ตอนที่ 252

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 252 – หากว่าออกวิ่งทั้งๆที่เมาอยู่ (1)

ที่วังราชวงศ์อีวาได้คึกคาตั้งแต่เช้าตรู่เนื่องจากทางราชวงศ์เพียงจะได้รับข่าวความขัดแย้งภายในหลังจากเงียบสงบมาเป็นปี

ซอกกูนีร์ได้รีบตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าราวกับมีฟ้าผ่ากลางแจ้ง และเมื่อเขาเห็นกลุ่มชาวโลกถูกพามาแสดงตัวทีละคน เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก

สมาชิกองรอยัลพัทยาได้ถูกมัดเอาไว้ และแสดงสีหน้าสับสน ที่ด้านหลังพวกเขาก็มีสมาชิกของสหพันธรัฐกำลังแสดงสีหน้าโกรธแค้น และด้านหลังสุดก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่เงียบๆท่ามกลางความวุ่นวาย

นี่มันเป็นเรื่องจริง

ในตอนแรกที่เขาได้ยินข่าว เขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ว่าในตอนนี้พอมาได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ซอกกูนีร์ก็ตกอยู่ในความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

หากจะให้อธิบายให้ชัดที่สุด มันคงจะเป็น… ยินดี

‘ชาวโลกคนนี้…’

เขาเป็นของจริง

จากที่เขาประกาศออกมาว่าจะกำจัดความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกในอีวาก็เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง ไม่มีใครกล้าที่จะไปแตะต้ององค์กรพันธมิตรในอีวา แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับกระชากคอพวกมันออกมาชกตรงๆ

“มาแล้วสินะ ท่านผู้ดูแล”

ซอกกูนีร์ได้พยายามตั้งสติเมื่อทหารได้พาหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามา เมื่อดูเธอแล้ว เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนถึงขอบตาแดงของเธอ

ซอกกูนีร์ได้จ้องไปที่หญิงสาวที่ถอดฮูดออกมา คิมฮันนาห์เธอได้โค้งคำนับออกมาด้วยความเคารพ

“เรารู้สึกอับอายมากที่สร้างปัญหาแบบนี้นับตั้งแต่วันแรกที่เราย้ายเข้ามา”

“คุณทำให้ผมทึ่งจริงๆ การบุกโจมตีตั้งแต่วันแรกนี่มัน…”

“พวกเรายอมรับว่าเราทำเกินไปหน่อย แต่ว่าทั้งหมดนี่เป็นไปตามประสงค์ของท่านราชินี และเพื่อปกป้องกฎของอีวา มันจะต้องถูกทำให้เรียบร้อย”

คิมฮันนาห์ได้อ้างถึงกฎเป็นข้อแก้ตัวของพวกเขา

เหตุการณ์มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว การจะรับมือนับจากนี้อย่างไรจะเป็นตัวกำหมดความผลที่ตามมา คิมฮันนาห์ได้เตรียมหาที่พึ่งเอาไว้ก่อนแล้ว

ซอกกูนีร์ก็ไม่ได้โง่ เขาเข้าใจเจตนาของคิมฮันนาห์เป็นอย่างดี ผู้ดูแลของราชวงศ์มีอำนาจที่จะตอบสนองในความคาดหวังของเธอ

“ผมได้ยินเรื่องราวมาแล้ว”

ซอกกูนีร์ได้พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ผมเชื่อว่าคุณคงมีหลักฐานสินะ?”

“พวกเราได้ไว้ชีวิต… ไม่สิ จับสมาชิกได้สิบคน เรายังได้ปล่อยสมาชิกจากต่างเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่ถูกจับเอาไว้ในโรงประมูล และพาพวกเขามาด้วย”

“อืมม…”

ในตอนนั้นเองทหารก็ได้ค่อยๆพูดแทรกเข้ามา

“พวกเราเพิ่งจะได้รับรายงานเรื่องชั้ตใต้ดินของอาคารองค์กรรอยัลพัทยา”

“ชั้นใต้ดิน”

“ใช่แล้ว อืมม… มีศพของสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ถูกตั้งโชว์เอาไว้อย่างชัดเจน…”

สีหน้าของซอกกูนีร์ได้บิดเบี้ยวไป แต่ไม่นานนักเขาก็รักษาท่าทีกลับมา และพยักหน้า

“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องให้พูดแล้ว ความขัดแย้งภายในได้นำไปสู่ความรุนแรง และสิ่งต้องห้าม มันจะเป็นคนล่ะเรื่องหากสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ถูกจับเอาไว้ตามกฎหมาย แต่ว่านี่มัน…”

ขณะที่ซอกกูนีร์ได้พึมพำกับตัวเอง ดวงตาของคิมฮันนาห์ก็ได้เป็นประกายแสงออกมา

ซอกกูนีร์ได้เดินผ่านเธอไป และไปหยุดอยู่ตรงหน้าซอลจีฮูที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่เงียบๆ

“ช่วยออกไปด้วยครับ”

จากคำพูดที่เหมือนพูดผ่านได้ทำให้ซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมองซอกกูนีร์

“ที่นี่เป็นสถานที่ของอาชญากร ไม่สมควรที่จะมีคนที่ไม่ใช่อาชญากรอยู่ที่นี่ พวกเราได้ฟังคำให้การของคุณแล้ว เพราะงั้นตอนนี้คุณไปได้แล้วล่ะ”

ซอกกูนีร์ได้จ้องเขาอยู่พักหนึ่ง

ซอลจีฮูที่เข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่ายได้ลุกขึ้นมา เนื่องจากว่าเขาได้รับการดูแลในฐานะผู้ให้การ และไม่ใช่อาชญากร เขาจึงไม่ได้ถูกมัดเอาไว้อยู่แล้ว

หลังจากโค้งคำนับ ซอลจีฮูก็หันหน้าเดินตรงไปที่ประตู ซอกกูนีร์ได้แต่มองดูแผ่นหลังชายหนุ่มค่อยๆเดินจากไปนิ่งๆ

[หนึ่งในเหตุผลที่ผมพยายามจะไปที่อีวาก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของมนุษยชาติกับสหพันธรัฐ]

[ตัวละครหลักของเกมนั้นได้บอกเอาไว้แบบนี้ ความชั่วคือความชั่ว]

[น้อยกว่า มากกว่า… มันก็ไม่ต่างกัน หากว่าให้ผมต้องเลือกสักอย่าง ผมขอไม่เลือกเลยซะดีกว่า]

[นั่นมันหมายความว่าผมจะไม่ปล่อยฝ่ายไหนไป]

ซอลจีฮูได้รักษาสัญญาของเขาเอาไว้

แม้ว่าซอกกูนีร์จะไม่เคยขอให้ชายหนุ่มสัญญา แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องจัดการ

การพูดว่า ‘ทำได้ดี’ หรือ ‘เยี่ยมมาก’ มันไม่มีความหมายอะไรเลย เขาจะต้องต่อสู้ แบกรับความเสียหาย ปกป้อง และสนับสนุนชายหนุ่ม ซอกกูนีร์รู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใครๆ

ความเน่าเฟะอันยาวนานที่ฝังรากลึกอยู่ในอีวาได้ค่อยๆถูกกำจัดออกไป และเผยความสง่างามออกมาให้เห็นแล้ว

หากว่าเขาพลาดโอกาสนี้ไป เขาก็คงจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิต

ซอกกูนีร์ได้กำหมัดเอาแน่น

‘พอมาคิดดูแล้ว ระหว่างเหตุการณ์ในฮารามาร์ค…’

ซอกกูนีร์ได้เริ่มตรวจสอบรายงานของหน่วยข่าวกรองก่อนที่จะเรียกทหารเข้ามา

“ไปที่สมาคมนักฆ่ากันเถอะ”

***

แสงสว่างได้สาดส่องออกมาจากชั้นที่หนึ่งของสำนักงานใหม่คาเพเดี่ยม ซอยูฮุยกับจางมัลดงได้นั่งเฝ้ารอพวกเขาทั้งคืนโดยไม่นอน และคู่พี่น้องยี่ที่นอนอยู่บนโซฟาคงจะหลับไปจากความเหนื่อย

“ไม่นอนหรอครับ?”

“จะทำไงได้ล่ะในเมื่อสมองมันตื่นแล้ว?”

จางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆ จากนั้นก็ถามออกมา

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

“ในตอนนี้เราจัดการเรียบร้อยแล้ว”

ในตอนนี้ นี่มันหมายความว่าพวกเขาเพิ่งทำขั้นตอนแรกในกระบวนการอันสำคัญเสร็จเท่านั้น

“พวกเราได้เข้าโจมตีโรงประมูล ปลดปล่อยสมาชิกสหพันธรัฐให้เป็นอิสระ และโจมตีรอยัลพัทยาเพื่อช่วยเหลือแฟรี่ท้องฟ้าที่ถูกขายออกไป”

“…เข้าใจแล้ว”

ทั้งสองคนที่ได้ยินแบบนี้ได้เงียบลงไป ทั้งคู่ต่างก็ดูเหมือนจะมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด และได้ฟัง แต่ว่าจางมัลดงก็ได้นวดจมูก และพยักหน้าออกมาอย่างสงบ

“มันคงจะหนักสินะ ไปพักก่อนเถอะ”

“…ครับ อาจารย์ก็ควรจะไปนอนเหมือนกันนะครับ”

ซอลจีฮูได้เดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆโดยไม่อธิบายอะไรเลยแม้แต่นิด เพราะแบบนี้สมาชิกคนอื่นๆก็ได้กระจายตัวออกไปทีละคน

โชฮงกับฮิวโก้ได้ตามซอลจีฮูไปพร้อมบ่นเรื่องนอนไม่พอ ส่วนมาเรียกับฟีโซราได้เดินลงชั้นใต้ดินไปโดยบอกว่าอยากจะไปดูน้ำพุร้อน

มีก็แต่มาแชล จิโอเนียเท่านั้นที่นั่งลงไปบนโซฟา เขาได้หันไปมองที่ทางเข้าพร้อมจับหน้าไม้สีขาวเอาไว้

จางมัลดงได้มองดูเขาแปลกๆเหมือนเขาพร้อมจะสู้ตลอดเวลา และมาแชล จิโอเนียที่รู้สึกว่าถูกมองก็พูดขึ้น

“ปลอดภัยไว้ก่อนครับ”

“?”

“พวกเราเพิ่งจะทำลายรอยัลพัทยาจนฟื้นตัวมาไม่ได้อีก แต่นั่นก็ยังมีองค์กรอื่นๆในอีวาอยู่อีก

จางมัลดงได้ร้องอ่อออกมา

ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนักธนูจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดเผื่อเอาไว้ ในแง่นี้มาแชล จิโอเนียเหมาะสมกับฉายานักธนูเหล็กกล้าอย่างแท้จริง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่โดยไม่นอนได้สี่คืน เพราะงั้นคุณไปนอนเถอะครับ”

จางมัลดงได้ยิ้มออกมา

“ทำได้ดีมาก ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะ”

มาแชล จิโอเนียได้เติมกระสุนหน้าไม้ และตอบกลับอย่างสงบ

“ไม่มีปัญหาครับ”

***

เมื่อซอลจีฮูลืมตาขึ้นพระอาทิตย์ก็ขึ้นอยู่กึ่งกลางท้องฟ้าแล้ว แต่แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา ซอลจีฮูก็ยังนอนอยู่ที่เตียงอยู่สักพัก

เขาได้นอนอยู่บนเตียงด้วยความสับสนโดยที่ภาพสิ่งต่างๆที่เขาได้ทำไปเมื่อคืนได้แล่นผ่านสมองเขาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ความทรงจำเมื่อคืนมันให้ความรู้สึกเหมือนกับความฝัน

จากนั้นซอลจีฮูก็ลุกขึ้นมามองดูมือตัวเองอย่างกระทันหัน

เมื่อคืนนี้ เขาได้ฆ่าผู้คนไปด้วยมือของเขาเอง เป็นจำนวนมากอีกด้วย

‘…เหมือนเดิมเลย’

เขายังคงไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิด แม้ว่าเขาจะฆ่ามนุษย์คนอื่นไป แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีร่องรอยความรู้สึกผิดหรือเจ็บปวดอะไรเลย

ทั้งกายและใจของเขาสงบนิ่งมาก มันมากจนเขารู้สึกแปลกๆ

แต่ว่าหากจะมีอะไรที่ยังคงคาใจเขาอยู่ มันก็คงเป็นสมบัติ ละอองมณี

แน่นอนว่าซอลจีฮูคิดว่าละอองมณีสมควรได้รับกับสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ว่าตัวเขาตามปกติจะไม่ทำถึงขนาดนั้น

มันมีบางอย่างภายในร่างของเขาถูกปลุกขึ้นมา แทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกครอบงำ

‘นิมิตก็ไม่ได้ทำงานแน่ๆ’

ความสามารถนี้จะมีผลข้างเคียงทำให้เขาเสียความทรงจำในระหว่างที่ทักษะนี้ใช้งานอยู่ แต่ว่าความทรงจำเมื่อคืนยังคงอยู่ในหัวเขาอย่างชัดเจน

‘บางทีอาจจะเป็นอิทธิพลจากนิมิตก็ได้ล่ะมั้ง…?’

ฉันเป็นโรคไพโบลาร์หรือยังไงกันนะ? ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจมองไปรอบๆ

จากนั้นเขาก็ต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา เขาได้ตระหนักถึงเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนฝัน

นั่นก็เพราะห้องที่เขาอยู่มันต่างจากที่ฮารามาร์คเกินไป

‘กว่าจะชินคงต้องใช้เวลาพอสมควรสินะ’

ซอลจีฮูได้หัวเราะเบาๆก่อนจะกำหมัด จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นเตียงนุ่มๆ และเดินตรงไปตามพรมที่นุ่มยิ่งกว่า

แม้ว่าเขาจะเดินด้วยท่าทางที่สง่า แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุดไปเมื่อเปิดประตู

สำนักงานใหม่มันซับซ้อนมาก โครงสร้างภายในของมันได้ทำให้เขารู้สึกสับสนมากจริงๆ ในสำนักงานเก่าสิ่งที่เขาทำก็มีแค่ออกมาจากห้อง และนั่งลงบนโซฟาเท่านั้นเอง

‘คิมฮันนาห์ เธอน่าจะสร้างที่นี่ให้มันพอประมาณพอแล้วนะ’

ซอลจีฮูได้มอบไปรอบๆจนในที่สุดก็เจอแผนที่ และเดินขึ้นไปที่โรงอาหารชั้นสิบ

น่าแปลกที่มีคนอื่นมาอยู่ก่อนแล้ว

คิมฮันนาห์กำลังอ่านรายงานพร้อมทั้งดื่มกาแฟด้วยมาดนักธุรกิจของเธอ

“เพิ่งตื่นหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้ถามขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากรายงาน ซอลจีฮูได้ชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลียนเสียงของจางมัลดงออกมา

“หลับสบายดัไหมคุณคิมฮันนาห์?”

“โอ้ อาจารย์จาง”

“อืมม”

“เอาเถอะ หยุดเล่นไว้เท่านี้ก่อนเธอ ถ้านายตื่นก็รีบมานั่งได้แล้ว ไว้ค่อยเล่นทีหลังก็ได้”

คิมฮันนาห์ยังคงนั่งดื่มกาแฟด้วยกริยาท่าทางที่งดงามโดยที่ไม่เหลือบมองซอลจีฮูแม้แต่นิด

ซอลจีฮูได้หยักไหล่ และเดินเข้ามา จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ได้ปล่อยกระดาษในมือลง และหันมามองหน้าเขา

“หลังตื่นขึ้นมาแล้ว นายจะทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ?”

“คือว่า… กำลังอ่านอะไรอยู่หรอ?”

ซอลจีฮูที่ไม่รู้จะตอบยังไงดีได้เลือกเปลี่ยนเรื่องไปแทน คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัว จากนั้นก็มองลงไปที่กระดาษอีกครั้ง

“เป็นรายงานข่าวกรองจากสมาคมนักฆ่า”

รอยยิ้มพึงพอใจได้ปรากฏออกมาบนใบหน้าของเธอ

“ซอกกูนีร์ ตาแก่คนนั่นจัดการกับปัญหาได้อย่างดีเลยล่ะ ฉันแทบจะรู้สึกเหมือนกับได้ของขวัญเซอร์ไพร์เลยล่ะ”

“เขียนไว้ว่าอะไรงั้นหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้ส่งกระดาษให้กับเขาแทนที่จะตอบ ซอลจีฮูได้รับมาทันที

หัวข้อเขียนเอาไว้ว่า:

-ศูนย์รวมอาชญากรรม และกิจกรรมผิดกฎหมาย โรงประมูล และรอยัลพัทยา

รายละเอียนของรายงานประกอบไปด้วยการกระทำที่ผิดกฎหมายของโรงประมูล และความโหดร้ายทารุณของหัวหน้ารอยัลพัทยา สมบัติ ละอองมณี

นอกจากนี้ยังมีข้อความจากตัวซอกกูนีร์เองว่า ‘ชาวโลกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องได้ถูกจับกุม และจะได้รับโทษตามกฏหมายของอีวา ราชวงศ์อีวาจะไม่ยอมปล่อยให้มีการกระทำผิดกฎหมายใดๆที่ส่งผลเสียต่อเมืองหรือทั่วทั้งพาราไดซ์”

แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจเลยก็คือไม่มีชื่อของคาเพเดี่ยมถูกเขียนเอาไว้

“ชื่อของเรา…”

“เขาตั้งใจละเว้นเอาไว้”

คิมฮันนาห์ได้อธิบายออกมา

“ความคิดเห็นของสาธารณะชนมักจะตัดสินกันจากบทความแรกที่เผยแพร่ออกมาอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าในรายงานจะมีคำโกหกยังไง แต่มันก็ง่ายที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจกันว่าคนที่เริ่มก่อนเป็นฝ่ายผิด”

ซอลจีฮูเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งได้ในทันที

จะเกิดอะไรขึ้นหากมีการบอกว่าซอลจีฮูเป็นฮีโร่? จะเกิดอะไรขึ้นหากมีการรายงานถึงความจริงที่เกิดขึ้นตรงๆ

ชื่อเสียงของเขาอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังจะมีคนที่มองเขาในแง่ร้ายด้วยเช่นกัน

‘ฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้จากเหตุการณ์ในฮารามาร์คแล้ว”

มีโอกาสสูงมากที่เหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีก ย้อนกลับไปในตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามได้พยายามทำให้เขาเสื่อมเสียทั้งๆที่เขาเพิ่งจะได้รับชัยชนะกลับมาจากสงครามครั้งใหญ่ที่ต่อสู้กับปรสิต แต่ในคราวนี้ซอลจีฮูได้โจมตีชาวโลก

คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ

“ยกตัวอย่างง่ายๆ เขาได้ทำหน้าที่เป็นกระสอบทรายแทนนาย หากว่าราชวงศ์อีวาได้เผยต่อสาธารณะชนว่าพวกเขาได้ทำตามกฎ ใครจะมาคัดค้านได้อีกล่ะ?”

“ก็จริง… ฉันคงต้องขอบคุณซอกกูนีร์สินะ”

“นายจะขอบคุณเขาก็ได้นะ แต่ว่าหากคิดถึงสิ่งที่นายทำให้เขา ต่อให้เขาขอบคุณนายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอ แต่ถึงยังไงฉันก็ดีใจที่นายเข้าใจนะ ฉันกลัวว่านายจะโกรธที่ถูกขโมยความสำเร็จไปซะอีก”

ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา

“ขอเถอะนะ ความสำเร็จงั้นหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้ยิ้มบางๆขึ้น

“ยังไงคนอื่นก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเราอยู่เบื้องหลัง ฉันมั่นใจว่าองค์กรอื่นๆรู้แน่”

จากนั้นคิมฮันนาห์ก็หยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าหลายแผ่น

“อยากจะเห็นไหมล่ะ? นี่เป็นข่าวที่ออกมาตอนเที่ยงวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนายทั้งนั้นเลย”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา

“สำคัญงั้นหรอ?”

“โอ้? นายไม่สนใจเลยหรอ?”

“ทำไมต้องสนใจด้วยล่ะ?”

ซอลจีฮูได้หยักไหล่ออกมา

“ปล่อยให้พวกเขาเห่ากันไปเถอะ ฉันมีเรื่องต้องทำตั้งใจ และฉันก็ยุ่งอยู่กับการดูแลคนของฉันอยู่แล้ว ฉันไม่ได้มีเวลาไปสนใจพวกคนที่เกลียดฉันหรอกนะ”

“โอ้วว~”

“มันไม่ใช่ว่าฉันไปสร้างอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไปเชิดชูปรสิตสักหน่อยนี่ คนที่พูดไม่ดีกับฉันก็คงแค่ไม่ชอบฉันเท่านั้นแหละ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ เรื่องของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”

เมื่อเห็นซอลจีฮูพูดออกมาอย่างไม่แยแส คิมฮันนาห์ก็ยิ้มบางออกมา

หลังจากได้เจอกับบททดสอบมากมาย ซอลจีฮูก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นหัวหน้าองค์กรที่กล้าหาญ และไม่สั่นคลอน

ถึงคิมฮันนาห์จะกังวล แต่เธอก็ชอบซอลจีฮูในตอนนี้มากกว่าซอลจีฮูคนเก่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นร้อยเท่า

“ฉันอยากรู้จังเลยว่านายกำลังคิดอะไรอยู่”

“แน่นอนสิว่าเราจะจัดการพวกเขา”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาเรียบๆ

“ฉันได้เห็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าอีวาเละเทะแค่ไหน แล้วฮารามาร์คก็ค่อนข้างที่จะมีมาตราฐานสูง ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ตราบใดที่มีคุณฟีโซราอยู่ด้วยก็ไม่มีปัญหาหรอก”

“ก็นะ คุณฟีโซราคือผลงานชิ้นเอกของอาจารย์จาง และเคยเป็นหนึ่งแกนหลักขององค์กรในสกีเฮราซาร์ด พูดตามตรงนะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”

ซอลจีฮูไม่ได้ตอบคำถามกลับไปเพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ยังไงก็ตามนายก็พูดไม่ผิดหรอก แต่จะทำยังไงล่ะ?”

“ทำยังไงงั้นหรอ?”

เมื่อคิมฮันนาห์ได้ถามกลับมา ซอลจีฮูก็มองเธอตลกๆ

“จากความเละเทะที่พวกเขาทำไว้กับอีวา ฉันคิดว่าหากเราค้นดูพวกเขาก็คงจะเต็มไปด้วยความผิดเลยละ ตราบใดที่เราเจอความผิดสักอย่าง-“

“แล้วถ้าเราไม่เจอเลยล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ขัดเขา และพูดขึ้นสบายๆ

“จีฮู มันก็จริงที่พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นองค์กร แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่หรอกนะ”

เธอได้วางแก้วกาแฟลง และใช้นิ้วเคาะลงที่รายงาน

“เพื่อคำนึงถึงสถานการณ์ภายในราชวงศ์อีวาแล้ว คราวนี้พวกเขาก็คงจะเตรียมตัวไว้แล้วแน่ ฉันพนันได้เลยว่าตาแก่ซอกกูนีร์นั่นได้ตัดสินใจเองโดยไม่ได้บอกราชินี เขาเตรียมที่จะถูกตำหนิเอาไว้แล้ว ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ควรจะถูกตำหนิก็ตามที”

“…”

“ลองคิดดูสิ นายได้สร้างหายนะขึ้นมาภายใต้ข้ออ้างของการทำตามกฎหมาย และในที่สุดผู้ดูแลราชวงศ์สูงที่สุดที่ซ่อนตัวมาตลอดก็ได้ลงมา องค์กรพวกนั้นก็คงจะไม่กล้าเสี่ยงโชคหรอกนะ”

“อืมม… ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนกับพวกเขาคงไม่แค่อยู่เฉยๆหรอก”

“ใครบอกว่าพวกเขาจะอยู่เฉยๆกันล่ะ? ฉันมั่นใจว่าพวกนั้นคงกำลังสับสนกันอยู่ แต่ในฐานะผู้ปกครองเมืองนี้แล้ว พวกเขาจะไม่เสี่ยงทำอะไรแบบนาย อย่างน้อยก็ในตอนนี้ล่ะนะ”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา

“พวกเขาจะพยายามปกปิดร่องรอยความผิดพร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด นายคิดว่าพวกเขาจะยังทำอะไรที่ผิดกฎหมายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรอ? ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ พวกเขาคงจะแอบซ่อนให้มากขึ้น หรือไม่ก็หยุดชะงักไปสักพักเลยด้วยซ้ำ”

หรือก็คือพวกเขาไม่อาจจะทำแบบเมื่อคืนได้ตราบเท่าที่ไม่มีหลักฐาน หากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้โง่ถึงขนาดขุดหลุมฝังศพตัวเอง หากว่ามันเป็นแบบนี้คาเพเดี่ยมก็อยู่ในจุดที่ลำบากเช่นกัน

ซอลจีฮูได้เม้มปากและกอดอกขึ้นมา

“มาคิดดูแล้ว ไม่ใช่เธอบอกว่าเราแค่ต้องกังวลเรื่องการเคลื่อนไหวต่อไปหลังจากถล่มรอยัลพัทยาหรอ?”

“น่าแปลกนะที่นายยังจำได้”

คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆมองออกไป

“เอาเถอะนะ ทำไมนายไปกลับไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนล่ะ?”

“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันจะมีเวลาไปพักได้ยังไง? ฉันคือคนที่เริ่มการต่อสู้นี้ และจะไม่มีทางเป็นฝ่ายอยู่นิ่งแน่ เรื่องนี้เธอก็เป็นคนบอกฉันเองนี่”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับเขาจะพักก็ต่อเมื่อทุกๆอย่างจบลงแล้ว

[…นาย นายต้องสัญญาแล้วนะ ฉันจะไม่มีทางให้อภัยนายแน่หากว่าจู่ๆนายยอมแพ้ไปกลางทาง หรือว่าตายไปเองทั้งๆที่ยังไม่ได้รับอนุญาต]

สัญญาที่พวกเขาได้ทำกันในโรงแรมสกีเฮราซาร์ด คิมฮันนาห์แค่ดูจะว่าเขาจำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะยังไงทัศนคติของเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไป

นี่คือสิ่งที่คิมฮันนาห์ชอบที่สุดแล้ว

“เยี่ยม ถ้านายคิดแบบนั้น ถ้างั้นเราจะไปทำงานกันเดี๋ยวนี้เลย”

“งาน? เธอคิดอะไรดีๆได้แล้วหรอ?”

เมื่อซอลจีฮูได้ถามกลับไป รอยยิ้มของคิมฮันนาห์ก็กลายเป็นกว้างยิ่งขึ้น

“ใช่สิ”

ดวงตาของเธอได้โค้งเป็นรอยยิ้มก่อนที่จะส่องประกายระยิบระยับสะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน

“องค์กรพวกนั้นไม่ได้มีแค่สองสามองค์กร การจัดการกับพวกนั้นทีล่ะองค์กรมันเป็นงานที่หนักเกินไป ในเมื่อเราจะทำแบบนี้กันแล้ว นายไม่คิดว่าการวางเหยื่อล่อ และจัดการกวาดล้างพวกเขาทิ้งไปให้หมดจะไม่ดีกว่าหรอ?”

ดวงตาของซอลีจฮูได้เป็นประกายขึ้นมา เขาได้ยื่นหน้าออกไปและถามขึ้นเบาๆ

“ยังไงล่ะ?”