บทที่ 255 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (1)
การประชุมได้ข้อสรุปออกมาแล้ว
ในทันทีที่การพูดคุยได้จบลง ซอลจีฮูก็ได้มุ่งหน้าไปที่วิหารเพื่อถอนเงินออกมาจากคลังเก็บของ
ในตอนแรกเขาได้บอกให้คิมฮันนาห์เอาเงินออกไปได้ตามต้องการเลย แต่ว่าเธอก็ได้แค่นเสียงตอบกลับมา
ส่วนสำคัญของแผนนี้ก็คือการโจมตีด้วยเงิน ยิ่งมีเงินเท่าไหร่ โอกาสสำเร็จก็มากเท่านั้น
แต่ว่าคิมฮันนาห์ได้บอกว่าพวกเขาควรจะใช้จ่ายให้พอควร และวิจารณ์ซอลจีฮูที่พยายามจะใช้เงินทั้งหมดขององค์กรออกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
เธอยังไม่ลืมที่จะเตือนให้เขาเอากลับมาแค่พอดีเท่านั้นอีกด้วย หลังจากได้ฟังอยู่นานในที่สุดซอลจีฮูก็สำนึกได้ว่า คิมฮันนาห์ไม่ได้พยายามจะช่วยชาวพาราไดซ์ด้วยปรารถนาดี
เธอได้บอกแล้วว่าแผนของเธอจะสั่นคลอนรายได้หลักขององค์กรในอีวา ธุรกิจสถานบันเทิง แต่ว่าดูแล้วนี่ก็ไม่น่าใช่เป้าหมายสุดท้ายของเธอ
ในตอนเธอคุยกับซอยูฮุย คำพูดแต่ล่ะคำของเธอมันทำให้รู้สึกเหมือนกับจะพุ่งเป้าไปที่องค์กรซะมากกว่า
แม้ว่าซอลจีฮูจะไม่ได้เข้าใจภาพใหญ่ที่คิมฮันนาห์วาดหวังเอาไว้ แต่เขาก็ได้ตัดสินใจคอยดูสิ่งที่เรียกว่ามายากลของจิ้งจอก
ยังไงสุดท้ายแล้วการเชื่อฟังคุณแม่ก็ไม่ผิด
หลังจากมาถึงวิหาร ซอลจีฮูก็ได้เอาเหรียญทองออกมา 20 เหรียญตามคำขอของคิมฮันนาห์ และเพิ่มแท่งทองคำไปอีกหนึ่งแท่งโดยไม่ลังเล
แท่งทองคำมีมูลค่าเท่ากับ 21 เหรียญทอง หรือ 21,000 เหรียญเงิน หากเป็นบนโลกมันก็จะเท่ากับร้อยล้านวอน!
ในเมื่อแต่ละครัวเรือนมีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 87 เหรียญเงิน ด้วยแท่งทองคำนี้ก็จะสามารถใช้หนี้ได้ถึง 241 คนหากไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ
คิมฮันนาห์กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเอกสารอยู่ในห้อง เธอได้ขยับมืออย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่จะวางปากกาลงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
“กลับมาแล้วหรอ?”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆวางถุงเงินลงไป หลังจากดูจำนวนข้างในแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้ยิ้มพึงพอใจออกมา
“นี่มันน่าจะมากพอแล้วล่ะ ช่างร่ำรวยจริงๆเลยนะ”
“ก็แน่นอนสิ ใครจไม่ชอบเงิน? ลองดูที่คุณมาเรียสิ”
“ไม่ เจ้าโง่ ฉันหมายถึงเงินทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น”
ยกตัวอย่างง่ายๆคือที่พวกเราสามารถใช้แผนแบบนี้ได้ก็เพราะพวกเขามีความมั่งคั่งมากพอที่จะใช้จ่ายออกไปบ้างได้ง่ายๆ หากไม่เช่นนั้นแล้วมันก็คงเป็นได้แค่ฝัน
ซอลจีฮูได้ยิ้มเรียบๆออกมา
“ก็จริงนะ ฉันไม่คิดว่าเลยว่าเธอจะใช้เงินสู้กับพวกนั้น”
“มันก็ไม่ได้มีกฎที่ว่าต้องใช้อาวุธต่อสู้กันเท่านั้นนี้ นายจะใช้คำพูด เงิน หรือกระทั่งกฎหมาย ศาสนา ปากกา หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
คิมฮันนาห์ได้ร่ายยาวก่อนที่จะมองมาที่ซอลจีฮูอย่างกระทันหัน
“แต่พูดไปแล้วก็นะ นี่มันยากที่จะเรียกว่าเป็นสงคราม เพราะว่าเราจะเป็นฝ่ายทำลายล้างอยู่ฝ่ายเดียว”
“ฝ่ายเดียว?”
“ก็ลองคิดดูสิ แผนของเรามันได้ละเมิดกฎหมายตรงไหนไหมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่เลยใช่ไหมล่ะ? พวกเราได้ให้เงินชาวพาราไดซ์ไปเพื่อชดใช้หนี้สิน ใครจะมาว่าเราได้ล่ะ? แน่นอนพวกนั้นอาจจะคิดว่าเราสร้างภาพ แต่ก็แค่นั้นแหละ”
“ก็จริงนะ แผนของเราไม่ได้ผิดกฎหมายเลย แต่ถ้ามองในแง่ผลลัพธ์แล้ว เงินของเราก็ไปจบอยู่ที่มือศัตรูนะ”
สิ่งที่ซอลจีฮูพูดก็ไม่ผิด แต่มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ขยับยิ้มออกมา
“นายยังไม่เคยเห็นสถานบันเทิงของที่นี่สินะ”
“หมายความว่ายังไงกัน? เราก็ไปด้วยกันมาแล้วนี่”
“ฉันหมายถึงสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ หรือที่เรียกว่าค้าประเวณีนั่นแหละ”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อด้วยรอยแสยะยิ้ม
“สินค้าทุกอย่างต่างก็มีราคาขาย และนั่นก็หมายความว่ามันมีความต่างระหว่างราคาขายกับต้นทุนซึ่งเรียกกันว่าส่วนต่าง ในพาราไดซ์นี้สถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่จะมีราคาขายที่ได้กำไรสูงมาก นี่แหละเป็นเหตุผลที่ทำให้องค์กรส่วนใหญ่เลือกอุตสาหกรรมนี้เป็นธุรกิจหลัก”
นี่ก็ถูก หากว่าธุรกิจนี้ทำเงินได้ไม่มาก ถ้างั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่ทำให้องค์กรหันมาสนใจลงทุนกับมันอยู่เป็นเวลาหลายปี
“มันไม่ใช่เรื่องกำไรเท่านั้นนะ เหตุผลที่ทำให้ธุรกิจสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่เป็นที่นิยมในพาราไดซ์ก็คือการรักษาโครงสร้างปริมาณกำไรไว้ต่ำอยู่เล็กน้อย”
“จะบอกว่าพวกเขาตั้งใจทำกำไรน้องหรอ?”
“ใช่แล้ว สำหรับธุรกิจสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่แล้ว ลูกค้ามากมายก็จะเข้ามาใช้บริการต่อให้ราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อยก็ตาม แค่ราคาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยพวกเขาไม่ลังเลกันหรอก”
ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา
“แต่ว่าการทำแบบนั้นมันก็มีความเสี่ยง ยิ่งได้เงินเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องจ่ายสาวๆมากเท่านั้น ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดว่าพวกเธอทำงานได้วันล่ะหลายสิบเหรียญเงินล่ะ? พวกเธอก็คงจะมีเงินพอจ่ายหนี้ และจากไปในไม่นานอย่างแน่นอน”
“เพราะงั้นถึงได้…”
“พวกมันได้พาหญิงสาวเข้าไปด้วยการที่พวกเธอติดหนี้ เพราะงั้นพวกมันจึงให้พวกเธอทำงานในราคาถูก ควบคุมราคาจนแทบจะทำให้พวกเธอไม่มีพอมาใช้จ่าย ด้วยวิธีนี้ทำให้หญิงสาวต้องทำงานไปตลอด สุดท้ายแล้วในแง่ระยะยาวมันจะได้กำไรมากยิ่งกว่า”
เมื่อคำอธิบายอันยาวนานได้สิ้นสุดลงไป ซอลจีฮูก็รู้สึกคอแห้งผาก
“บางครั้งฉันก็รู้สึกสับสนระหว่างพาราไดซ์กับโลก”
“ก็แน่นอนสิ ธุรกิจพวกนี้มันถูกดำเนินการด้วยคนจากโลกไงล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา ในตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดขึ้น และชายผมเทาก็ได้เดินเข้ามา คิมฮันนาห์ได้สวมรอยยิ้มของนักธุรกิจจนทำให้ใบหน้าสดใสขึ้นทันที
“เข้ามาสิ~”
“…ขอรบกวนด้วยนะ”
มาแชล จิโอเนียได้เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าใบใหม่ในมือขวาด้วยสีหน้าสับสนอยู่เล็กน้อย
“กลับมาจากวิหารหรอ?”
“ใช่แล้ว เมื่อกี้นี้เอง”
“เป็นไงมั้งล่ะ? ได้ยืนยันหรือยัง?”
มาแชล จิโอเนียถอนหายใจออกมาก่อนจะพยักหน้า
“สุเปอร์เบียพูดว่ายังไงล่ะ?”
“อีกไม่นาน”
“ว้าว~”
คิมฮันนาห์ได้ปรบมือออกมา
“ยินดีด้วย! นายก็ด้วยนะจีฮู อีกไม่นานเราก็จะได้มีแรงค์เกอร์ระดับสูงอีกคนแล้ว”
“ฉันฝันมาตลอดถึงการไประดับ 5… ในที่สุดตอนนี้ฉันก็ได้อยู่ที่หน้าประตูแล้ว…”
มาแชล จิโอเนียดูจะสับสน แต่ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร
“ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ การที่ได้คะแนนคุณูปการด้วยวิธีแบบนี้…”
ถูกแล้ว ผลประโยชน์ที่สองที่คิมฮันนาห์บอกไว้ก็คือคะแนนคุณูปการ
ในตอนแรกที่ได้ยินสมาชิกทีมของพวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อกัน แต่ว่าซอยูฮุยได้ยืนยันด้วยตัวเองจากประสบการณ์ของเธอ
“คะแนนคุณูปการเป็นจำนวนเลขที่แสดงถึงอิทธิพลของบุคคลต่อสังคม เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของชาวโลกคือการกำจัดปรสิต สงครามคือวิธีหลักในการได้รับคะแนนคุณูปการมา แต่ว่าหากตั้งใจดูให้ดี คุณก็จะรู้ว่าเราสามารถจะหาคะแนนนี้ได้จากวิธีอื่นด้วยเช่นกัน”
“การได้รับคะแนนคุณูปการจากงานอาสาสมัคร… ฉันคิดว่ามันใช้ได้แค่กับนักบวชเท่านั้น”
“นี่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในอีวามันน่าสิ้นหวังขนาดไหน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติกับสหพันธรัฐมันก็เหมือนฟันกับเหงือกที่ต้องพึ่งพิงกัน โรงประมูลกับรอยัลพัทยาเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความสัมพันธ์อันล้ำค่านี้”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน
“เราไม่เพียงแค่จะกำจัดส่วนที่อันตรายนี้ออกไป แต่เราก็ยังเตรียมตัวที่จะฟื้นคืนรากฐานของความสัมพันธ์นี้ขึ้นมาอีกด้วย ในภาพใหญ่แล้ว มันไม่มีเหตุผลเลยที่เทพทั้งเจ็ดจะไม่เห็นด้วยกับผลงานนี้”
คิมฮันนาห์ได้อธิบายสั้นกระชับก่อนที่จะมองลงไป มาแชล จิโอเนียได้ส่งถุงเงินออกมาโดยไม่ลังเล คิมฮันนาห์ได้มองดูตรวจสอบจำนวนเงินข้างใน ก่อนที่จะเบิกตากว้างขึ้นมา
“มากขนาดนี้เลย?”
“ฉันโลภอยู่หน่อยน่ะ”
มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน
“การกลายเป็นระดับ 5 คือความฝันของทุกๆคน สำหรับฉันมันก็เหมือนกัน หากว่าฉันได้รับคะแนนคุณูปการด้วยการโจมตีองค์กรในอีวา ฉันก็ไม่รู้สึกว่าการใช้เงินออกไปมันจะเสียเปล่า”
“ขอบคุณมาก”
มาแชล จิโอเนียได้ก้มหัวให้ก่อนจะเดินจากไป ซอลจีฮูได้มองดูเขาจากไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
‘คุณจิโอเนียสมควรจะเป็นระดับ 5 อย่างแน่นอน’
นักธนูเหล็กกล้าามีชื่อเสียงในเรื่องกำลังรบมากอยู่แล้ว องค์กรต่างๆมากมายต่างก็รู้ว่าเขาใกล้จะเป็นระดับ 5 แล้วจึงพยายามจะดึงตัวเขาไปร่วมทีมในทันทีที่เขากลับมา
ซอลจีฮูรู้ดีแก่ใจว่าอีกไม่นานคาเพเดี่ยมก็จะมีแรงค์เกอร์ระดับสูงอีกคนหนึ่ง และก่อนที่ความสุขเขาจะได้ลดลงไป ประตูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เป็นโชฮง
เธอได้มาพร้อมกับถุงเงิน
“ฉันมาซื้อคะแนนคุณูปการ”
เธอไม่ใช่แค่คนเดียว
“นายก็ด้วยหรอฮิวโก้?”
“ใช่…”
“เธอว่ายังไงมาบ้างล่ะ?”
“เธอบอกว่าฉันทำได้ดี แล้วควรจะพยายามมากกว่านี้สักหน่อย…”
ฮิวโก้ได้พูดออกมาเบาๆด้วยแก้มแดงๆ
“ไอร่าได้พูดเสมอว่า ‘เจ้าคิดว่าเจ้าดีพอจะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้วงั้นหรอ?’ พอมานึกว่าถึงวันที่เธอได้ให้กำลังใจฉัน…”
ฮิวโก้ได้เข้ามาหลังจากโชฮงออกไป และวางถุงเงินลง ภายในนั้นก็มีเงินอยู่จำนวนมากเช่นกัน
ต่อจากนั้นก็เป็นฟีโซรา ตามมาด้วยจางมัลดง และซอยูฮุยด้วยเช่นกัน
โอกาสในการได้รับคะแนนคุณูปการแบบปลอดภัยไม่ได้มีมาบ่อยๆ ดังนั้นทุกๆคนต่างก็กระตือรือร้นกันทั้งนั้น แม้กระทั่งปีศาจขี้งกก็ยังถูกคิมฮันนาห์ล่อลวงมาได้
“คะ คุณก็ด้วยหรอ คุณมาเรีย?”
“สีหน้าแบบนั้นมันอะไรกัน? ต้องตกใจขนาดนั้นเลยหรอ?”
มาเรียได้บ่นเสียงอู้อี้ออกมา
“หน้าที่ของนักบวชก็คือเยี่ยวยาผู้คน ความเจ็บปวดมันไม่จำเป็นต้องเป็นบาดแผลทางร่างกายเท่านั้นหรอกนะ หากว่าเงินของฉันสามารถจะช่วยให้ชาวพาราไดซ์หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทั้งมวลได้ ฉันก็จะไม่เสียดายมันเลย”
โกหก มันชัดเจนมากๆว่าเธอโกหก
แม้ว่าเธอจะบ่นพึมพำออกมาเหมือนกับเป็นบุคคลทรงคุณธรรม แต่ว่ามือที่ส่งเงินออกมาของเธอกำลังสั่นอยู่อย่างรุนแรง
มันชัดเจนมากว่าเธอได้คำนวณมาอย่างหนักก่อนที่จะยอมเจ็บปวดส่งเงินออกมา ยังไงสุดท้ายแล้วรายได้เธอก็จะพุ่งกระฉูดเมื่อเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง
“พี่สาว อย่าทำหายนะ”
“ได้สิๆ ได้ ปล่อยมือได้แล้ว”
“ฉันเอามาเพื่อทำประโยชน์จริงๆนะ ถ้าหากว่านายไปแม้แต่เหรียญทองแดง ถ้างั้นพี่สาวก็จะกลายเป็นสุดยอดยัยสารเลวเลยนะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว เพราะงั้นปล่อยซะ! ทำไมเธอถึงได้จับแน่นแบบนี้ล่ะ?”
“พี่สาวเห็นชื่อตรงนี้ใช่ไหม? ดูให้ดีนะ”
ที่ถุงเงินมีชื่อ ‘มาเรีย เยเรล’ ถูกเขียนเอาไว้อย่างที่เธอบอกจริงๆด้วย จากการที่มาเรียจับถุงเงินเอาไว้แน่นได้เริ่มทำให้คิมฮันนาห์รำคาญแล้ว
“ถ้างั้นเก็บไว้เองเถอะ ถ้าเธอไม่เชื่อใจฉัน ถ้างั้นเธอก็ไปจัดการเอาเองเลย เธอคิดว่าฉันเป็นขอทานงั้นหรอ?”
“มะ ไม่ ฉันก็แค่อยากจะมั่นใจเท่านั้นเอง”
ในที่สุดมาเรียก็ยอมปล่อยมือ คิมฮันนาห์ได้เดาะลิ้นออกมา
“เธอเอามาเท่าไหร่เนี้ย?”
“เอาล่ะ เจอกันนะ!”
ขณะที่คิมฮันนาห์มองเข้าไปข้างใน มาเรียก็รีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วที่ซอลจีฮูมองตามแทบไม่ทัน
หลังจากตรวจดูจำนวนเงินแล้ว คิมฮันนาห์ก็ถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา
“ยัยบ้า”
จากนั้นจู่ๆเธอก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมันหนักจัง ช่างน่าตลก!”
“?”
“ยัยนี่มางานแต่งงานคนอื่นที่ลงทุนจัดเลี้ยงเป็นแสนวอนต่อคน กินจนอิ่ม แล้วก็หนีไปหลังจากทิ้งซองเงินห้าพันวอนที่มีแต่เหรียญสิบวอนเท่านั้น”
คิมฮันนาห์ได้สบถด่ามาเรียก่อนจะส่ายหัว
“ฉันจะไม่มีวันเชิญเธอมางานแต่งแน่ๆ”
เท่านี้คาเพเดี่ยมก็ได้รวบเงินไว้บริจาคมาได้ทั้งหมดแล้ว หลังจากนับจำนวนเงิน คิมฮันนาห์ก็ถึงกับประหลาดใจ
“ว้าว… พวกเราช่วยได้เป็นพันๆคนเลย…”
จากนั้นเธอก็คำนวณเงินทุนสำหรับสนับสนุนการยังชีพ ซื้ออาหาร และจ่ายหนี้
ซอลจีฮูได้เดินวนไปมาเพื่อหาทางช่วย แต่เมื่อได้ยินว่า ‘ไปข้างนอกไป อย่ามากวน’ เขาก็ต้องกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงของคิมฮันนาห์
“สมบูรณ์แบบ เท่านี้ก็พอแล้ว”
ไม่นานนักคิมฮันนาห์ก็วางปากกาลง และลุกขึ้นยืน เมื่อมอวงเห็นซอลจีฮูฟุบหน้าอยู่ที่เตียงของเธอ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นายกำลังทำอะไรอยู่”
“กลิ่นหอมดี”
“นายเป็นโรคจิตงั้นหรอ?”
“ไม่ พูดจริงๆนะกลิ่นมันหอกดี เตียงฉันไม่เห็นมีกลิ่นแบบนี้เลย”
“ฟังนะนายโรคจิต หยุดดมกลิ่นฉัน แล้วมาช่วยแบกถุงพวกนี้หน่อย พวกเราต้องไปที่วังกัน”
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“วัง? ไปทำไมล่ะ?”
“เพื่อบอกว่า ‘เรามาบอกข่าวดี’ ยังไงล่ะ”
ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่คิมฮันนาห์จะทำได้เพียงลำพัง และซอกกูนีร์จะต้องอ้าแขนรับเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มใจแน่ๆ
ซอลจีฮูได้กระโดดขึ้นจากเตียงไปหยิบทุกคนที่คิมฮันนาห์แยกเอาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้น
“โอ้ จริงสิ ฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่ อ่า อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันสงสัยจริงๆ”
“ในที่สุดก็ถามแล้วสินะ”
คิมฮันนาห์ได้สวมเสื้อนอกพร้อมพูดออกมาเหมือนเธอรู้ว่าเขาจะถามอะไร
“ด้วยจำนวนเงินก้อนนี้ อย่างแรกเราจะ-“
“บอกเพิ่งบอกว่างานแต่งใช่ไหม?”
มือที่จับชุดนอกของเธอได้แน่นขึ้น
“เธอมีแฟนที่จะแต่งงานด้วยแล้วหรอ?”
คิมฮันนาห์ได้หมุนตัวเตะเข้าที่ขาของซอลจีฮูทันที
***
สถานบันเทิงยามค่ำคืนของอีวาก็ยังคงคึกครื้นเหมือนอย่างเคย มีอยู่หลายสาเหตุที่ทำให้ชาวโลกนิยมสถานบันเทิงของอีวา แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือพาราไดซ์
ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆเหมือนกับบนโลก สำหรับโลกใหม่นี้ วัฒนธรรม และสินค้าต่างๆของพาราไดซ์มักจะดึงดูดความสนใจของชาวโลกที่เพิ่งเข้ามาใหม่อยู่เสมอ
แต่มันก็เหมือนกับที่โลก สิ่งใหม่ๆมักจะหมดความน่าสนใจไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราคุ้นเคยกับมันแล้ว ไม่เพียงแค่การเพิ่มเลเวลจะยากมากๆในแต่ล่ะระดับเท่านั้น แต่ราคาของเครื่องสวมใส่ดีๆก็ยังสูงมากเช่นกัน
เป็นธรรมดาความดึงดูดที่พาราไดซ์สร้างต่อชาวโลกมีขีดจำกัด
พวกเขาก็ยังต้องตึงเครียดกับการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีทางได้บรรเทาความเครียดนี้ออกไป วิธีเดียวจริงๆเลยก็คือการมารวมตัวดื่มด้วยกันที่บาร์
สำหรับสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ต่อยอดขึ้นมาจากจุดๆนั้น ไม่เพียงแต่จะให้ชาวโลกได้ดื่มแอลกอฮอล์กัน แต่ยังให้พวกเขาได้เพลิดเพลินปลดปล่อยความต้องการออกไปได้
นี่เป็นธุรกิจที่ชาวโลกคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพียงแค่เพิ่มเติมหญิงสาวต่างเผ่าพันธุ์ และราคาที่ถูก นี่เป็นเหมือนกับเหมืองทองที่คอยดึงความสนใจของชาวโลกไม่รู้จบ
คิงโคโรน่า
นี่คือชื่อสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่อันมีชื่อเสียงในอีวา สำหรับธุรกิจที่มีหญิงสาวชาวพาราไดซ์มากกว่าห้าสิบคนก็นับได้ว่าเป็นธุรกิจบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ขนาดกลางได้แล้ว
ยังไงก็ตามในวันนี้ผู้จัดการที่คอยรับผิดชอบดูแลจัดการคิงโคโรน่ากำลังเดินไปมาด้วยความกระวนกระวาย หญิงสาว 52 คนได้หยุดงานไปพร้อมๆกันราวกับคุยกันไว้ก่อน
แม้ว่าในตอนแรกเขาจะมีความสุขที่จะสามารถรีดไถเงินจากการมาสายได้ แต่หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง เขาก็ต้องหน้าซีด
ลูกค้าได้เข้ามาไม่หยุด แต่ว่าเขาก็ต้องส่งลูกค้ากลับออกไปเพราะมีหญิงสาวไม่พอ
‘ยัยพวกนั้นมันหายหัวไปไหนกันหมด?’
ในที่สุดแล้ว เขาก็ต้องส่งคนออกไปตาม
เพื่อที่จะลากพวกเธอกลับมา ต่อให้จะต้องมีการใช้กำลังก็ตามที
ผู้จัดการคนหนึ่งได้เดินตามถนนไปที่บ้านของหญิงสาวคนหนึ่งได้บ่นพึมพำออกมา
‘เชี้ยเอ้ย นี่พวกมันฆ่าตัวตายหมู่กันหรือเปล่านะ? ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจู่ๆทำไมถึงหายไปกันหมด?’
ในสายงานนี้สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หญิงสาวชาวพาราไดซ์ที่ทนกับความอัปยศ และการตรากตรำลำบากไม่ไหวก็จะเกิดการฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่าเมื่อเขามาถึงหน้าบ้านที่ทรุดโทรม ความกังวลของเขาก็ได้หายไป เขาได้เห็นหญิงสาวกำลังกินอาหารเย็นกับลูกสองคนพร้อมเสียงหัวเราะผ่านทางหน้าต่างที่แตกร้าว
ผู้จัดการได้รีบเดินเข้าไปด้วยความไม่พอใจ
“ยัยนี่!”
ปัง! เมื่อเขาได้ถีบประตูเข้าไป ทั้งสามคนข้างในก็หันกลับมามองด้วยความตกใจ
“คุณกำลังทำอะไร? มาพังประตูบ้านคนอื่นทำไม?”
“คนอื่น?”
ผู้จัดการได้ยเย้ยหยันออกมา
“ในที่สุดแกก็บ้าไปแล้วงั้นสิ? ทำไมถึงไม่มาทำงาน?”
“ฉันจะไปหลังจากกินอาหารเย็นกับเด็กๆแล้ว”
เด็กทั้งสองคนได้มองขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล ผู้จัดการได้ส่ายหัว และกวักมือเรียกเธอเข้าไปหา
“ไม่ว่าจะยังไงก็รีบไปใส่เสื้อซะ หัวหน้าผู้จัดการกำลังโกรธมาก”
“ไม่”
“อะไรนะ?”
“ฉันจะไม่ไปทำงานในที่น่ารังเกียจนั่นอีก”
“…ฟู่ว”
ผู้จัดการได้ถอนหายใจออกมา นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หญิงสาวที่ไม่รู้จุดยืนของตัวเอง และพูดออกมาด้วยความมั่นใจอย่างการฆ่าฉันไปเลยสิ สำหรับผู้จัดการที่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง เขาไม่ได้กังวลเลยสักนิด
“ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวนะ ไปใส่เสื้อมาได้แล้ว”
“ฉันบอกว่าไม่”
“โอ้ งั้นหรอ?”
ผู้จัดการได้ตะคอก เดินย้ำเท้าตรงเข้าไปจับผมของหญิงสาว แต่จากนั้น
“อึก!”
เขาก็ต้องเซถอยกลับไป หญิงสาวได้ผลักเขาออกมาเมื่อเขาจับผมของเธอ
“แก…!”
ดวงตาของผู้จัดการได้เบิกกว้างขึ้น ปกติเธอควรจะหมอบคลานเมื่อถูกคุกคามสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“นี่แกบ้าไปแล้วจริงๆ?”
“ออกไป”
หญิงสาวได้จ้องชายหนุ่มด้วยความเกลียดชัง
“ถ้าคุณยังไม่ออกไป ฉันจะเรียกยามแล้วนะ”
“ยาม?”
ผู้จัดการได้หัวเราะออกมาด้วยความตกตะลึง
“ว้าวว~ ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน ยามงั้นหรอ? ก็ได้ เรียกมาเดี๋ยวนี้เลยสิ”
“…”
“ดูเหมือนแกจะยังไม่รู้ที่ของตัวเองนะ ฟังให้ดี แกเป็นหนี้อยู่เข้าใจไหม?”
“…ฉันรู้”
“พวกเรารอให้แกใช้หนี้มาเป็นปี แต่แกก็ทำไม่ได้ ถ้างั้นไม่ใช่ว่าแกต้องทำงานชดใช้หนี้หรอกหรอ?”
“…”
เสียงกัดฟันอันน่ากลัวได้ดังออกมา
“การเรียกยามมีแต่จะสร้างเรื่องลำบากให้กับตัวแกเองเท่านั้น มาดูกัน หนี้ของแกคือ…”
ชายหนุ่มได้ล้วงมือไปหยิบสัญญาออกมาจากกระเป๋า แต่จากนั้น
ปึก มีบางอย่างกระแทกหน้าอกของเขาเบาๆ
ผู้จัดการได้รีบคว้าสิ่งที่กระแทกอกของเขาเอาไว้ทันทีด้วยความสับสน ตัดสินจากเสียงแล้ว มันดูเหมือนกับจะเป็นถุงเงิน
“…เงิน”
เมื่อดูภายในถุง ผู้จัดการก็ต้องอ้าปากค้างออกมา มีเหรียญเงินสีขาวอยู่เจ็ดเหรียญ และเหรียญทองแดงอีกกำมือหนึ่ง นี่คือจำนวนที่หญิงสาวเป็นหนี้
“แก…”
“เอาไป ฉันใช้หนี้แล้ว”
“ดะ ได้ยังไงกัน…?”
“ส่งนั่นมา”
เธอได้คว้าสัญญาไปจากมือของผู้จัดการ และฉีกมันเป็นชิ้นๆ เธอคงจะเก็บงำความแค้นเอาไว้มากจนทำให้เธอฉีกกระดาษซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นเศษเล็กๆ
จากนั้นเธอก็โยนมันเข้าใส่ใบหน้าของผู้จัดการที่ยังสับสนอยู่
“มีความสุขไหมล่ะ? ออกไปพร้อมเงินของคุณเดี๋ยวนี้เลย”
“กะ แก…”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ! ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นหนี้คุณ ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรคุณอีกแล้ว!”
เธอได้แผดเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ หญิงสาวได้สูดหายใจเข้าลึกๆ และพึมพำออกมา
“อยากจะให้ฉันเรียกยามไหม?”
“แก ไม่ เฮ้ นับจากนี้แกจะเอายังไงต่อ-“
“นั่นมันไม่ใช่ธุระของคุณ! ออกไปซะ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าคุณอีก!”
ผู้จัดการโดนไล่ออกมาจากบ้านโดยไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เลย
ตูม! เสียงประตูถูกปิดได้ดังไล่หลังซ้ำขึ้นอีก
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น…?”
ในท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่จากไปทั้งๆที่ใจว้าวุ้นอยู่ ยังไม่หมดเท่านั้น
เมื่อเขาได้กับไปที่ร้าน เขาก็ได้เห็นเพื่อนร่วมงานที่กลับมาจากอีกฝั่งถนน อีกฝ่ายก็ยังถือถุงเงินกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นเดียว
ในตอนนั้นเองไกลออกไปเสียงระเบิดก็ดังออกมาจาก ก่อนที่กลุ่มยามจะวิ่งตัดถนนไป ผู้จัดการทั้งสองคนได้ยืนมองดูยามอย่างไร้คำพูด
แต่เรื่องในวันนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากมีคนจ่ายหนี้และออกไป 52 คนแล้ว ก็มีหญิงสาวอีก 106 คนที่ทำแบบเดียวกัน วันต่อมาก็มีอีก 214 คน และวันถัดจากนั้นก็มีอีก 436 คน จากนั้นจัดการสถานบันเทิงก็ต้องตกใจที่มีหญิงสาวจ่ายหนี้ลาออกไปอีก 873 คนในวันที่ห้า
ภายในเวลาแค่ห้าวันได้มีหญิงสาว 1681 คนจ่ายหนี้ และกลายเป็นอิสระไป
และยิ่งวันเวลาผ่านไปก็จะหญิงมีหญิงสาวลาออกไปเพิ่มอีกเรื่อยๆราวกับยังคงไม่พอ
ผู้จัดการทุกๆคน และเจ้าของสถานบันเทิงแต่ล่ะคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกับพวกเขาตกอยู่ในความฝัน แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันคือความจริง
เมื่อก่อนพวกเขาจะเมินหน้าหนีลูกค้าที่มาสาย แต่ในวันนี้จำนวนลูกค้าได้ลดลงไปแล้ว หากไม่มีโสเภณี มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะทำธุรกิจต่อไป
จากภาพสถานบันเทิงอันคึกคักได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นความเปล่าเปลี่ยวที่มีเพียงแมงวันบินวนไปมา
มีหัวหน้าผู้จัดการบางคนที่ตัดสินใจอดทนรอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวเอาเงินกันมากจากไหน แต่ว่าพวกเขาก็ยังมั่นใจว่าพวกเธอต้องกลับมาในตอนที่พวกเธอหิว
พวกเขามั่นใจว่าหญิงสาวจะต้องกลับมายืมเงินไปอีกแน่ๆ
จนกระทั่งข่าวลือแปลกๆได้เริ่มกระจายออกเป็นวงกว้าง