บทที่ 257 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (3)
มีเงาดำได้ลอยไปทั่ว และกินอาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือวิญญาณเจ้าถิ่น
พวกเขาก็คือฝูงผีพเนจรที่ถูกโฟลนจัดการเอาไว้
พูดให้ชัดก็คือถูกบังคับยึดบ้านไป แต่ว่าในปัจจุบันพวกเขาก็ดูจะพอใจกับชีวิตใหม่นี้
นั่นก็เพราะว่าคิมฮันนาห์ได้ยอมรับคำขอของโฟลน และสร้างสถานที่ให้พวกเขาได้อยู่อาศัยกัน
ไม่เพียงแค่จะสร้างป้ายหลุมศพให้พวกเขาแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังมีนักบวชสาวคอยมาจุดธูปอธิษฐาน และเอาอาหารอร่อยๆมาเซ่นไหว้ให้กับพวกเขาอยู่เสมอ แล้วนี่จะไม่ให้พวกเขาพอใจได้ยังไงกันล่ะ?
จริงๆแล้วชีวิตของพวกเขาดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับบ้านร้างที่พวกเขาเคยอยู่
แต่แน่นอนนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ฝูงวิญญาณที่กำลังมีความสุขกันอยู่จู่ๆก็นิ่งงันไป- พวกเขารู้สึกได้ถึงวิญญาณชั่วร้ายขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
มันเป็นความแค้นที่ทำให้วิญญาณอาฆาตยังต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ความต่างของความแค้นมันมหาศาลมากจนเหมือนกับเทียนไข และดวงอาทิตย์
วิญญาณที่รู้ตัวได้ช้ารีบขยับตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไงก็ตาม…
[โอ้?]
โฟลนได้เข้ามาในห้องแล้ว
[เอาล่ะ ดูสภาพห้องนี้สิ]
เมื่อเสียงแหลมสูงดังออกมา วิญญาณก็ได้รีบประจำตำแหน่งของตัวเอง พวกเขาแต่ละคนต่างก็ไปยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าป้ายหลุมศพของตัวเอง โดยไม่ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่นิดเดียว
[เฮ้อ]
เมื่อเห็นสภาพห้องที่มีอาหารเกลื่อนไปทั่วได้ทำให้โฟลนรู้สึกท้อแท้จริงมา แต่ว่าเธอก็ได้เลือกหลับตาอดทนกับมันอยู่สักพัก
[ฟู่… มาเริ่มนับคนกันก่อนแล้วกัน]
[เอาล่ะ มีทั้งหมดสิบสี่คน แล้วตอนนี้มีอยู่สิบสอง… อะไรนะ หายไปไหนสองคน? ทำไมฉันไม่เห็นอีกสองคน?]
[อะไร? ไปห้องน้ำงั้นหรอ?]
[อย่ามาล้อฉันเล่นนะ? นี่พวกแกยังคิดว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรอ?]
วิญญาณที่มีโครงร่างใหญ่สุดในที่แห่งทำอะไรไม่ถูกทันทีที่ถูกโฟลนตะโกนใส่
[ว้าว… นี่มันแย่มาก!]
โฟลนได้ก้มหน้าลง และส่ายหัวอย่างไม่พอใจ
วิญญาณได้สะดุ้งเฮือกขึ้น
พวกเขารู้นับตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เมื่อไหร่ที่เธอพูดว่า “แย่มาก’ เธอก็จะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาได้สบาย
และโฟลนได้ยกมือเท้าเอวทั้งๆที่ก้มหัวอยู่อยางที่คาดไว้ จากนั้นเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
[วันนี้ฉันโฟลนรู้สึกผิดหวังกับพวกแกมากๆ]
[ฉันรู้ว่าพวกแกไม่อยากจะได้ยินคำนี้ แต่ว่าแค่รักษามารยาทพื้นฐานกันก็ไม่ได้งั้นหรอ? พวกแกทุกคนไม่มีศักยภาพในการทำแบบนี้เลยหรอ?]
[ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากเลยนะ แค่รายงานตัวกับฉัน แล้วก็อยู่นิ่งๆ ฉันไม่ได้หวังให้พวกแกพัฒนาตัวเอง แต่ว่าอย่างน้อยก็แค่มาเจอฉันตรงกลางเท่านั้นเอง นี่ฉันผิดงั้นหรอ?]
[ไม่เลย ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกแกเล่นกัน แต่ถ้าพวกแกกินอะไรอย่างน้อยก็ช่วยทำความสะอาด แล้วก็เปิดหน้าต่างระบายอากาศสักหน่อยไม่ได้เลยหรอ? ค่อยพักหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้นี่]
เธอได้คุยโม้เรื่องการเปลี่ยนทัศนียภาพ และบอกว่าเธอไม่อาจจะไว้ใจพวกเขาได้ทั้งๆที่เธออยากจะไว้ใจก็ตาม หลังจากบ่นพวกเขาอยู่นาน โฟลนก็กอดอก และกวาดมองดูวิญญาณที่ยืนเรียงแถวก้มหน้ากันอยู่
[ตอนนี้ทำให้ดีขึ้นกันได้ไหม?]
[ได้ครับ!]
วิญญาณได้ส่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมๆกัน
[ฉันเชื่อใจพวกแกได้ใช่ไหม? อย่างน้อยที่สุดพวกแกคงต้องใช้เวลาสักสองสามวันก่อนจะทำให้มันเละเทะอีกได้ใช่ไหม?]
[ครับ/ค่ะ!]
[…เยี่ยมมาก]
โฟลนได้เม้มริมฝีปาก แต่ก็ยังพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
[ถ้างั้นฉันจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นสักครั้งแล้วกัน]
หลังจากย้ำเตือนให้พวกเขาระวังเรื่องพฤติกรรมแล้ว โฟลนก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง หลังจากตัวตนของเธอได้หายไปไกลแล้ว วิญญาณก็ได้เริ่มบ่นกันเองขึ้นมา
[ชู่ววว ทุกครั้งที่เห็นเราผู้หญิงคนนี้เอาแต่บอกว่าเธอผิดหวังอยู่เสมอเลย]
[นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?]
[ครั้งที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว]
[เฮ้ เฮ้ ไม่เป็นไรหรอกน่า เธอไปแล้วใช่ไหม? แค่ทำให้เหมือนเราทำความสะอาดก็พอแล้ว]
วิญญาณได้บ่นออกมา และเริ่มนินทาโฟลนด้วยกัน
***
ปาร์คดงชุนได้มาที่สำนักงานคาเพเดี่ยมตามคำขอของโอมาร์ กราเซีย เขาได้บอกว่าจะลองเสี่ยงโชคด้วยข้ออ้างในเรื่องข้อตกลงอสังหาริมทรัพย์ แต่ว่าพูดตรงๆแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด
เมื่อสถานการณ์บานปลายมาจนถึงจุดๆนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามก็รู้จุดประสงค์ของการมานี้เป็นอย่างดี การพูดตรงๆจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“นี่เธอจะทำแบบนี้กันจริงๆหรอ?”
“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่านายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่~”
แต่แน่นอนว่านั่นก็เป็นแค่ในทางปฏิบัติเพียงเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่เสียอะไรไป
“หยุดทำแบบนี้แล้วพูดมาเถอะ ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้?”
“แปลกๆนะ ทำไมล่ะ? เราทำอะไรที่ไม่ควรทำลงไปงั้นหรอ?”
ปาร์คดงชุนได้จ้องคิมฮันนาห์ที่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
มันเป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย แต่ว่าเขาก็ยังไม่ยอมถอย
“ลองคิดถึงจุดยืนของฉันสักหน่อยสิ เธอรู้ไหมว่าช่วงนี้ฉันต้องเจอกับปัญหามากแค่ไหน?”
“ก็นะถ้าเป็นนายก็คงมีแผนสำรองไว้อยู่แล้วล่ะนะ”
“แผนสำรอง?”
“ก็คุณได้ส่งสัญญาหลังจากคำนวณเรื่องทั้งหมดไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่”
ปาร์คดงชุนได้แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวก่อนจะหยิบเอาเอกสารออกมาจากเสื้อ
“นายนี่น่าทึ่งจริงๆเลยนะ”
“ตอนนี้อะไรอีกล่ะ?”
คิมฮันนาห์ได้หยิบกระดาษขึ้นมาโบกไปมา
“นายคิดว่าเอกสารนี่คืออะไรล่ะ?”
“…อะไรนะ?”
“เป็นรายงานเกี่ยวกับองค์กรในอีวา”
“?”
“ตัวแทนของเราได้บอกให้ฉันส่งรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับองค์กรในอีวา”
คิ้วของปาร์คดงชุนได้ขมวดขึ้นมาเมื่อเธอเน้นย้ำคำเดิม
“แล้วในระหว่างที่ฉันกำลังเขียนรายงานขึ้นมา… องค์กรพ่อค้าดงชุนกับหมดจดกว่าที่ฉันคิดไว้”
“…”
“ฉันคิดว่าจังหวะที่นายล้างมือมันเหมาะมากเลยล่ะ จู่ๆทำไมนายถึงทำแบบนี้ล่ะ?”
“ก็นะ… ฉันแค่คิดว่าฉันน่าจะใช้ชีวิตให้ดีขึ้น”
ปาร์คดงชุนได้หัวเราะแหะๆออกมา แต่ว่าภายในหัวของเขากำลังแล่นอยู่อย่างเต็มกำลัง
‘ทำไมเธอถึงเปลี่ยนเรื่องล่ะ?’
คิมฮันนาห์ได้บอกเขาถึงเรื่องรายงานโดยละเอียด แต่เขาคิดว่าเขาเพิ่งจะได้ยินรายชื่อการสังหารหรือเปล่านะ?
ไม่สิ นั่นไม่ถูก หากจะมีอะไรที่คิมฮันนาห์จะบอกก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น
คาเพเดี่ยมจะไม่หยุด
มันจะต้องมีสักฝ่ายที่จะถูกจัดการ และก้าวเท้าออกไปจากอีวาไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม
‘ไม่มีทาง’
ปาร์คดงชุนที่เพิ่งจะสรุปได้ก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว
คิมฮันนาห์ได้ให้โอกาสให้เขาได้เลือก จะอยู่กับพันธมิตรอีวาต่อหรือย้ายฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายไหนมันก็มีโอกาสอยู่ 50% การเลือกโดยไม่คิดมีแต่จะทำให้เป็นอันตรายขึ้นมา
“…นี่เธอมีกำลังเสริมอยู่อีกงั้นหรอ?”
เขาได้ถามออกมาเสียงต่ำเพื่อพยายามจะหาคำใบ้ให้ได้ แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแค่เผยรอยยิ้มอ่อน นี่มันหมายความว่าหากเขาอยากจะรู้ เขาจะต้องใช้บางสิ่งที่เท่าเทียมกันแลกเปลี่ยน
‘ฉันอยากจะบ้า’
เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่จะกำหนดชะตากรรมขององค์กรสีหน้าปาร์คดงชุนได้กลายเป็นจริงจังมากขึ้น
อึก เขาได้ถูมือตามความเคยชิน ฝ่ามือของเขาได้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อโดยไม่รู้ตัว
“อ่า…”
ปาร์คดงชุนได้ติดอยู่ระหว่างทางแยกทั้งสองทางอยู่นาน
“ระวังให้ดี”
คิมฮันนาห์ได้เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“หลังจากพวกเธอสร้างความวุ่นวายได้มีการประชุมฉุกเฉินจัดขึ้น”
“บอกเฉพาะข้อเท็จจริงที่สำคัญก็พอแล้ว”
“พวกเขาบอกว่าราชวงศ์จะติดต่อไปหาแก๊งโอชัวร์ในเร็วๆนี้ บางทีตอนนี้อาจจะติดต่อไปแล้วก็ได้”
“ติดต่อ?”
“ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน”
ปาร์คดงชุนได้โบกมือถี่ๆเมื่อเห็นคิมฮันนาห์แค่นเสียง
“ฟังนะ จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อะไรแบบนี้เกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์มันไม่ได้ใหญ่เท่าครั้งนี้”
“ก็นะ ซอกกูนีร์คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป”
“ซอกกูนีร์ก็ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเขาก็ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลจากแรงค์เกอร์ระดับสูงที่ชื่ออีวาเจลีน โรส ด้วยแบบนี้ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ที่คุกคามต่อพันธมิตรมากแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็จะผ่านพ้นวิกฤติไปได้อย่างปลอดภัย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ?”
“ฟังฉันนะ ที่ฉันจะบอกก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่พันธมิตรอีวาเจอกับเรื่องที่รับมือไม่ไหว ทางราชวงศ์ก็จะเคลื่อนไหว ฉันกำลังจะบอกว่าพวกเขาร่วมมือกันกับราชวงศ์”
ปาร์คดงชุนได้ลดเสียงลงจนเหมือนกระซิบแม้ว่าภายในห้องจะมีกันแค่สองคนก็ตาม
ในที่สุดแล้วคิมฮันนาห์ก็แสดงความสนใจออกมาบ้าง
“แล้ว?”
“ฉันก็อยากจะบอกมากกว่านี้นะ แต่ว่านี่คือทั้งหมดที่ฉันรู้แล้ว แก๊งโอชัวร์ได้เป็นคนควบคุมความร่วมมือกับราชวงศ์เอาไว้ทั้งหมด แล้วเราก็ได้แต่ทำตามที่เขาบอกเท่านั้น”
เมื่อได้เห็นเขาพยายามจะปกป้องตัวเอง คิมฮันนาห์ก็ส่ายหัวออกมาเบาๆ
“งั้นที่นายจะบอกก็คือในทุกๆครั้งที่มีวิกฤติ พันธมิตรที่อยู่ในราชวงศ์ก็จะช่วยจัดการสถานการณ์ ในขณะที่แก๊งโอชัวร์ก็จะหาทางแก้สินะ”
“โดยทั่วไปก็ใช่แล้วล่ะ มันจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกเธออย่างชัดเจนเช่นกัน พอถึงตอนนั้นให้ระวังการกระทำให้ดีล่ะ”
ขณะที่เขาพูดแบบนี้ออกมา คิมฮันนาห์ที่กอดอกเคาะนิ้วอยู่ก็ขยับยิ้มออกมา
“ว้าว เมืองนี่มันน่าสนใจจังเลยนะ มันเหมือนกับป่ามากกว่าเมืองซะอีก”
“ก็แบบนี้แหละ”
“แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว เพราะงั้นการตอบแทนมันคงจะไม่มากหรอกนะ…”
ดวงตาปาร์คดงชุนได้สว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตอบแทน’
“ในเมื่อนายพูดถึงเรื่องการเลือกแล้วล่ะก็นะ ฉันก็อยากจะบอกบางอย่างที่คล้ายกันกลับไป”
คิมฮันนาห์ได้เผยรอยยิ้มเป็นประกายออกมา
“นายก็ระวังตัวไว้ด้วยนะตาลุง”
“หืม?”
“นายจะต้องเจอเข้ากับตัวเลือง ในตอนที่เวลานั้นมาถึง-“
คิมฮันนาห์ได้วางเอกสารลงด้วยรอยยิ้ม
“แค่อยู่เฉยๆ”
“อยู่เฉยๆ?”
เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด เขาคิดว่าเธอจะขอให้เขาช่วยในทุกๆวิธีที่ทำได้ซะอีก
“ตัวแทนของเรา ซอลน่ะ แม้ว่าเขาจะพยายามไม่แสดงมันออกมา แต่ว่าความใจเย็นของเขามันเตลิดไปหมดแล้ว”
“…”
“ที่ฉันกำลังจะบอกก็คือ หากว่ายังไม่อยากตาย ถ้างั้นก็อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร อย่าเข้ามายุ่งย่ามให้เจ็บตัว บางทีหลังจากนั้นเขาอาจจะได้สติกลับมาก็ได้นะ”
คิมฮันนาห์ได้พยักไหล่ในตอนท้ายของประโยชน์ เธอคงจะหมายความว่าไม่มีอะไรที่เธอจะบอกเขาอีกแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ข้อมูลสำคัญ แต่การเดินทางมาของเขาก็ไม่ได้เสียเปล่า
เขาเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรกเลย คิมฮันนาห์ไม่ได้พยายามชักจูงให้เขาเข้าช่วย และกลับกันเธอแค่ให้ข้อมูลเขาอยู่ฝ่ายเดียว
นี่มันหมายความว่าพวกเธอมีความมั่นใจมากต่อให้จะไม่มีความช่วยเหลือจากพ่อค้าดงชุนก็ตาม
เมื่อได้ข้อสรุปแบบนี้ออกมาเขาก็ถึงกับต้องตัวสั่น เขาคิดไม่ออกเลยว่าคิมฮันนาห์กำลังซ่อนอะไรเอาไว้อยู่ แต่ว่าปาร์คดงชุนก็ไม่ได้ถามต่อแล้ว นั่นก็เพราะว่าการอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเป็นสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรก
“…โอเค เข้าใจแล้ว”
ปาร์คดงชุนได้ลุกขึ้นจากที่นั่งเงียบๆ
บ่ายวันนี้คาเพเดี่ยมได้รับการติดต่อมาจากราชวงศ์ เนื้อหาคือเรื่องการมอบงานให้ ในตอนนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายออกมาแล้ว และเหลือเพียงแค่ส่งตัวคนกลับไปที่สหพันธรัฐเท่านั้นเอง
แต่ปัญหาก็คือคนต่างเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ได้ปฏิเสธการคุ้มกันจากมนุษย์ และอยากจะกลับบ้านด้วยตัวเอง
ที่พวกเขาให้ความร่วมมือกันการสืบสวนนั่นก็แค่เพราะว่าพวกเขาเห็นแก่มนุษย์ที่ช่วยพวกเขาไว้ และเพราะว่าพวกเขาอยากจะแก้แค้นพวกชั่วที่ทำเหมือนกับพวกเขาเป็นของเล่นเท่านั้นเอง ความแค้นและความเกลียดชังต่อมนุษย์ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของพวกเขายังคงไม่ได้หายไปไหน
ยังไงแล้วพวกเขาก็จะไม่มีทางยอมรับการคุ้มกันจากชาวโลกที่จับพวกเขามา และทรมานพวกเขาสารพัดแน่ๆ
ดังนั้นราชวงศ์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะดูถูกพลังของต่างเผ่าพันธุ์ แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็เพิ่งจะหายจากอากาศบาดเจ็บ ยิ่งกว่านั้นนี่ก็คือพื้นที่ของมนุษย์
มันไม่มีใครรับประกันเลยว่าพันธมิตรอีวาจะสามารถกล้ำกลืนความโกรธลงไปได้ และจะไม่มีเหล่าผู้ลักลอบตาบอดเพราะเงิน
นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีความมั่นใจว่ากองทหารที่พวกเขาส่งไปคุ้มกันจะสามารถคุ้มกันการโจมตีของชาวโลกได้
หลังจากคิดอยู่นาน ซอกกูนีร์ก็ได้เสนอให้ติดต่อไปหาสหพันธรัฐให้ส่งทีมคุ้มกันมา แต่ว่าก็มีบางคนที่คัดค้านหัวชนฝา และเอาเรื่องคาเพเดี่ยมขึ้นมาพูด
เหตุผลก็คือคนต่างเผ่าพันธุ์จะรู้สึกเกลียดชังต่อชาวโลกที่ช่วยเอาไว้น้อยกว่า และยังเพราะไม่มีชาวโลกปกติคนใดกล้าไปหาเรื่องคาเพเดี่ยมอีกด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาติดต่อมาหาคาเพเดี่ยมหลังจากสอบถามสมาชิกของสหพันธรัฐแล้ว
ซอลจีฮูได้ตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมาก เขาให้เหตุผลว่าระยะห่างระหว่างพรมแดนไม่ได้อยู่ไกลมาก และยังเป็นโอกาสดีในการทำความรู้จักเรื่องของต่างเผ่าพันธุ์อีกด้วย
นอกไปจากนี้เขายังรู้สึกว่าการได้ส่งพวกเขากลับไปด้วยตัวเองมันจะทำให้เขารู้สึกสบายใจยิ่งกว่า ในที่สุดแล้วพวกเขาก็จะได้เริ่มก้าวแรกในการแก้ไขความสัมพันธ์ แต่หากว่าสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ถูกล่าในระหว่างกลับไป ทุกๆอย่างก็จะต้องกลับไปยังจุดเดิมแน่ๆ
ซอลจีฮูได้สั่งเพื่อนร่วมทีมเตรียมตัวสำหรับทำภารกิจจากราชวงศ์ในทันที
น่าแปลกที่คิมฮันนาห์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่บอกว่ามีสมาชิกบางคนรวมถึงตัวเธอที่ตามพวกเขาไปไม่ได้
“พวกเรามีงานเยอะตั้งแต่แรกแล้ว หากว่าไปกันหมดแล้วใครจะทำงานกันล่ะ?”
“หยุดพักงานไปสักสองสามวันไม่ได้หรอ?”
“นี่ นายไม่ใช่หรอที่เป็นคนบอกว่าการยอมแพ้กลางคันมันแย่ยิ่งกว่าการเริ่มต้นบางอย่างน่ะ?”
“ฉันไม่ได้บอกว่าควรหยุดงานสักหน่อยนี่ แค่พักไว้เท่านั้นเอง”
ซอลจีฮูได้เกาหัวออกมา
“ฉันก็แค่เป็นห่วง หากว่าเราแยกกันมันจะกลายเป็นอันตราย แล้วฉันก็ไม่อาจจะคุ้มกันทุกคนได้”
“โอ้ นายเอาแต่กังวลไปหมดเลยนะ”
คิมฮันนาห์ได้ประชดเขา และส่ายหัวออกมา
“ถ้างั้นก็ไปเถอะนะ นายบอกว่านายรับภารกิจไปแล้วนี่ เพราะงั้นมันย้อนกลับไม่ได้แล้ว”
“แต่ว่า-“
“ไปเถอะน่า ที่นี่ยังมีซันเหออยู่อีก เพราะงั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”
ยังไงแล้วพันธมิตรอีวาก็คงไม่ด่วนทำอะไรต่อหน้าองค์กรที่ครั้งหนึ่งเคยแย่งฮารามาร์คกับซิซิเลียอย่างแน่นอน
“ก็นะ หากว่านายกังวลขนาดนั้นก็ช่วยฟังคำขอเล็กๆของฉันหน่อยแล้วกัน”
“คำขอ?”
“ใช่แล้วล่ะ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ว่าจากการเลียริมฝีปากของเธอมันทำให้เธอดูเจ้าเล่ห์แปลกๆ