ ตอนนี้ถึงเวลาตายแล้วนะ”
เธอได้บิดคอไปมาพร้อมพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ
“ไม่ว่าจะต่อต้านหรือวิ่งหนี พวกนายก็จะตายอยู่ดี แต่ว่าอย่าได้มาร้องขอชีวิตเชียวล่ะ! อย่ามาโทษเรานะ ในตอนพวกนายล่าคนต่างเผ่าพันธุ์ พวกนายก็ไม่คิดเห็นใจพวกเขาเหมือนกันนี่~? มาจบมันกันดีกว่านะ”
ฟีโซราได้พูดทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ในตอนนี้ถ้าไม่อยากตายก็ทิ้งอาวุธยอมแพ้ซะ สิบคนแรกจะได้รับโอกาสรอดชีวิต พร้อมนะ? ถ้างั้นก็…”
แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ทันพูดจบ ฝ่ายตรงข้ามกว่าครึ่งก็ได้ทิ้งอาวุธลงไปคุกเข่ากว่าครึ่งแล้ว ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ยังแสดงความลังเลออกมา มันได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมจะยอมแพ้ทุกเมื่่อ
โชฮงได้ส่ายหัวออกมา ในตอนแรกเธอค่อนข้างจะกังวลที่ต้องมาโจมตีองค์กรระดับกลางในอีวา แต่แล้วเมื่อเห็นแบบนี้ สมาชิกขององค์กรนี้ทั้งหมดเทียบไม่ได้กับทีมระดับสูงด้วยซ้ำไป
แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังคาดไม่ถึง เธอได้แอบหันกลับมามองซอลจีฮู
“…เอาไงดีล่ะ?”
“อย่าให้ฉันพูดซ้ำสอง”
ซอลจีฮูพูดออกมาอย่างเย็นชา ฟีโซราได้หยักไหล่ และมองไปรอบๆ ไม่มีเหยื่อไหนจะจัดการได้ง่ายไปกว่าคนที่สูญเสียจิตใจไปอีกแล้ว สายตาของเธอได้กลายเป็นเฉียบคมก่อนที่จะกระโจนไปข้างหน้าเหมือนเสือดำ
การสังหารหมู่ฝ่ายเดียวได้เกิดขึ้นแทบจะทันที
หัวได้ถูกตัด บดขยี้ และคนที่พยายามหนีก็จะถูกลูกศรหน้าไม้สอยร่วงอย่างรวดเร็ว
เสียงกรีดร้องได้ดังก้องกังวาลไปทั่วพื้นที่ ความเงียบได้คงอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น และทั้งพื้นที่รอยัลพัทยาก็ได้กลายเป็นวุ่นวายอีกครั้ง
ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า…
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะเข้าร่วมการสังหารหมู่ เขาก็รู้สึกว่าถูกดึงชายเสื้อจนต้องหันกลับไปมอง
“…โฟลน?”
[ตรงนี้]
เธอได้ชี้ไปที่ทางเข้าอาคาร ซอลจีฮูได้หันมองตาม และขมวดคิ้วออกมา
มีร่างเล็กๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่ถูกวางเอาไว้ที่บันได
[ฉันพาเขาออกมา]
“เธอหรอ?”
[อื้ม ฉันได้เข้าไปดูรอบๆให้มั่นใจ ระหว่างที่ฉันกำลังกลับหลังจากที่ฆ่าคนเรียกกองกำลังเสริมแล้ว ฉันก็ได้เจอห้องใต้ดิน ฉันเจอเขาอยู่ที่นั่นแหละ]
“เป็นไปได้ไหมว่า…”
[ไม่ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ อ๊าา… นี่นั่นมันน่าขนลุกจริงๆ]
โฟลนได้ตัวสั่นออกมาซึ่งไม่สมกับเป็นเธอเลย
[เด็กหนุ่มแฟรี่ท้องฟ้า เป็นเขาใช่ไหมล่ะ?]
ซอลจีฮูได้ทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งในอีวาการจะหาคนต่างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ละอองมณีจะทำการฆ่า ‘ของเล่น’ อันล้ำค่าอย่างรวดเร็ว นั่นมันหมายความว่าหัวที่เขาโยนออกมาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นแฟรี่ท้องฟ้าที่เขาได้ฆ่ามานานแล้ว
สุดท้ายแล้วการยั่วยุที่ไม่คิดหน้าคิดหลังนั่นได้ทำร้ายเขาเอง
ซอลจีฮูได้รีบวิ่งเข้าไปพาตัวเด็กชายมาหาแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังคุกเข่าอยู่ เป็นอย่างที่คาดไว้…
“ละ… ลูก…!”
แฟรี่ท้องฟ้าได้เบิกตากว้างพร้อมกอดเด็กชายเอาไว้แน่น
ซอลจีฮูได้ยิ้มอย่างอ่อนโยน นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขายิ้มออกมานับตั้งแต่มาถึงอีวา
“ดีใจด้วยครับ”
เมื่อซอลจีฮูได้ให้กำลังใจออกมา แฟรี่ท้องฟ้าก็ตัวสั่นขึ้นอย่างกระทันหัน เธอได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าหวาดผวา
แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เธอได้ค่อยๆก้มหัวต่ำลงจนแทบจะติดพื้น
“ขอบคุณ… ขอบคุณมากๆ…”
ซอลจีฮูได้ยิ้มตอบกลับไป
เสียงกรีดร้องได้กำลังลดลงไปแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าเขาเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของยามแล้วด้วย
ซอลจีฮูได้ลดหอกลง และเงยหน้าขึ้น
ความมืดมนของยามค่ำคืนได้หายไป และดวงอาทิตย์กำลังโผล่สาดแสงลงมาที่เมืองจากเส้นขอบฟ้า
“…”
ค่ำคืนอันยาวนานของอีวาใกล้ที่จะถึงจุดจบแล้ว