บทที่ 256 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (2)
ในช่วงนี้ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมได้มีแขกเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เหตุผลก็ง่ายมาก ด้วยการแจกจ่ายเงินและอาหารออกไปทำให้มีชาวพาราไดซ์แวะมาที่นี่ในทุกๆวัน
“ต่อแถวๆ! ไม่ต้องห่วงนะ พวกเขามีอาหารไว้ให้พอสำหรับทุกคน!”
เด็กสาววัยรุ่นสวมชุดคลุมนักบวชได้ตะโกนให้ฝูงชนรวมตัวกันอยู่ที่ตรงหน้าสำนักงาน
คิมฮันนาห์ได้ขอให้ซอยูฮุยรับผิดชอบทำหน้าที่นี้ และเธอก็ได้แสดงความสามารถออกมาได้เหนือยิ่งกว่าที่คิมฮันนาห์หวังเอาไว้
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ทำงานอาสาสมัครมาก่อน เธอได้ทำการซื้อวัตถุดิบอาหารราคาถูกมาเป็นจำนวนมาก และไปขอการสนับสนุนกำลังคนจากวิหารของอีวาฃ
เพราะเธอนี้เองได้ทำให้ด้านหน้าสำนักงานเต็มไปด้วยเสียงดัง แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
“สมกับที่เป็นวีรบุรษแห่งฮารามาร์ค! เขาต่างไปจากพวกที่เหลือจริงๆ!”
ชายคนหนึ่งได้ยิ้มออกมาในขณะที่ถือกล่องอาหาร
“มีคนบอกไว้ว่าเขาได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งอันน่ากลัว! นายจะเอาเขาไปเทียบกับชาวโลกธรรมดาไม่ได้นะ!”
หญิงสาวที่พาลูกมาด้วยได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ภาพลักษณ์ของซอลจีฮูกับคาเพเดี่ยมได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากการทำกุศลครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่จะแจกอาหาร และเงินยังชีพเท่านั้น แต่พวกเขายังช่วยจ่ายหนี้ให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน
แม้ว่าหนี้จะไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่การแทนมาด้วยการต้องชดใช้หนี้ให้กับคาเพเดี่ยมในอัตราดอกเบี้ย 9.63% ในระยะเวลาสิบปีก็เป็นอะไรที่น่ายกย่อง
“”เอาล่ะ คาเพเดี่ยมจงเจริญ! ฉันอยากจะให้หัวหน้าของพวกเขาเป็นราชาจังเลย”
“เฮ้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินนะ”
“แล้วทำไมล่ะ เขาดีกว่าราชินีที่แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้ยังไม่โผล่หัวออกมาอีกเป็นล้านเท่า!”
“ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวโลกก็ตามเถอะ…”
หญิงสาว และชายหนุ่มที่ต่างก็ถือกล่องในมือได้เดินออกไปพร้อมพูดคุยไปด้วย
ซอลจีฮูได้มองดูเรื่องทั้งหมดนี้จากระยะไกลด้วยรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้า เขารู้สึกดี อารมณ์โกรธที่เขาได้เห็นอีวายามค่ำคืน กับโรงประมูลได้ลดน้อยลงไปหน่อยแล้ว
แม้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับคนนับร้อยที่มาในทุกๆวันจะไม่ใช่น้อยๆ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะพวกเขามีเงินมากพอให้ใช้จ่ายได้
คิมฮันนาห์ได้บอกว่าเงินที่เขาเบิกออกมาเมื่อครั้งก่อนก็มากพอแล้ว แต่ว่าต่อให้เงินนั้นหมดลง พวกเขาก็แค่ไปเอาเพิ่มมาจากคลังเก็บของเท่านั้นเอง
ที่น่าแปลกไปกว่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเสียเปล่าเลย
จะเป็นเพราะว่าตอนนี้เขารวยขึ้นมา หรือเพราะมรดกที่เหลืออยู่ของตระกูลรอชเชอร์ก็ก็ตามแต่ ซอลจีฮูก็ยังคงรู้สึกว่าสบายใจอยู่ดี ย้อนกลับไปในตอนเขาติดการพนัน การเสียเงินสักเหรียญเดียวก็ทำให้เขารู้สึกแย่แล้ว
เขาได้คิดกับตัวเอง และยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าคุ้นเคย และเดินเข้าไปหาคนๆนั้น
“เธอก็ดูอยู่ด้วยหรอ?”
เขาได้เดินไปยืนข้างๆเธอ และถามออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ คิมฮันนาห์ที่ยืนมองดูภาพการกุศลโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ซอลจีฮูหยักไหล่ และถามออกมา
“ยังไงก็เถอะนะ เรายังไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรกันเลยใช่ไหม?”
“…ฉันก็กำลังจะพูดถึงมันในเร็วๆนี้แหละ”
ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็เริ่มพูดขึ้นมา
“ฉันคิดว่าถ้าเรายังไม่ลงทะเบียนไปสักพักมันคงจะดีกว่า นายคิดยังไงหรอ?”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาด้วยความตกใจ
“ทำไมล่ะ?”
“ด้วยวิธีนี้พวกเราจะก่อกวนพวกนั้นได้มากยิ่งขึ้น”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อโดยไม่ขยับสายตา
“ตราบใดยังไม่ได้รับการลงทะเบียนก็จะยังไม่นับว่าเป็นองค์กร นั่นมันหมายความว่าคาเพเดี่ยมก็ยังเป็นทีมอยู่”
“โอเค”
“ลองคิดดูสิ องค์กรอย่างเป็นทางการไม่ใช่แค่องค์กรสององค์กรเท่านั้น แต่เป็นถึงพันธมิตรเจ็ดองค์กรอันยิ่งใหญ่กลับถูกทำลายลงด้วยทีมเล็กๆที่มีคนเพียงไม่กี่คน น่าขำไหมล่ะ? พวกเขาคงจะต้องกำลังเป็นลมกันอยู่แน่”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆคิดตามคำพูดของคิมฮันนาห์อย่างช้าๆ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะยอมรับง่ายโดยพูดออกไปว่า ‘เข้าใจแล้ว’ แต่ว่าเมื่อสังเกตดูจากสถานการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็รู้สึกตระหงิดใจ แต่นั่นก็แค่การคาดเดาเท่านั้นเอง…
“ในช่วงสองสามวันมานี้ฉันกำลังอ่านประมวลกฎหมายของอีวา”
เมื่อได้ยินเรื่องกฎหมายถูกพูดถึงอีกครั้งได้ทำให้คิมฮันนาห์หันมองออกไปด้านข้าง
“มีกฎอยู่หลายข้อที่เกี่ยวกับชาวโลก หนึ่งในนั้นก็คือห้ามไม่ให้ใช้ความรุนแรงหรือใช้กำลังภายในเมือง”
“มันเป็นแค่กฎหมายในนามเท่านั้นแหละ”
คิมฮันนาห์ได้เย้ยหยันออกมา
“วันๆหนึ่งมีการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้งทั้งจากฝ่ายชาวพาราไดซ์และฝ่ายชาวโลก”
“ก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องการชกต่อยที่เกิดมาจากความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ”
“ถ้างั้นแล้วอะไรล่ะ?”
“กฎหมายนี้ได้มีกรณียกเว้นไว้อยู่ เหมือนกันกับที่ห้ามใช้กำลังมากเกินไปในเขตพรมแดนสหพันธรัฐ”
คิมฮันนาห์ได้เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆมองลงมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆ
“…ฉันเข้าใจนะว่านายอยากจะพูดอะไร”
จากนั้นเธอก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“แต่ถึงเราจะทำแบบนี้ พวกนั้นก็ยังคงจะไม่ทำอะไรอยู่อีกสักพัก”
“พวกเขาก็ยังจะไม่ทำอะไรอีกงั้นหรอ?”
“ก็น่าจะ”
ซอลจีฮูได้หรี่ตาออกมา
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“เพราะนาย”
คิมฮันนาห์ได้ชี้มาที่ซอลจีฮู
“แล้วก็ฉัน”
จากนั้นเธอก็ชี้มาที่ตัวเอง
“ทำไมล่ะ? ฉันเป็นแค่แรงค์เกอร์ระดับสูงเองนะ”
“ไม่ใช่แค่แรงค์เกอร์ระดับสูง”
“ในพาราไดซ์มีแรงค์เกอร์ระดับพิเศษไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ หากไม่นับรวมผู้บริหารที่ถูกเรียกกันว่าเป็นอัครสาวกของเทพแล้ว จำนวนคนก็จะน้อยลงไปอีก แต่พวกเขาเหล่านั้นมีโอกาสในการเอาชนะเมื่อต่อสู้กับผู้บัญชาการกองทัพของปรสิตไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป ชัยชนะของพวกเขาไม่มีอะไรแน่นอนเลย”
“…”
“แต่ดูนี่สิ แรงค์เกอร์ระดับสูงตรงหน้าฉันได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพปรสิตที่ซึ่งแม้กระทั่งผู้บริหารก็ยังทำกันไม่ได้มาก่อนเลย!”
ซอลจีฮูที่ได้มีประสบการณ์กับสงครามก่อนหน้านี้ได้ยอมรับว่าคำพูดของเธอเป็นเรื่องจริงๆ
“พวกเขาคงจะกำลังคิดว่า ‘หืม? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าพวกนี้? ทำไมอยู่ๆถึงได้ทำมากขนาดนี้ล่ะ? พวกมันบ้าไปแล้วงั้นหรอ? ไม่ เดี๋ยวก่อน พวกมันกำลังร้องขอการต่อสู้อันเรียบง่าย แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเว้นก็แต่ว่าจิ้งจอกจะบ้าไปแล้ว เดี๋ยวนะ-“
คิมฮันนาห์ได้หยุดแค่ตรงนี้ และหันหน้ามามองซอลจีฮู
“…พวกเขาจะอยู่เฉยๆเพราะกลัวฉันหรอ?”
“นายบอกว่านายได้พึ่งทักษะปลุกพลังหลายอย่างเพื่อฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ แต่ว่านายไม่เคยประกาศมันออกไปอย่างเป็นทางการ คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รู้ความจริงกัน นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้องค์กรพวกนั้นกัดฟันอยู่นิ่งๆในตอนนี้ นั่นเพราะว่าหากทำพลาดไปสักครั้ง พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับชาวโลกผู้ใช้หอกอันลึกลับที่ได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของพาราไดซ์”
ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังมีคำถามอยู่อีก จากนั้นเอง
“จีฮู”
จู่ๆเสียงของคิมฮันนาห์ก็เบาลงไป เธอได้หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนี่ง
“นายรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนที่นักต้มตุ๋นกำลังเตรียมจะจู่โจม?”
ซอลจีฮูได้เลิกคิ้วขึ้นมา คิมฮันนาห์ได้พูดต่อโดยไม่สนใจหันกลับมามอง
“มันง่ายมาก นั่นคือการทำให้มั่นใจว่าคนที่ถูกหลอกไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกไงล่ะ”
“…”
“พวกเขาจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็ต้องเมื่อการต้มตุ๋นมันจบลงแล้วเท่านั้น มันจะสายเกินไปที่จะแก้ไขอะไรได้อีก”
ซอลจีฮูเข้าใจได้ทันทีว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
“ฉันเข้าใจ นักต้มตุ๋นตามบ่อนพนันมักจะไม่ได้ทำเงินก้อนใหญ่ไปในทันที พวกเขาจะรอคอยกาส ยอมสูญเสียเงินไปก้อนหนึ่ง ก่อนที่จะเอาทุกๆอย่างคืนมา”
“อะไรนะ?”
“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาจะค่อยๆใช้เวลารอโอกาสจัดการในทีเดียว ชัดเจนว่าสิ่งสำคัญคือทำให้เหยื่อหลงไปตามการชักจูงของพวกเขา”
คิมฮันนาห์ได้เบิกตากว้างขึ้นมาเหมือนกับตกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานนักเธอก็กลับมารักษาท่าทีได้เหมือนเดิม และยิ้มบางออกมา จากท่าทางที่เอียงหัวลงพร้อมปิดปากแน่นของเธอแล้ว เธอดูเหมือนจะพยายามกลั้นขำเอาไว้อยู่
“อะไรล่ะ? มีอะไรน่าขำ?”
“ไม่-“
เมื่อซอลจีฮูได้รีบถามออกมา คิมฮันนาห์ก็ปิดปากหัวเราะออกมา
“ฉันก็แค่ตกใจ มันเป็นการเปรียบเทียบที่เยี่ยมมาก”
“แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่เธอหัวเราะนะ”
“นายพูดถูก ฉันก็แค่คิดว่ามันตลกที่ได้ยินอดีตคนติดพนันพูดแบบนี้”
คิมฮันนาห์ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันหน้ากลับไป
“เธอจะไปที่ไหนล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างบูดบึ้ง
“ฉันมีคนต้องไปเจออยู่~”
คิมฮันนาห์ได้โบกมือออกมาพร้อมเดินจากไปอย่างมีความสุข ซอลจีฮูที่เห็นเธอค่อยๆเดินไกลออกไปได้บ่นกับตัวเองในใจ ‘เธอน่าจะบอกอะไรกันหน่อยนะ’
เธอไม่ได้ซ่อนทุกๆอย่าง แต่ว่าจากการที่เธอพยายามเลี่ยงประเด็นอย่างชำนาญมันทำให้ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับถูกจิ้งจอกปั่นหัวอยู่
‘เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ?’
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจ และสะบัดหัวไปมา
***
หัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ โอมาร์ กราเซียกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไม่เพียงแค่เขาจะสูญเสียหนึ่งในธุรกิจสำคัญไปเท่านั้น แต่ว่าเมื่อเขาได้พยายามชดเชยความเสียหายด้วยการเข้าควบคุมธุรกิจสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ของรอยัลพัทยา คาเพเดี่ยมก็ได้พลิกกระดานใส่ราวกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว
เงินเก็บของเขาได้หายไปภายในพริบตาเดียว
‘ไอ้พวกเชี้ย…’
แม้ว่าภายนอกเขาจะทำเป็นสงบ แต่ภายในใจของเขาตอนนี้มันแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
‘ให้ตายสิ ฉันกำลังพยายามทำตัวดีอยู่เหมือนกัน… อยากจะทำแบบนี้ใช่ไหม?’
มันชัดเจนมากว่าคิมฮันนาห์เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นี่แหละคือปัญหา
โอมาร์ กราเซียเป็นทหารผ่านศึกในพาราไดซ์อย่างแท้จริง มันเป็นธรรมดาที่เขาจะเคยได้ยินชื่อเสียงอันอื้อฉาวของจิ้งจอกสาว
เขาไม่อาจจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนมีคุณธรรมได้ แต่ว่าเมื่อเอาตัวเองมาเทียบกับคิมฮันนาห์ เขาก็คิดว่าสิ่งที่เขากระทำชั่วไปได้ลดน้อยลงไปอย่างมาก
ตามข่าวลือแล้วกระทั่งความขัดแย้งภายในอันมีชื่อเสียงโด่งดังในฮารามาร์คก็ยังเป็นฝีมือของเธอ
ปีศาจจอมโหดเหี้ยมที่จะไม่ลังเลเลยที่จะหลอกลวงผู้อื่นจนตายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นี่แหละคือคิมฮันนาห์
และก็เป็นเหตุผลที่ทำให้โอมาร์ กราเซียรู้สึกสงสัย เธอไม่มีทางจะทำอะไรโดยไม่มีแผน เว้นก็แต่ว่าเธอจะบ้าไปแล้วเท่านั้น
ตัดสินจากการกระทำล่าสุดของเธอ มันชัดเจนมากว่าเธอกำลังต้องการที่จะสู้กับองค์กรต่างๆ แต่ไม่ว่าเขาจะคิดมากยังไง เขาก็คิดไม่ออกเลยว่าอะไรที่ทำให้เธอมั่นใจกล้าถึงขนาดนี้
‘ซินยองงั้นหรอ? ไม่สิ ซินยองไล่เธอออกมาเหมือนกับสุนัขล่าเนื้อที่กัดมือนายแล้ว ถ้างั้นแล้วทำไมเธอถึงมาที่อีวา…?’
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรในพาราไดซ์ค่อนข้างที่จะซับซ้อนอยู่
ซิซิเลียได้เรียกตัวเองว่าพิชิตทางใต้ แต่ว่าหากมองอีกมุมหนึ่งก็พูดได้ว่าพวกเขาได้ถูกกดดันให้ต้องไปอยู่ที่ฮารามาร์ค เนื่องจากข้อตกลงที่พวกเขาได้ทำเอาไว้ในตอนท้ายของความขัดแย้งในฮารามาร์คทำให้พวกเขาไม่มีอิทธิพลในเมืองอื่นๆ โอมาร์ กราเซียไม่ต้องกังวลว่าคาเพเดี่ยมจะมีซิซิเลียคุ้มครองอยู่เลยสักนิด
หากว่าซิซิเลียขัดต่อข้อตกลงนี้ องค์กรอันดับหนึ่งในพาราไดซ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงจะไม่มีวันเมินเฉย และเข้ามาเอี่ยวด้วยแน่
ดังนั้นโอมาร์ กราเซียจึงสามารถจะตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งไปได้เลย แม้กระทั่งเรื่องราชวงศ์ฮารามาร์คอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็อยากจะเชื่อได้เช่นกัน
ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองปัญหากับตัวเองอยู่นานนี้เอง คริสตัลที่อยู่ข้างๆเขาจู่ๆก็เปล่งแสงสว่างขึ้นมา
โอมาร์ กราเซียได้เงยหน้าขึ้นมอง นี่เป็นการติดต่อที่เขากำลังรออยู่
“ว่าไง นี่ผมเอง ได้ๆ แล้ว…”
เขาได้วางมือลงบนคริสตัล และตั้งใจฟังทันที
“…ว่ายังไงนะ?”
หลังจากฟังอยู่สักพัก เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น แต่ในไม่ช้าเขาก็ตอบกลับไป
“อ่า งั้นหรอ… เป็นเรื่องจริงสินะ?”
มุมปากของเขาได้โค้งเป็นรอยยิ้มขึ้นมา
“ได้สิ ได้ ไม่มีปัญหาเลย พวกเราจะอยู่เฉยๆ โดยเฉพาะในช่วงนี้พวกเราจะไม่ไปแตะต้องสหพันรัฐเด็ดขาด”
-อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน
“แน่นอนๆ ผมเข้าใจ ขอบคุณสำหรับข่าวนะครับ”
-ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณขอบคุณฉันเพื่ออะไร แต่ว่าคิดเรื่องนี้ให้ดีล่ะ
จากนั้นสายก็ได้ตัดไป เมื่อเห็นแสงในคริสตัลดับลง โอมาร์ กราเซียก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮ่าห์ ยัยจอมชักใยนี่น่ากลัวจริงๆเลย”
เขาได้พึมพำกับตัวเองก่อนจะปรบมือเข้าด้วยกัน
“เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้เองสินะ… ถ้าแบบนี้…”
หลังจากคิดกับตัวเองอยู่สักพัก เขาก็ได้ติดต่อไปหาคนๆหนึ่ง ไม่นานนักชายหนุ่มกับหญิงสาวก็ได้เดินเข้ามา
“เรียกพวกเราหรอครับท่าน?”
“ฉันมาแล้ว~”
ฝ่ายชายมีหน้าชัดได้รูปสวมเกราะเหล็กเต็มตัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวผมสีเงินได้สวมใส่เกราะโซ่ที่มีขนาดเบา
โอลิเวอร์ โรเจอร์ กับโนอา เฟรย่า ทั้งคู่คือนักรบแรงค์เกอร์ระดับสูง และเป็นหัวหอกของแก๊งโอชัวร์ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็สามารถจะเอาชนะจิรายุ แมทธิวได้ง่ายๆ
“นานแล้วนะที่ท่านไม่ได้เรียกเราสองคนมาพร้อมกัน”
หญิงสาวผู้เผยผิวสีพีชอันเย้ายวนได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ โอมาร์ กราเซียได้อธิบายให้เธอฟังในทันที
“ผมมีคำถามที่อยากจะถามทั้งคู่”
“อะไรหรอครับ?”
“เกี่ยวกับคาเพเดี่ยม”
“อืมม… อย่างที่คิดเลย”
โนอา เฟรย่าได้วางมือลงบนเอวเพรียวบางพร้อมเอียงหัวออกมาอย่างสงสัย
“แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องคาเพเดี่ยม…”
“คุณเคยได้ยินเรื่องชาวโลก ฟีโซราไหม?”
“อ่า แน่นอนสิ ถ้าเราไม่รู้จักพวกเราก็คงโง่แล้วล่ะ”
โนอา เฟรย่าได้ตอบกลับมาในทันที โอมาร์ กราเซียได้หันไปมองฝ่ายชายที่ยังคงเงียบอยู่
“คุณล่ะ?”
“ผมพอได้ยินมาบ้าง”
เป็นคำตอบที่คลุมเครือ แต่ดูแล้วทั้งคู่ต่างก็รู้จักเธอคนนั้น
“พอจะรู้ไหมว่าเธอแกร่งแค่ไหน? ยกตัวอย่างหากว่าสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง…”
“ฉันจะแพ้”
“ไม่มีโอกาสเลย”
โอลิเวอร์ โรเจอร์กับโนอา เฟรย่าได้ตอบกลับมาทันที
“บอกก่อนเลยนะต่อให้โรเจอร์กับฉันสู้ร่วมกัน พวกเราก็ขยับกันได้ไม่กี่ครั้งก่อนจะถูกบั่นหัว”
คำพูดที่บอกว่าถูกฆ่าแน่ๆของโนอา เฟรย่าได้ทำให้โอมาร์ กราเซียกลายเป็นสับสน
“เธอแข็งแกร่งขนาดนั้นเลย?”
“แค่เพราะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงมันไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน จะว่ายังไงดีล่ะ… อืม เธออยู่คนละชั้นออกไปจากเรา”
“ผมคิดมาเสมอว่าพวกคุณทั้งคู่เป็นแถวหน้าในหมู่แรงค์เกอร์ระดับสูง”
โอลิเวอร์ โรเจอร์ได้เผยความไม่พอใจออกมา แต่ว่าโนอา เฟรย่าได้หยักไหล่อย่างไม่แยแส
“หากว่าเราอยู่แถวหน้า ถ้างั้นผู้หญิงฟีโซราคนนั้นก็อยู่บนฟ้าแล้ว เธอได้เลื่อนขั้นไปสู่ระดับ 6 ด้วยทักษะพันดาบ…. นอกจากนี้เธอยังเชี่ยวชาญการชักดาบไว และในหมู่ระดับ 5 เธอก็ยังอยู่ในระดับท็อปสิบอย่างแน่นอน เรื่องนี้สามารถจะบอกได้จากการที่เธอเอาชนะโอราฮีได้ง่ายๆ”
“…ถ้างั้นแล้วจองโชฮงล่ะ?”
“หืม ฉันต้องลองสู้กับเธอก่อนถึงจะรู้ แต่ว่าฉันก็ไม่กล้าพูดว่ามั่นใจได้…”
โอมาร์ กราเซียได้อ้าปากค้างออกมา เขาก็พอจะคิดเอาไว้แล้ว แต่แรงค์เกอร์ระดับสูงของคาเพเดี่ยมดูจะเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
“ท่านเรียกเรามาแค่เพื่อถามเรื่องนี้หรอ?”
โอลิเวอร์ได้ถามออกมาสั้นๆ โอมาร์ กราเซียได้ส่ายหัวออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“…ผมก็อยากจะถามเรื่องซอลจีฮูเหมือนกัน เพื่อประเมินพลังของเขา”
“ซอลจีฮู… คงหมายถึงหัวหน้าคาเพเดี่ยมสินะ”
โนอา เฟรย่าได้ลูบคางของเธอ
“ไม่มีเบาะแสเลย ทุกๆอย่างเกี่ยวกับคนๆนี้ได้เต็มไปด้วยความลึกลับ…”
“ผมคิดว่าข่าวลือเกี่ยวกับเขามันพูดเกินเลยไปหน่อยไหม?”
“ก็ไม่เชิง”
โอลิเวอร์ โรเจอร์ได้เสริมขึ้นมา
“แม้ว่าจะมีเรื่องไร้สาระอยู่มากมาย แต่ว่าเรื่องที่ซอลจีฮูฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็เป็นเรื่องจริง มีพยานรู้เห็นเรื่องนี้อยู่นับไม่ถ้วน”
โอมาร์ กราเซียได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“แต่ว่านั่นมันเป็นไปได้ยังไงกัน!? หากว่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งบุกอีวา เมืองนี้ก็จะถูกทำลายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว!”
“ฉันไม่เห็นด้วยนะ ยังไงแล้วอีวาก็ไม่ได้มีผู้บริหาร อ่า บุตรแห่งลูซูเรียอยู่ที่นี่แล้วนี่นา”
“ผมรู้ แต่ว่าที่ผมอยากรู้คือซอลจีฮูอยู่เหนือความหมั่นเพียรอันนิรันดร์จริงหรือเปล่ามากกว่า”
“อ่า ถ้างั้นก็คงไม่อย่างแน่นอน”
ด้วยคำรับรองจากโอลิเวอร์ โรเจอร์ได้ทำให้ดวงตาของโอมาร์ กราเซียเป็นประกาย
“ผมสนใจสงครามนั้นก็เลยไปศึกษามาด้วยตัวเอง ซอลจีฮูได้ปรากฎตัวควบคุมสนามรบเหมือนกับปีศาจ แต่ว่าพวกเขาก็บอกว่าซอลจีฮูได้รับการช่วยเหลือจากผู้บริหารจำนวนมาก”
“โอ้ งั้นหรอ?”
“อัตตา ความเกลียดคร้าน ราคะ ความโกรธ ความโลภ… ที่นั่นมีผู้บริหารอยู่ทั้งหมดห้าคน แล้วถึงแม้เธอจะไม่ใช่ผู้บริหาร แต่ก็ยังมีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ร่วมด้วยอีกคน”
“ถ้างั้นแล้วก็มีชาวโลกในระดับผู้บริหารถึงหกคน”
“ใช่แล้วล่ะ รายงานได้บอกไว้ว่าบุตรแห่งลูซูเรียกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ให้การช่วยเหลือซอลจีฮูอย่างเต็มที่ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ลงไปได้ บ้างก็บอกว่าข่าวลือที่เขากดดันผู้บัญชาการกองทัพสามคนอยู่ฝ่ายเดียวเป็นข่าวเท็จ”
“ใช่แล้ว มันต้องแบบนี้แหละนะ”
“หลังจากจบสงครามเขาก็ยังอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่หลายสัปดาห์ และเมื่อคำนึงว่าสหพันธรัฐได้ทำการรักษาให้ขา มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาได้ใช้ความสามารถที่สร้างภาระให้กับร่างกาย”
“เยี่ยม!”
ในที่สุดเขาก็ได้ยินในสิ่งที่อยากจะได้ยินสักที
“คุณมั่นใจเรื่องนั้นใช่ไหม?”
“?”
“ที่ผมหมายถึงก็คือเหตุผลที่ทำให้คาเพเดี่ยมกล้าแสดงออกมามากขนาดนี้ก็เพราะพวกเขามั่นใจในทีมของพวกเขา กับพลังของซอลจีฮู”
“มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้น”
โอลิเวอร์ได้ตอบกลับมาอย่างาสงบ ก่อนที่จะแสดงสีหน้าสงสัยออกมา
“หากว่าท่านยังสงสัยอยู่ ท่านก็สามารถจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เองได้เสมอ… แต่ว่าทำไมถึงถามเรื่องนี้กันล่ะ?”
โอมาร์ กราเซียได้ยิ้มออกมา
“ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากยังไงล่ะ”
“?”
“ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังหลักของคาเพเดี่ยม หากว่าพวกเขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้บัญชาการกองทัพปรสิต มันก็คงไม่สำคัญต่อให้องค์กรทั้งเจ็ดร่วมมือกันสู้ก็ตาม”
“นั่นก็จริง… แต่ว่าพวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ หากเผชิญหน้ากับจำนวนที่เหนือกว่า พวกเขาก็ต้องแพ้อยู่ดี”
โนอา เฟรย่าก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้หากว่าเราระดมกองทัพของอาณาจักรมาได้ พวกเขาก็มีแต่ต้องยอมแพ้ใช่ไหม?”
“แน่นอน แต่ว่าท่านระดมพลได้ด้วยหรอ?”
“มันมีวิธีอยู่ แต่ว่าก่อนหน้านั้น-“
โอมาร์ กราเซียได้ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
“ผมคงต้องไปเยี่ยมซันเหอสักหน่อย”
“ซันเหอ?”
“อ่า ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ก็แค่ยืนยันสิ่งที่คุณพูด…”
เขาได้เดินออกไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“แล้วก็ตามว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร”
***
ในเวลาเดียวกัน
งานปาร์ตี้ได้ถูกจัดขึ้นภายในห้องที่อยู่ในสำนักงานคาเพเดี่ยม