บทที่ 254 – หากว่าออกวิ่งทั้งๆที่เมาอยู่ (3)
ซอลจีฮูได้เดินตามไปส่งฮ่าวอวิ่นที่ประตู และกล่าวอำลา เมื่อฮ่าวอวิ่นได้ไปแล้ว ผู้ดูแลส่วนตัวของเขาก็ได้เดินตามเขาออกไปจากสำนักงานคาเพเดี่ยม
ฮ่าวอวิ่นได้เดินตามพื้นถนนด้วยสีหน้านิ่งๆโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ติ๋ง หยดน้ำฝนได้ตกลงมาจากฟ้าทำให้ฮ่าวอวิ่นหยุดชะงัก และเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงอาทิตย์ยังคงอยู่กลางท้องฟ้า แต่ว่าท้องฟ้าก็มืดแล้ว เมฆหมอกได้เข้ามาปกคลุมก่อนที่เขาจะรู้ตัว และตอนนี้มันก็ดูเหมือนกับฝนจะตกลงมาได้ตลอดเวลา
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง หยดน้ำฝนได้เริ่มตกลงมามากยิ่งขึ้นราวกับจะเป็นการพิสูจน์
ชายสวมแว่นสีดำข้างๆเขาได้เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะกางเสื้อออกมา และเดินเข้าหาฮ่าวอวิ่น
“หมิงเจีย”
ชายที่เข้ามาสวมชุดคลุมให้กับฮ่าวอวิ่นได้ชะงักไป
“นายเคยถามฉันใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกหัวหน้าคาเพเดี่ยม?”
“…”
“มันง่ายมากเลย นั่นก็เพราะเขาเปล่งประกายยิ่งกว่าใคร”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดต่อโดยที่ยังคงมองท้องฟ้า
“ชายผู้ที่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ นักแก้ปัญหาอันชาญฉลาดที่แก้ไขในปัญหาที่ทุกๆคนหมดหนทาง และมีแผนการอันแยบยล นั่นแหละคือชาวโลก และผู้พิเศษ ซอลจีฮูแห่งฮารามาร์ค”
ฮ่าวอวิ่นได้ยิ้มบางออกมา
“ฉันได้เห็นมันอย่างเด่นชัดในงานจัดเลี้ยง เขาได้ไปหาคนกลุ่มน้อยเพื่อปลอบให้พวกเขามาร่วมมือกับตัวเอง เขาได้ชักจูงคนกลุ่มใหญ และจัดการกับคนที่พยายามจะทำลายความสามัคคีด้วยความรุนแรง ยิ่งในตอนที่เขาเสนอแผนการแลกเปลี่ยนความปรารถนาไม่สมบูรณ์… ฉันก็รู้สึกสะเทือนใจมาก เขาได้ใช้สิ่งต่างๆที่มีอยู่อย่างพอเหมาะ และฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่าฉันทำแบบเดียวกันไม่ได้”
หมิงเจียที่ฟังอยู่เงียบๆได้พูดออกมา
“หากท่านพยายามจะเปรียบเทียบกับการกระทำล่าสุดกับคาเพเดี่ยม ผมก็ถูกชี้ให้เห็นเหมือนกันว่าความรุนแรงก็เป็นวิธีที่ใช้งานได้เหมือนกัน”
“ฉันก็เห็นด้วย”
ฮ่าวอวิ่นได้ตอบรับทันที
“การหยุดยั้งศัตรูด้วยพลังคือวิธีการที่จำเป็น ฉันรู้ดี แต่ว่า…”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดแบบนี้พร้อมมองกลับไปที่สำนักงานอันโอ่อ่า
“เขากำลังมัวเมา”
“…”
“เคยชิน… จนเหมือนกับจะไม่รู้ตัวเอง”
เขาได้พูดออกมาด้วยความเสียใจเล็กน้อย
“ยิ่งแสดงอำนาจออกไปเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเสพติดมันเท่านั้น ยิ่งหลงรักมันเท่าไหร่ ก็จะยิ่งติดใจกับมัน และยิ่งใช้พลังเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหลงมัวเมาไปกับมัน”
“ในทำนองเดียวกัน ยิ่งตกอยู่ในความบ้าคลั่งเท่าไหร่ ก็จะยิ่งจมดิ่งลงไป มันแทบจะเหมือนกับเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขากำลังมัวเมา”
ละอองฝนโปรยปรายได้ทำให้ชุดของฮ่าวอวิ่นเปียกโชกขึ้นมาก่อนเขาจะสังเกต เขาได้ละสายตาไปจากสำนักงาน และถอนหายใจออกมา
เขาไม่ได้บอกว่าการลุยไปข้างหน้ามันไม่ดี มันมีเวลาที่จำเป็นต้องทำอยู่
ปัญหามันอยู่ที่สภาพจิตใจของคนที่มุ่งหน้าไป
ในระหว่างวิ่งเขาได้มองไปข้างหน้างั้น? หรือว่าเขาไม่ได้มองอย่างอื่นเลยงั้นหรอ?
ไม่ใช่เลยสักนิด เขาจะต้องค่อยๆก้าวออกไปแม้ว่าจะวิ่งอย่างสุดกำลังก็ตาม แต่ว่าในตอนนี้เขากำลังวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้หยุดมองกลับมาข้างหลัง ไม่กระทั่งมองดูคนรอบตัวที่กำลังวิ่งไปกับเขา
ฮ่าวอวิ่นได้เม้มปากอยู่นานก่อนที่จะหันกลับมา
“แล้วการเคลื่อนไหวของอีกเจ็ดองค์กรเป็นยังไงบ้าง?”
“ดูจะไม่ได้มีอะไรปิดปกติครับ”
“งั้นพวกเขาก็ตัดสินใจกบดานกันสินะ”
“อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ครับ แต่ว่าด้วยนิสัยของพวกเขาแล้ว ผมคิดว่าคงอยู่ได้ไม่นานนัก”
จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ อาจจะมีการลอบโจมตีลอยเข้ามาที่ด้านหลังเขาทุกเมื่อ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเขาอาจจะเจออุปสรรคแล้วก็ได้
ในทันทีที่ซอลจีฮูล้มลงไป เหล่าไฮยีน่าที่เฝ้ารอคอยอยู่ก็จะกระโจนเข้ามาตะคลุบเหยื่อทันที พวกมันจะจัดการเขาจนทำให้ไม่อาจจะยืนหยัดขึ้นมาได้อีก
ฮ่าวอวิ่นจะต้องทำให้ซอลจีฮูได้พัก แต่ว่าน้ำได้หกออกไปแล้ว อย่างที่ซอลจีฮูพูดไว้ พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องไปจนสุดทางเท่านั้น
หากว่าพวกเขาหยุดกลางคัน มันจะแย่ยิ่งกว่าการไม่ทำอะไรซะอีก
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ฮ่าวอวิ่นต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ฉันคิดว่าการมีจิ้งจอกอยู่ด้วยจะไม่มีเรื่องแย่เกิดขึ้น แต่… คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”
ฮ่าวอวิ่นได้พึมพำออกมาเบาๆ ส่วนหมิงเจียในที่สุดเขาก็สวมชุดคลุมให้กับฮ่าวอวิ่นได้สำเร็จ และลดมือลง
“ท่านตัดสินใจแล้วใช่ไหมครับ?”
“ไม่ว่าจะยังไงเราก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เราถูกบังคับให้เลือก”
มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไร้ทางออก พวกเขาก็แค่ต้องช่วยซอลจีฮูให้เขาวิ่งต่อไปได้จนสุดทางเท่านั้น
หรือก็คือ…
“ซันเหอจะกลายเป็นโล่ให้กับคาเพเดี่ยมสักพัก”
หลังจากประกาศออกมาอย่างหนักแน่น ฮ่าวอวิ่นก็หันกลับไปมองหมิงเจีย
“นายมีเส้นสายพวกอันธพาลไหม?”
“พอมีอยู่บ้างครับ… แต่ผมขอทราบได้ไหมว่าทำไม?”
“ถึงจะเป็นโล่ แต่ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะสูดหายใจทิ้งไปวันๆ โล่ก็ใช้โจมตีกลับไปได้เหมือนกันนะ”
ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะพร้อมหยิบเอาซองบุหรี่ออกมา หมิงเจียได้เอียงหัว แต่ว่าก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก
“ผมจะลองติดต่อให้ครับ”
“ไม่เอาพวกที่อยู่ในอีวานะ ใช้คนในฮารามาร์คแทน… ไม่สิ จะเป็นคนที่ไหนก็ได้ขอแค่ไม่ใช่คนอีวาก็พอแล้ว”
“เราต้องการสักกี่คนครับ?”
หมิงเจียได้ถามออกมาห้วนๆ
“เอาให้มากพอที่จะสังเกตการณ์องค์กรทั้งหมดในอีวาได้ พาพวกเขามาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
ฮ่าวอวิ่นได้เผยรอยยิ้มออกมา
“มันคือสงคราม”
***
ที่สำนักงานได้มีห้องประชุมอยู่หลายห้องเนื่องจากว่าคิมฮันนาห์ได้สร้างแต่ละชั้นเอาไว้ด้วยความคิดที่จะสร้างทีมเล็กๆอีกมากมายในอนาคต
การประชุมในวันนี้ได้จัดขึ้นที่ห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็น 100
“องค์กรในอีวาได้แบ่งเขตแดนกันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ว่านั่นก็แค่พื้นที่เท่านั้น สำหรับด้านธุรกิจ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะร่วมมือกัน”
น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ได้ดังมากพอทั้งห้อง
“ความแตกต่างเดียวคือเจ้าของที่ดินจะเป็นคนดูแล และเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากกว่า”
คิมฮันนาห์ได้มองกลับไปที่กระดานดำ
“องค์กรในอีวาได้สร้างรายได้ผ่านสามวิธีหลัก อย่างแรกคืออสังหาริมทรัพย์ สองคือการค้าทาส และสามคือการปล่อยเงินกู้ และค้าประเวณี”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ในบรรดาทั้งหมดนี้ หัวหน้าซอลจีฮูเพิ่งจะนำทีมไปจัดการทำลายการค้าทาส มันคงยากที่จะพูดว่าธุรกิจนี้ถูกหยุดลงไปหมดแล้ว แต่ว่าด้วยคำประกาศจากราชวงศ์ และการเสริมกำลังที่พรมแดนของราชวงศ์ องค์กรอื่นๆก็คงจะอยู่เงียบๆกันไปสักพัก”
จริงๆแล้ว ซอลจีฮูได้ทำมากยิ่งกว่าการทำลายการค้าทาสซะอีก เขาได้ทำให้ธุรกิจทุกอย่างแทบจะหยุดชะงักไป
ทุกๆคนต่างก็รู้ว่าองค์กรต่างๆได้สูญเสียผลประโญชน์ไปครั้งใหญ่ และในตอนนี้องค์กรเหล่านั้นก็ได้เลือกกบดานอยู่เฉยๆ แทนที่จะเคลื่อนไหว
แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนั้นจะปล่อยให้คาเพเดี่ยมทำตามต้องการได้ พวกนั้นจะต้องวางแผนชดเชยความสูญเสียนี้สักวิธีแน่ แต่เนื่องจากว่าอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นทรัพย์สินที่มีเจ้าของอยู่เกือบหมดแล้ว พวกเขาจึงไม่อาจจะรีดเงินออกมาได้อีก
“เพราะงั้นเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเบนเข็มไปที่การปล่อยเงินกู้และค้าประเวณี”
พวกเขาก็ได้รีดไถรายได้จากเส้นทางนี้เป็นหลักอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้พวกเขาจะบีบเค้นหนักยิ่งกว่าเก่า
“คนที่ไม่คุ้นเคยกับอีวาต่างก็เรียกที่นี่ว่าเมืองแห่งนักบวช แต่ความเป็นจริงแล้วเมืองนี้มันใกล้เคียงกับคำว่าเมืองแห่งความหรูหรา และความสุขมากกว่าซะอีก”
คิมฮันนาห์ได้วางมือลงบนโต๊ะยาว และมองไปรอบๆ
“มีใครได้ออกไปข้างนอกตอนกลางคืนไหม?”
“อืม ฉันไง”
ฮิวโก้ได้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มพอใจ
“สถานบันเทิงของอีวามีชื่อเสียงมาก นอกจากราคาถูกแล้วก็ยังมีให้เลือกสนุกได้ตามใจ…”
เขาได้หยุดชะงักไปจนพูดออกมาได้ไม่จบ เพราะซอลจีฮูหันมาจ้อง คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้นมา
“ถูกแล้วล่ะ สถานบันเทิงยามค่ำคืนของอีวาได้เต็มไปด้วยชาวพาราไดซ์ นายรู้ไหมว่าทำไมล่ะ?”
“ก็ชัดแล้วนี่? พวกเขาได้ยืมเงินกู้ และจ่ายคืนไม่ได้จนทำให้พวกเขาถูกดึงตัวไปค้าประเวณีไงล่ะ”
โชฮงได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่ ถูกแล้วล่ะ ช่วยดูกระดาษที่ฉันส่งให้ไปหน่อยได้ไหม?”
คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นในขณะที่ยกแผ่นกระดาษก่อนหน้านี้ขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานเสียงของเธอก็ดังออกมาอีกครั้ง
“ฉันได้ออกไปรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาเป็นการส่วนตัว หญิงสาวคนหนึ่งไม่อาจจะทนต่อการหาเลี้ยงชีพอันยากลำบากในพาราไดซ์ได้ และต้องไปยืมเงินจากองค์กรในอีวาเป็นจำนวน 30 เหรียญเงิน นับตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาสี่ปี และในตอนนี้…”
คิมฮันนาห์ได้ก้มลงไปมองกระดาษ และหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมา
“จำนวนเงินที่เธอเป็นหนี้อยู่คือ 70.8 เหรียญเงิน”
นี่คือจำนวนดอกเบี้ยปีล่ะ 34 เปอร์เซ็นต์ มันเทียบได้กับการยืมเงิน 15,150,00 วอนบนโลก และต้องคืนเงินกลับไป 35,743,000 วอนในอีกสี่ปีต่อมา
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงมหาศาล
“แค่ 70 เหรียญเงิน…”
ยี่ซอลอาได้เอียงหัว และค่อยๆพึมพำออกมา
“แค่หรอคะ?”
“นี่ดูตัวเองหน่อยสิ นายก็ไม่ได้รวยนะ”
คิมฮันนาห์กับมาเรียได้จ้องมาที่เขาพร้อมๆกัน ซอลจีฮูได้ก้มหน้าลง
“ฟังนะ ผู้ายส่วนใหญ่ได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และในเมืองก็เหลือแค่ผู้หญิงเท่านั้น พวกเธอไม่อาจจะทำงานเป็นคนขับรถม้าได้ แล้วก็ไม่มีใครจะจ้างพวกเธอเป็นคนแบกหาม หญิงสาวเหล่านี้ต่างก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล นายยังจะพูดว่ามันเป็นแค่ 70 เหรียญเงินอีกหรอ?”
“ไม่ ฉัน-“
“ถ้านายยังไม่ได้ประสบกับตัวเองก็อย่าได้ปากพล่อยออกมมา”
ฟีโซราก็ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
พอมาคิดดูแล้วที่ซอลจีฮูกลายมาเป็นคนรวยก็เพราะปฏิบัติการเจดีย์แห่งความฝันเท่านั้น ก่อนหน้านี้ทั้งตัวเขามีเงินเก็บแค่ครึ่งเหรียญทอง เหรียญเงินร้อยกว่าเหรียญ และเครื่องประดับอีกสามสี่ชั้น
และส่วนใหญ่นั่นก็มาจากความสำเร็จในภารกิจต่างๆอันน่าทึ่งจนทำให้เขามีเงินด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นชาวโลกกับชาวพาราไดซ์ต่างก็มีเส้นทางและวิธีการหารายได้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยสงครามอันยาวนานที่ดำเนินมาหลายต่อหลายปีทำให้ชาวพาราไดซ์ที่นับเป็นคนชนชั้นต่ำแทบจะหาเหรียญเงินสักเหรียญไม่ได้ด้วยซ้ำไป
นี่คือเหตุผลที่ทำให้คนพูดว่าองค์กรคือชนชั้นสูง ชาวโลกคือชาวบ้าน และชาวพาราไดซ์คือทาส
โชฮงได้ประสานมือยืดออกมา
“อ๊าาา! แล้วนี่เธอกำลังจะพูดว่าการเก็บดอกเบี้ยที่สูงเกินไปมันผิดกฎหมาย แล้วเราควรจะไปจัดการพวกเขาด้วยเรื่องนี้หรอ?”
คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่เลย นั่นไม่ถูก”
“?”
“การให้ยืมเงิน และได้รับดอกเบี้ย นั่นไม่ได้ผิดกฎหมายเลยสักนิด”
โชฮงได้ชะงักไป และกระพริบตาอย่างสับสน
“ดอกเบี้ย 34 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นจำนวนที่ได้รับการเห็นชอบจากราชวงศ์แล้ว พวกเขาไม่อาจจะทำอะไรที่ทำลายมันได้”
ซอลจีฮูได้หรี่ตาขึ้นมา
“แม้กระทั่งดอกเบี้ย 34 เปอร์เซ็นต์ก็น้อยกว่าตอนแรกมากแล้ว เดิมทีด้วยความที่เป็นเงินจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นมาจนถึงสี่เท่า เมื่อชดใช้หนี้ไม่ได้ ฝ่ายเจ้าของเงินกู้ก็จะมีสิทธิ์ขาดในทรัพย์สิน และที่ดินของผู้กู้ ผู้ดูแลซอกกูนีร์ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะปกป้องในผลประโยชน์ของประชาชน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะปกป้องสิทธิ์ในที่ดินได้ แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะทำอะไรกับจำนวนเงินจริงที่ต้องชำระได้”
หรือก็คือแม้แต่ดอกเบี้ย 34 เปอร์เซ็นต์บ้าๆนั่นก็เป็นสิ่งที่ยากจะเจรจาได้
“…หากว่าไม่ได้มีสหพันธรัฐกับป้อมปราการไทกอลจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันนะ”
มาแชล จิโอเนียได้พึมพำกับตัวเอง
แต่ว่าสิ่งที่คิมฮันนาห์พูดต่อมาก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแก้ไม่ได้”
ซอลจีฮู และทุกๆคนต่างก็หันไปสนใจคิมฮันนาห์
“มันไม่ได้ยากอะไรเลย วิธีแก้มันทั้งสะดวก และเรียบง่าย”
“อะไรกันล่ะ? พูดมาสิ”
โชฮงได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา และคิมฮันนาห์ก็เอียงคางเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา
“เราก็แค่ต้องทำให้หนี้หมดไป พูดง่ายๆก็จ่ายหนี้ให้พวกเขานั่นแหละ จากนั้นหญิงสาวชาวพาราไดซ์ก็จะได้หลุดพ้นจากวงจรอันเจ็บปวดที่พวกเธอหลงเข้าไป ถูกไหมล่ะ?”
ทุกๆคนได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแทบจะทันที
“แบบนี้เราก็จะสามารถสั่นคลอนรากฐานเหมืองทองคำขององค์กรที่ถูกสร้างมาหลายปีได้ หากไม่มีหญิงสาว พวกเขาก็ไม่อาจจะทำธุรกิจได้”
“อะไรนะ?”
คนแรกที่ตอบสนองออกมาก็คือมาเรีย
“นี่พี่สาวบ้าไปแล้วหรอ?”
“ไม่มีทาง นั่นมันไร้สาระ”
โชฮงก็ดูจะตกตะลึงเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่พวกเธอเท่านั้น คนอื่นๆก็ยังแสดงสีหน้าประมาณว่า “นี่คือทั้งหมดที่เธอคิดได้แล้วหรอ?”
จะมีก็แต่ซอยูฮุยที่ยังคงหลับตาอยู่เงียบๆ แม้กระทั่งจางมัลดงยังผงะไปเล็กน้อยเลย
“อืมม ฉันเข้าใจถึงสิ่งที่คุณหมายถึงนะคุณคิมฮันนาห์ แต่ว่า…”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วออกมา และหยุดไปก่อนจะพูดจบ คิมฮันนาห์ได้กอดอกยิ้มให้กับทุกคนราวกับคิดไว้แล้ว
“คุณคิมฮันนาห์?”
ในตอนนี้เอง ซอยูฮุยก็พูดออกมา
“คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรอ?”
นี่เป็นคำถามที่ใช้การสมมติเพียงเท่านั้น แต่คิมฮันนาห์ก็ส่งเสียงโอ้ออกมาอย่างตกใจ
“ไม่เลย พวกเราต้องลองถึงจะได้รู้ แต่ว่ามันก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลว”
“ถ้างั้น-“
“มันเป็นเหยื่อล่อ มันไม่สำคัญว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล แต่ว่ามันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
“คุณหมายความว่านี่คือแผนจริงๆ”
“มันยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อไหร่ที่ยืนยันได้แล้ว ฉันจะมาบอกทุกๆคน”
ซอยูฮุยได้พยักหน้าออกมา คิมฮันนาห์ก็ได้หันไปมองคนอื่นต่อ
“มีข้อสงสัยอะไรอีกไหม?”
“…”
“พูดสิ่งที่รู้สึกออกมาได้เลย ฉันเข้าใจว่าพวกคุณยังคงเข้าใจเกี่ยวกับแผนผิดอยู่ หากว่าพวกคุณมีคำถามก็ถามตอนนี้ได้เลย ฉันไม่ชอบถูกพูดแทรกน่ะ”
น่าแปลกที่เสียงพึมพำได้เงียบลงไป จะมีก็แค่สายตากังขาที่เหลืออยู่เท่านั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นักต้มตุ๋นที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่จะเอาแผนแย่ๆมาพูด แต่โชฮงก็ยังคงไม่มั่นใจอยู่ดีเพราะเธอไม่เข้าใจแผนนี้เลยจริงๆ
“คือว่านะ… มันดีกว่าไม่ทำอะไรก็จริง แต่นี่มันไม่เข้าท่าเลย ถึงพวกเราจะมีฐานะดีขึ้นมาหน่อย แต่เราจะไปจ่ายหนี้ให้ทุกๆคนได้ยังไงกัน? หรือบางทีอาจจะแค่ส่วนหนึ่ง…”
“ใช่แล้ว แค่ส่วนหนึ่งก็พอแล้ว”
“อะไรนะ?”
“แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่อาจจะมอบเงินให้ทุกๆคนได้ เพราะงั้นสำหรับแผนนี้เราต้องช่วยแค่ส่วนหนึ่ง แค่นี้มันก็พอแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้หยิบเอากระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมา
“เมื่อวานนี้ฉันได้ไปสำรวจมาประมาณ 40 ครัวเรือน กลุ่มตัวอย่างมีขนาดที่เล็ก แต่ว่าพวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นหนี้อยู่ประมาณ 87 เหรียญเงิน หากแค่บริจาคออกไปหนึ่งเหรียญเงิน พวกเราก็จะช่วยได้ประมาณ 11 คน สิบเหรียญเงินก็จะเท่ากับ 110 คน”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มหวาน
“และด้วยไข่ทองคำ เหรียญทอง ก้อนเงิน เหรียญเงิน อัญมณี และต่างๆอีกมากมาย รวมๆแล้วก็ช่วยได้หลายพันคน”
“ฉันมีคำถามเหมือนกัน”
จางมัลดงได้ยกมือขึ้นมา
“แม้ว่าเราจะใช้หนี้ทั้งหมดไปแล้ว แต่นี่ก็ยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงอยู่ดี หญิงสาวอาจจะต้องใช้เงินจำนวนมากจากการค้าประเวณีไปจ่ายดอกเบี้ย แต่มันไม่ใช่ว่าชาวพาราไดซ์ก็ได้เหรียญทองแดงกลับบ้านไปด้วยเหมือนกันหรอกหรอ? แน่นอนว่าองค์กรต่างๆได้แบ่งเงินเอาไว้ไม่ให้พวกเธอต้องอดได้ แต่ว่ามันก็เป็นความจริงที่วิธีพวกนั้นทำให้พวกเธออยู่รอดได้”
เขาพูดถูก เพียงแค่พวกเธอได้รับการปลดหนี้ นั่นมันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พวกเธอได้มีชีวิตอย่างมีความสุข หากพวกเธอยังคงไม่มีงานทำ สุดท้ายพวกเธอก็จะกลับไปยืมเงิน หรือไม่ก็ทำการค้าประเวณีต่อไป
“นั่นก็ถูก แต่ว่าปัญหานี้ก็สามารถแก้ได้ด้วยการบริจาคอาหารชั่วคราวเช่นกัน แน่นอนว่านั่นก็ด้วยเงินของเรา”
มาเรียได้เริ่มคร่ำครวญออกมาอีกครั้ง
‘หืม…’
ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็คิดขึ้นได้ว่าทั้งสองแผนนี้ต่างก็ทำได้ทั้งหมดในระยะสั้นทั้งนั้น นอกเหนือจากที่ดิน และอุปกรณ์สำหรับแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว ของที่เหลือต่างก็มีราคาปกติทั้งสิ้น
เมื่อก่อน แม้ว่าจะด้วยความช่วยเหลือของราชวงศ์ฮารามาร์ค แต่ซอลจีฮูก็เคยช่วยผู้คนจากหมู่บ้านแรมแมนเอาไว้นับร้อยคนด้วยแท่งทองแค่อันเดียว
โชฮงได้ส่งสายตาแหลมคมมา
“เธอคงไม่ได้บังคับเราใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่ พวกเรากำลังวางแผนที่จะใช้เงินทุนส่วนหนึ่งขององค์กร หากไม่ต้องการจะไม่จ่ายอะไรเลยก็ได้”
“ชิ เธอพูดเหมือนเธอเป็นคนดี แล้วให้โอกาสพวกเราได้ทำบุญเลยนะ”
“ก็นะ โอกาสแบบนี้มันหากันได้ยาก”
“ฮ่าฮ่า ก็ถูก โอกาสผลาญเงินแบบนี้มันหาได้ยากจริงๆนั่นแหละ”
ขณะที่โชฮงแสดงความคิดเห็นประชดประชัน มาเรียก็ได้ส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้ยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
“แต่พวกคุณจะได้รับผลประโยชน์ถึงสองอย่างจากการทำบุญครั้งนี้นะ”
โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“เธอคงไม่พูดอะไรแบบว่า ‘โอ้~ เราจะได้เป็นที่รักของสาธารณะชน’ หรอกนะ”
“นั่นมันก็สำคัญกับเรา แต่ถ้าคุณไม่สนใจ…”
คิมฮันนาห์ได้หุบนิ้วลงไปนิ้วหนึ่ง แต่ยังไงก็ตามเธอยังคงชูอีกนิ้วหนึ่งเอาไว้อยู่