ตอนที่ 253

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 253 – หากว่าออกวิ่งทั้งๆที่เมาอยู่ (2)

คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“รอก่อน”

“?”

“คนอื่นยังหลับกันอยู่ พอพวกเขาตื่นฉันจะเรียกพวกเขามาห้องประชุม นายค่อยมาในตอนนั้น นายรู้ใช่ไหมว่าห้องประชุมอยู่ไหน?”

“เราต้องประชุมกันหรอ? บอกมาเถอะน่า”

คิมฮันนาห์ได้หัวเราะขึ้น จากนั้นก็มองซอลจีฮูจนทำให้เขารู้สึกแปลกๆจนอธิบายไม่ถูก

เล่ห์เหลี่ยมของคิมฮันนาห์ที่ได้แสดงออกมาจัดการกับองค์กรอีวาดูเหมือนจะกดดันซอลจีฮูเอาไว้ จากสายตาที่เย็นชาของเธอทำให้ให้คิมฮันนาห์ให้ความรู้สึกที่น่ากลัว

“นาย”

“มะ มีอะไรหรอ?”

เมื่อซอลจีฮูได้พยายามถามออกมา

“…ไม่หรอก”

คิมฮันนาห์ได้ดึงสายตากลับไป และขมวดคิ้ว

“มันไม่มีอะไรหรอก ไว้ค่อนคุยกันทีหลังเถอะ ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันดูความเป็นไปของสิ่งต่างๆก่อน”

จากนั้นเธอก็หยิบแก้วกาแฟ และลุกขึ้น

***

ตึง ตึง

“ไอ้สารเลวพวกนั้น!”

ปาร์คดงชุนได้ทุบโต๊ะด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“พวกมันคงจะคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ผู้กล้างั้นหรอ!!?”

ปาร์คดงชุนได้แค่นเสียงอย่างแรง และแก้มของเขาก็สั่นระริกแสดงถึงความโกรธจัดอย่างชัดเจน

“แค่ทีมดาษๆกล้าท้าทายพวกเรา องค์กรพันธมิตรงั้นหรอ? เยี่ยม ถ้พวกมันอยากได้ขนาดนั้น พวกเราก็จะทำตามที่พวกมันต้องการ!”

“เงียบ”

หญิงสาวได้ขัดขึ้นมา แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะสงบนิ่ง แต่ก็มีร่องรอยความไม่พอใจเจือจางอยู่ ปาร์คดงชุนได้หันไปมองด้วยสายตาไม่พอใจ

สภาสูงมักที่จะมีผู้เข้าร่วมการประชุมอยู่เพียงเจ็ดคนอยู่บ่อยๆ เนื่องจากสมบัติ ละอองมณีผู้เป็นหัวหน้ารอยัลพัทยาได้ตายไปอย่างสมเพชแล้ว คนที่มาในวันนี้ก็ควรจะเป็นหกคน

แต่วันนี้กลับมีคนเข้าร่วมประชุมเจ็ดคนเหมือนแต่ก่อน

“คุณคิดว่าผมจะอยู่เงียบๆในสถานการณ์นี้ได้งั้นหรอ?”

ปาร์คดงชุนได้ลุกขึ้นตะโกนออกมา

“โรงประมูลถูกกวาดจนเกลี้ยง! ยามทั้งหมดถูกฆ่า แล้วกระทั่งรอยัลพัทยาก็ยังไม่รอดเลย!”

จากนั้นจู่ๆเขาก็จับหลังคอ และขมวดคิ้วอย่างหนัก

“พวกมันยั่วยุเราอย่างชัดเจน พวกมันอยากจะสู้! ดูสิว่าพวกมันดูถูกพวกเขาพันธมิตรแห่งอีวาขนาดไหนกัน!?”

ปาร์คดงชุนได้มองไปรอบๆเพื่อหาแนวร่วม ห้องประชุมเงียบกริบ ขณะที่ทุกๆคนแสดงสีหน้าเย็นชาอยู่ พวกเขาก็ดูจะลังเล

“ต่อสู้งั้นหรอ? ขอเถอะนะ”

หญิงสาวที่นั่งอยู่บนหัวเราะได้แสดงความเห็นอย่างไม่ใส่ใจ

“คุณไม่ควรจะเป็นคนพูดคำนี้เลยนะ คุณดงชุน”

ปาร์คดงชุนได้ผงะไป แต่จากนั้นเขาก็ยิงฟันคำรามออกมา

“คุณคิดว่าผมขายที่ดินแค่เพื่อทำกำไรงั้นหรอ? ผมก็มีควมคิดนะ! ใครจะไปคิดว่าแค่กลุ่มทีมเล็กๆที่ยังลงทะเบียนองค์กรไม่เสร็จจะมาทำอะไรแบบนี้ในวันแรกที่มาอีวากันล่ะ!?!”

นี่คือเรื่องจริง สภาสูงได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าการมาของคาเพเดี่ยมจะสั่นคลอนตำแหน่งเดิมของพวกเขา

แต่ปัญหาคือมันเร็วเกินไป

“แม้กระทั่งผู้ดูแลราชวงศ์ก็ยังวิ่งเต้นให้พวกเขาจนทำให้มันยุ่งเหยิงไปหมด… ให้ตายสิ!”

ปาร์คดงชุนได้สูดหายใจ จากนั้นก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วยุ

“คุณจะไม่ทำอะไรหน่อยหรอ?”

“คุณหมายความว่ายังไงกัน?”

เมื่อมีน้ำเสียงเย็นชาตอบกลับมา ปาร์คดงชุนก็กัดฟันแน่น

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้นะ ผมกำลังถามว่าคุณจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ ใช่แล้วล่ะ ผมกำลังขอให้คุณช่วย”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แทบจะไร้ยางอายของปาร์คดงชุน หญิงสาวก็แค่นเสียงออกมาอย่างตกตะลึง

“แล้วคุณอยากจะให้ฉันทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ?”

และคำตอบกลับในทันทีของเธอได้ทำให้ปาร์คดงชุนขมวดคิ้วขึ้นมา

“หือ งั้นคุณก็แค่จะดูอยู่เฉยๆ?”

น้ำเสียงประชดประชันได้ทำให้ดวงตาหญิงสาวหรี่ลง

“ฮึ่ม! ชัดเลยว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่! คุณกำลังจะ-“

“พอได้แล้ว หยุด”

ขณะที่บรรยากาศได้เริ่มระอุขึ้น ชายวัยกลางคนผิวสีเข้มก็ได้แทรกขึ้นอย่างเคารพ เขาก็คือหัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ โอมาร์ กราเซีย

“ไม่ใช่ว่าเรามาถกกันเพื่อหาทางแก้ไขกันหรอกหรอ? ถ้าพวกเรามาสู้กันเองแบบนี้ก็มีแต่จะช่วยจิ้งจอกนะ”

จากนั้นเขาก็ได้หันไปหาปาร์คดงชุน และพูดขึ้น

“ช่วยใจเย็นลงก่อนหัวหน้าปาร์ค ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ว่าทุกๆคนที่นี่ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน พวกเราทุกคนต่างก็กำลังอดกลั้นอยู่”

โอมาร์ กราเซียเป็นหนึ่งในคนที่สูญเสียมากที่สุดจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้หลักของเขาคือการล่าและค้าทาสทำให้การที่โรงประมูลถูกทำลายส่งผลตรงถึงเขาเต็มๆ

ปาร์คดงชุนได้ไอแห้งๆออกมา และนั่งลงไปอย่างไม่พอใจ เมื่อปาร์คดงชุนใจเย็นลงแล้ว โอมาร์ กราเซียก็ได้ค่อยๆเริ่มการสนทนาขึ้นอีกครั้ง

“รอยัลพัทยาได้ติดต่อมาหาผมเมื่อคืน… มันว่ามันสายเกินไปแล้ว พอลูกน้องของผมไปถึง ทหารยามก็ได้ล้อมสำนักงานพวกเขาเอาไว้แล้ว ราชวงศ์รวดเร็วกว่าที่เราคิด”

“ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณจะทำอะไร แต่แค่อย่าถูกจับได้ก็พอ ฉันพูดเรื่องนี้ชัดแล้วนี่?”

หญิงสาวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะได้พูดออกมาอย่างเฉียบคม

“ผู้ดูแลราชวงศ์ได้ทำเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง และนี่มันทำให้เกิดปัญหา เขาจะต้องไปเข้าเฝ้าราชินี ก่อนเธอจะรู้ตัวมันก็แค่เรื่องของเวลาเท่านั้นแหละ และพอมาเกิดขึ้น ฉันก็มั่นใจว่าเธอจะเรียกฉันไปยืนยันความจริง”

เธอได้พอไปที่ตัวแทนในห้อง และวิจารณ์ออกมาอย่างไม่พอใจ

“พวกคุณเคยคิดไม่ว่าสิ่งที่พวกคุณทำมันสร้างความลำบากให้ฉันมากแค่ไหน? แม้ว่าอีวาจะสูญเสียความรุ่งเรืองในอดีต และกลายมาเป็นเมืองที่แร้นแค้นจากสงครามอันยาวนานยืดเยื้อ แต่ราชินีก็ยังคงคิดว่ามันสวยงาม เป็นเมืองที่ไร้อาชญากรรม คุณคิดว่าเธอจะพูดยังไงกันล่ะในตอนที่ได้รู้ความจริง? พวกคุณกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงในเมื่อพวกคุณเป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมา?”

หญิงสาวได้จ้องไปที่คนๆหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนปาร์คดงชุนได้พยายามแอบหลบตาของเธอ

“จะยังไงฉันก็คิดไม่ออก ผู้ดูแลราชวงศ์ได้จัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว โดยบอกว่าเขาทำหน้าที่แทนราชินี เราไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายได้ และผู้ดูแลราชวงศ์ก็ได้ฉกวิธีการเล็กๆที่เราอาจจะใช้งานได้ออกไป”

เมื่อได้ยินแบบนี้โอมาร์ กราเซียก็คร่ำครวญออกมา หญิงสาวได้พูดต่อ

“จากผลลัพธ์มันดูเหมือนเขาจะแก้ไขมันได้จริงๆ ในตอนนี้เราควรจะอยู่เงียบๆ และพยายามอย่าเป็นที่สนใจ ไม่สิ มันไม่ใช่ควรทำแบบนั้น แต่เราต้องทำแบบนั้น”

เธอได้เน้นย้ำในประเด็นสุดท้ายจนเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว

“แล้วก็…”

จากนั้นเธอได้เว้นช่วงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลียริมฝีปาก เธอได้มองไปรอบๆห้องสบตากับตัวแทนแต่ล่ะคนพร้อมพูดขึ้นด้วยความลังเล

“อีกไม่นานฉันจะติดต่อหาพวกคุณเกี่ยวกับทางแก้”

โอมาร์ กราเซียที่ดูขมขื่นมาตลอดเวลาได้เบิกตาโพล่งขึ้น ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ตัวแทนคนอื่นๆก็ยังตกใจเช่นเดียวกัน

หญิงสาวที่นานๆทีจะปรากฏตัวยกเว้นจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นได้บอกว่าเธอจะติดต่อกับพวกเขาก่อน?

“‘เร็วๆนี้’ หมายถึงเมื่อไหร่กัน…?”

“อย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งสัปดาห์ อย่างช้าสุดก็สองสัปดาห์”

หญิงสาวได้ตอบคำถามของโอมาร์ กราเซียสั้นๆ

“แล้วถ้างั้นเราจะเอายังไงกับสมาชิกของรอยัลพัทยาที่ถูกขังอยู่…”

หญิงสาวได้เม้มปากออกมาเหมือนกับมีบางอย่างที่จะพูดอีก แต่ว่าเธอก็เงียบและส่ายหัว เธอได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง

จริงๆแล้วมันก็ชัดเจนมากว่าจะจัดการรับมือกับคนต่างเผ่าพันธุ์ และสมาชิกรอยัลพัทยาอย่างไร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้หวังว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว

“…ดังนั้น”

ยังไงก็ตามโอมาร์ กราเซียได้ยิ้มออกมาพร้อมกับค่อยๆพยักหน้า

“ดังนั้นเราแค่ต้องทนไปอีกสองสัปดาห์”

“…”

“เข้าใจแล้ว ความประมาทของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาจริงๆ แล้วเราก็จะต้องรอ และสังเกตการไปอีกสามเดือนด้วย”

“ฉันก็อยากจะแนะนำแบบนั้นเหมือนกัน”

“เยี่ยม ถ้างั้นโอมาร์ กราเซียก็จะพยายามระวังตัว และไม่สร้างปัญหาให้กับคุณ”

เอี๊ยดด เสียงลากเก้าอี้ได้ดังออกมา

หญิงสาวได้ลุกขึ้นจากหัวโต๊ะ และเดินจากไปพร้อมผมสีดำพริวไสว ขณะที่เธอกำลังจะเดินพ้นไปจากห้อง โอมาร์ กราเซียก็ได้แอบเหลือบมองก้นได้รูปของเธอ

“ผมจะรอคุณติดต่อมานะ”

หญิงสาวได้หยุดเดิน

“…ดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปอยู่นะ”

หญิงสาวได้เอียงหน้าหันกลับมามอง

“เหตุผลที่ฉันเข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งคราวก็เพื่อจับตาดูพวกคุณ ในวันนี้ฉันมาเพื่อเตือนคุณทุกคน สำหรับสาเหตุที่ติดต่อพวกคุณทีหลังก็เป็นเรื่องเดียวกัน”

“แน่นอนๆ ผมเข้าใจดี”

โอมาร์ กราเซียได้ยิ้มสดใสออกมา ก่อนหน้านี้เธอพูดว่า ‘แค่อย่าถูกจับ’ แต่มาตอนนี้เธอมาพูดว่าจับตาดูพวกเขา โอมาร์ กราเซียก็คิดว่าความแตกต่างระหว่างสองความหมายนี้มันค่อนข้างจะตลกอยู่หน่อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้เผยออกมาทางสีหน้า

เสียงเท้าได้ดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งประตูถูกปิดลง หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง โอมาร์ กราเซียก็ยืดแขนออกมา

“เราก็ควรจะไปด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”

เขาได้พูดออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายมากกว่าเก่า

“ผมมั่นใจว่าคงไม่ต้องให้เตือนกันแล้ว แต่ว่าช่วยอยู่เฉยๆกันสักสัปดาห์สองสัปดาห์นะ”

จากนั้นเขาก็หันไปมองปาร์คดงชุนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามืดมน

“อ่อ หัวหน้าปาร์ค คุณได้เจอกับหัวหน้าคาเพเดี่ยมในระหว่างซื้อที่ดินแล้วใช่ไหม? โอ้ ผมไม่ได้จะโทษอะไรคุณหรอกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก”

โอมาร์ กราเซียได้พูดพร้อมโบกมือออกมา

“ผมก็แค่คิดว่าบางทีคุณน่าจะไปเจอเขาสักหน่อย ยังไงคุณก็คุ้นเคยกันแล้วนี่”

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้ แค่คิดถึงใบหน้าอัปลักษณ์ของหมอนั่นก็ทำให้ผมโมโหแล้ว ผมมั่นใจเลยว่าถ้าได้เห็นเขา ผมของสบถด่าออกไปแน่”

“ไปเถอะน่า ถึงมันจะยังเร็วเกินไปที่จะเจรจ้าหรือทำการค้า แต่แค่ไปแสดงความคิดก็พอแล้ว”

“…ชิ”

ปาร์คดงชุนดูจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็หยักหน้าออกมาเหมือนกับไม่มีทางเลือกอื่น

“เยี่ยม ถ้าคุณต้องการอะไร คุณสามารถจะร่วมมือกับไวท์ฮวารุได้เต็มที่เลย”

หญิงสาวอีกคนหนึ่งภายในห้องได้ถอนหายใจยาวออกมา

“เข้าใจแล้ว ในเมื่อมันเป็นความผิดของผม ผมจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน ไว้เจอกันใหม่นะ”

ปาร์คดงชุนได้ลุกขึ้นนิ่งๆ ตึง เมื่อเขาได้ปิดประตูลงไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเขาก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากมองดูรอบๆแล้ว…

‘เยส! ยังไงฉันก็อยากจะเจอเขาอีกครั้งอยู่แล้ว!’

เขาได้ยินดีอยู่ในใจ และวิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น

***

คิมฮันนาห์ได้จัดการขอประชุมอย่างเป็นทางการในอีกสองวันให้หลัง จากภายในโรงอาหารทัศนคติของเธอดูจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน แต่ซอลจีฮูก็คิดแค่ว่าเขาคิดไปเอง และไม่ได้สนใจอะไรนัก

เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ ส่วนใหญ่แล้วซอลจีฮูจึงอยู่ฝึกการบ่มเพาะมานาอยู่ภายในห้อง

ในตอนเริ่มปกติแล้วเขาจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยอยู่ที่สี่ชั่วโมง แต่ในวันนี้เขาได้ย่นระยะการฝึกให้สั้นลง นั่นก็เพราะว่ามีแขกที่เขาคาดไม่ถึงมาเยี่ยม

“ว่าไง ฉันได้ข่าวลือมาแล้วนะ แต่ว่าที่นี่มันน่าประทับใจมากจริงๆ เราคิดว่าสำนักงานของเขาก็ดีแล้วนะ แต่พอมาตอนนี้ฉันอยากจะสร้างสำนักงานขึ้นใหม่เลย”

ชายคนนี้ได้พูดเล่นขึ้นมาในระหว่างที่มองดูโคมระย้าที่เป็นคริสตัลบนเพดาน เขาคือฮ่าวอวิ่น เขาได้ทักทายกับซอลจีฮูก่อนที่คิมฮันนาห์จะพาไปที่ห้องรับรอง

“ในตอนได้ยินข่าวตอนเช้า ฉันตกใจจริงๆเลยนะ”

ฮ่าวอวิ่นได้เข้าประดเนในทันทีที่เขาได้นั่งลงบนโซฟาหนัง

“ในเมื่อนายเป็นตัวตนเรื่อง นายก็คงรู้สินะว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร แต่นายรู้ไหม… จะว่ายังไงดีล่ะ… นายจะบ้าเกินไปหน่อยไป…? หรือว่า…”

ฮ่าวอวิ่นได้กลืนน้ำลายลงไป แต่ซอลจีฮูก็ยิ้มขึ้นโดยไม่พูดอะไรออกมา

“ฉันคิดว่านายก็คงมีเหตุผลอยู่ ถึงจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นไปมันก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว”

ฮ่าวอวิ่นได้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอนหลังพิงโซฟา

“แต่ว่าฉันก็ค่อนข้างจะผิดหวังนะ”

ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้นมา

“ในตอนนั้นฉันเป็นคนที่ชักชวนให้นายย้ายมาที่อีวา ที่ฉันเลือกมาที่อีวาก็เพราะฉันมีแผนอยู่”

ซอลจีฮูรู้ถึงความผิดพลาดของเขา

“คุณฮ่าวอวิ่น”

เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ฮ่าวอวิ่นก็ยกมือขึ้น

“แน่นอนว่านายก็ไม่จำเป็นต้องทำตามแผนของฉันหรอกนะซอล”

“…”

“แต่ว่าซอล นายยังจำเรื่องที่เราคุยกันในวังฮารามาร์คได้ไหม?”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าเงียบๆ

“ฉันได้สาบานไว้ว่าจะทำให้นายเป็นราชา และนายก็ยอมรับมัน ในเขตพื้นที่เป็นกลางเราคือเพื่อนกัน แต่นับตั้งแต่ที่นายยอมรับข้อเสนอ ฉันก็คิดมาเสมอว่าฉันมีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นคู่หูของนาย นั่นน่ะคือสิ่งที่ฉันคิด”

ฮ่าวอวิ่นได้เม้มปาก

“มันไม่ใช่แค่เราที่คิดแบบนี้นะ องค์กรในอีวาก็คงจะคิดเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราย้ายมาที่นี่พร้อมกัน พวกเขาก็จะมองว่าพวกเราคือหน่วยงานเดียวกัน หรือก็คือการกระทำของนายมันจะส่งผลต่อซันเหอทั้งทางตรงแล้วก็ทางอ้อม”

“…”

“ตอนนี้ฉันได้พูดออกไปหมดแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือมันจะดีกว่านี้หากว่านายติดต่อมาบอกให้ฉันรู้ก่อนผ่านทางคริสตัลสื่อสาร แบบนั้นฉันจะได้สามารถเตรียมตัวรับมือ และบางทีอาจจะช่วยนายได้ด้วย ทั้งในฐานะเพื่อน และคู่หูของนาย”

แม้ว่าฮ่าวอวิ่นจะดูสงบนิ่ง แต่ซอลจีฮูก็รู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกมากมายคุกรุ่นอยู่ภายในใจเขา ซอลจีฮูสามารถจะบอกได้เลยว่าเขาผิดหวังจริงๆ

“นายพูดถูก อย่างน้อยฉันก็ควรจะติดต่อไปหานาย ตอนนั้นฉัน…”

ซอลจีฮูได้ชะงักไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“ฉันไม่ได้มาฟังคำขอโทษของนายหรอกนะ”

ฮ่าวอวิ่นได้ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน

“ฉันก็แค่อยากจะให้นายเชื่อใจซันเหอสักหน่อย มันก็จริงที่ว่าเราถูกไล่ออกมาจากฮารามาร์ค แต่ว่าฉันก็ไม่พอใจแน่หากนายดูถูกพวกเราเกินไป”

ก๊อก ก๊อก

“ขอโทษนะ”

ซอยูฮุยได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมน้ำชาได้ทำให้บรรยากาศอันหนักหน่วงภายในห้องลดน้อยลงไปเล็กน้อย ซอลจีฮูกับฮ่าวอวิ่นได้รีบหยุดพักด้วยการคุยกันเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้อีก จากนั้นจู่ๆซอลจีฮูก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา

“แล้วนายบอกว่านายมีแผนใช่ไหม?”

“อืมม ถึงฉันจะโยนแผนนี้ทิ้งไปเมื่อเช้าก็เถอะนะ”

“แล้วมันคืออะไรหรอ พอจะบอกฉันได้ไหม?”

“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก”

ฮ่าวอวิ่นได้พูดออกมาเหมือนกับมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ

“ฉันวางแผนที่จะสร้างสุดยอดภาพยนตร์ที่จะดึงให้องค์กรทั้งแปดของอีวากลายมาเป็นตัวตลก ในตอนท้ายพวกเราจะออกมาเต้น PPAP กัน ให้ตายสิ นั่นมันเป็นสถานการณ์ที่ดีเลยนะ…W

เมื่อเห็นฮ่าวอวิ่นพูดออกมาอย่างเสียใจ…

“นั่นมันก็ฟังดูดีเหมือนกันนะ แต่นายคิดว่าจะใช้เวลาทำภาพยนตร์เรื่องนี้นานแค่ไหนล่ะ?”

“อย่างเร็วก็ครึ่งปี ช้าสุดก็ปีนึง”

“ถ้างั้นก็ 6 เดือนถึง 12 เดือน…”

ซอลจีฮูได้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก่อนจะส่ายหัวออกมา

“มันนานเกินไป”

“งั้นหรอ? ฉันคิดว่ามันสมบูรณ์แบบเลยนะ”

“ฉันคิดว่าพวกปรสิตคงจะไม่นั่งรอเฉยๆหรอก”

“ก็นะ เรื่องนี้ฉันก็ไม่เถียง”

ฮ่าวอวิ่นได้ยอมรับออกมาง่ายๆ จากนั้นก็พูดต่อ

“พอพูดเรื่องนี้แล้วฉันก็มีเรื่องที่อยากจะถาม นายจะเอายังไงต่อล่ะ?”

“พวกเรายังไม่มีแผนเป็นรูปธรรม แต่แน่นอนว่า…”

ซอลจีฮูได้เพิ่มน้ำเสียงขึ้น

“ฉันจะไปต่อให้สุดทาง”

“สุดทาง… นายหมายความว่าจะไม่มีการเจรจาหรือประนีประนอมหรอ?”

“ไม่ ฉันได้ตัดสินใจมันหลังจากได้เห็นอีวา”

ตึก ซอลจีฮูได้วางแก้วชา และยิ้มออกมา

“ฉันจะกวาดล้างแมลงทุกๆตัวที่กัดกินพาราไดซ์ ฉันจะไม่ปล่อยมันไว้แม้แต่ตัวเดียว”

ฮ่าวอวิ่นไม่ได้ตอบกลับมา เขาไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

เขาก็แค่มองดูรอยยิ้มของซอลจีฮูด้วยแววตาที่เหมือนกับหุบเหว