“เหยากงกง ฝ่าบาททรงเรียกข้าไปพบเรื่องอะไรหรือ”
เหยาฝูโซ่วเหลือบมองมเหสีรองอย่างมีเลศนัย ยกแส้ขนหางจามรีขึ้น แล้วยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูก เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พระมเหสีรองไปแล้วก็จะรู้เอง”
บนเตียงบรรทม พระตำหนักหย่างซินเตี้ยน
เหยาฝูเฉินรายงานอยู่หน้าประตู “ฝ่าบาท พระมเหสีรองเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ในห้องมีเสียงชายหนุ่มลอยมา “ให้มเหสีรองเข้ามา”
ในวันนี้ น้ำเสียงฟังดูมีแรงมากขึ้น ฟังดูกระปรี้กระเปร่า น้ำเสียงนิ่งเรียบเฉย
หรือเป็นเพราะหาหลักฐานการกบฏของตระกูลเหวยไม่พบ ฝ่าบาททรงรู้สึกผิดต่อตระกูลเหวย กลัวว่าเหวยเซ่าฮุยจะไม่พอใจ จึงได้เรียกตนมาเพื่อเป็นการปลอบประโลมตระกูลเหวย
มเหสีรองเหวยสีหน้ายินดียิ่ง ก่อนที่จะเข้าไป ก็อดถามด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ได้ “เหยากงกง วันนี้ฝ่าบาทเหมือนจะมีเรื่องน่ายินดีอะไร ดูอารมณ์ดียิ่งนัก”
“อืม เป็นเรื่องดีจริงๆ ยินดียิ่งนัก” เหยาฝูโซ่วยิ้มแล้วเปิดม่านให้ ทำท่าทางเชื้อเชิญ “มเหสีรองเชิญ ไปเข้าเฝ้าเถิด”
มเหสีรองเหวยเดินเข้าไป เห็นสนมม่อยืนอยู่ข้างเสา ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวเหมือนดังทุกที นางก็เลิกคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
เมี่ยวเอ๋อร์ยกกระโปรงคำนับมเหสีรองเหวย “มเหสีรอง ฝ่าบาทอยู่ทางด้านนั้นเพคะ”
มเหสีรองเหวยเห็นฝ่าบาทเปลี่ยนเป็นชุดบรรทม สวมมงกุฏมุกทองห้ามังกร สวมชุดสีทองอ่อน ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมสำลีกันหนาว แต่งตัวเรียบร้อย นั่งอยู่บนเตียงข้างหน้าต่าง ความซีดเซียวอ่อนแรงนั้นบรรเทาลงไปบ้างแล้ว บนแก้มมีเลือดฝาด ท่าทางดีขึ้นมากแล้ว
บนโต๊ะเล็กข้างมือนั้นมีของวางอยู่ นอกจากยาที่ฮ่องเต้เสวยเป็นประจำแล้ว ยังมีฎีกาอยู่กองหนึ่ง เขาถืออยู่ฉบับหนึ่งกำลังอ่านอยู่ ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เวลานี้เมื่อเห็นมเหสีรองเหวยก็เงยหน้าขึ้น “มเหสีรองมาแล้วหรือ”
น้ำเสียงเรียบเฉย เหมือนดังใสน้ำไหล ฟังไม่ออกว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร
แต่เมื่อเทียบกับความเย็นชาเกลียดชังในวันนั้นแล้ว ถือว่าดีกว่ามากนัก
มเหสีรองเหวยรู้สึกว่าความกังวลหลายวันมานี้หายไปในพริบตา นางเย้ยหยันสนมม่อเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนสีหน้าอันยินดีเดินรี่เข้าไปข้างกายฮ่องเต้ นางไม่ได้คำนับ แต่คืนท่าทีสนิมสนมแนบแน่นกับฮ่องเต้เหมือนดังก่อน วางมือไว้บนไหล่ของฮ่องเต้แล้วดึงเสื้อคลุมขึ้น และเอ่ยอย่างออดอ้อน “ฝ่าบาทอย่าทรงอ่านฎีกามากนัก ในท้องพระโรงมีองค์รัชทายาท เสนาบดีอวี้และเหล่าขุนนางกำลังหลักคอยแบกรับไว้ จะต้องเป็นกังวลไปทำไมกันเพคะ พระวรกายสำคัญที่สุดนะเพคะ รอให้หายดีแล้วค่อยทรงงานก็ยังไม่สายนะเพคะ” แล้วหันหน้ามาดุด่าว่ากล่าว “ในเมื่อสนมม่อปรนนิบัติอาการป่วยอยู่ข้างกาย ก็ควรจะคอยเตือน ปรนนิบัติอาการป่วยเป็นเรื่องใหญ่ ใช่ว่าแค่ยกยาส่งน้ำให้เท่านั้น เรื่องที่ต้องทำมีมากมายนัก”
เมี่ยวเอ๋อร์มองดูหญิงสาวตรงหน้าที่เป็นที่เอ็นดูในวังหลังมาตลอดสิบกว่าปีนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตาสงสารเวทนายิ่งนัก แล้วเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “หม่อมฉันโง่เขลา ครั้งหน้าจะจำใส่ใจเพคะ”
มเหสีรองเหวยส่งเสียงเคือง ครั้งแล้วที่สนมม่อพูดแทนฉินอ๋องนั้นตนยังโมโหไม่หาย ตอนนี้ก็ยังรู้สึกขัดตานัก เพียงแต่อยู่หน้าฮ่องเต้ไม่กล้าพูดอะไรอีก เวลานี้เอง ก็ได้ยินฮ่องเต้รับสั่ง “สนมออกไปก่อนเถิด”
มเหสีรองประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าสนมม่อก้มหน้าแล้วปิดม่านออกไป ในใจก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น นางนั่งลงข้างกายฮ่องเต้ แล้วจับแขนเสื้อของชชายหนุ่มไว้พูดจาออดอ้อน “ฝ่าบาทเพคะ ข่าวของทางกรมยุติธรรม ฝ่าบาทได้ยินแล้วใช่หรือไม่เพคะ จนถึงตอนนี้ยังหาหลักฐานที่แท้จริงไม่พบ พี่ชายของหม่อมฉันถูกใส่ร้ายจริงๆ…หม่อมฉันบอกแล้วอย่างไรเล่าเพคะ ว่าพี่น้องและหลานของหม่อมฉันจะมีใจคิดกบฏเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเขาต่างก็จงรักภักดีกับฝ่าบาท เกิดเป็นคนของราชสำนัก ตายก็เป็นผีของราชสำนัก…”
“พวกเขาจงรักภักดีหรือไม่ ข้าก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะอย่างไรเสียก็เป็นคนนอก แล้วมเหสีรองเล่า” ชายวัยกลางคนรอยยิ้มที่มุมปากค้างชะงักไป น้ำเสียงมีความสะเทือนอารมณ์ “มเหสีรองติดตามข้ามาสิบกว่ายี่สิบปีแล้วสินะ”
มเหสีรองเหวยชะงักไป “หม่อมฉันก็ย่อมจงรักภักดีต่อฝ่าบาทอยู่แล้ว ตั้งแต่หม่อมฉันเข้าวังมา หลายปีมานี้หม่อมฉันทุ่มเทปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเพียงใด ฝ่าบาทดูไม่ออกหรือเพคะ…”
หนิงซีฮ่องเต้มองนางด้วยอารมณ์เรียบเฉย น้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้น หากราชสำนักเกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์กับตระกูลเหวย มเหสีรองเห็นตนเองเป็นลูกสาวตระกูลเหวย หรือคนของราชสำนักเล่า”
มเหสีรองเหวยใจเต้นกระวนกระวายเหมือนถูกแมวข่วนก้อนเนื้อหัวใจในทันใด ร้อนรนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล นางลุกขึ้นยืนทันที แล้วมองเพ่งฮ่องเต้ น้ำเสียงมีความอึดอัด “ฝ่า ฝ่าบาทรับสั่งอะไรกันเพคะ หม่อมฉันก็ย่อมเป็นคนของราชสำนักอยู่แล้วสิเพคะ! ฝ่าบาท…ฝ่าบาทคงไม่ได้ยังสงสัยพี่ชายหม่อมฉันอยู่หรอกนะเพคะ แม้แต่กรมยุติธรรมยังหาหลักฐานมัดตัวไม่ได้ ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ร่องรอยของการสมคบคิดระหว่างท่านพี่กับโจรป่านี่เพคะ…”
ปึง! ฎีกาแพรเหลืองในมือชายหนุ่มถูกโยนลงบนโต๊ะเตี้ย ชนกับเตาจนล้มระเนระนาด เตากลิ้งบนพื้น เสียงที่กระทบพื้นนั้นดัง โครมคราม! จนทำลายความสงบในห้องไป
เหมือนดังฝนเม็ดแรกที่ร่วงหล่นลงมาก่อนสายฝนจะโปรยปราย เห็นได้ว่าหลังจากนั้นจะต้องซัดกระหน่ำ ไร้แสงตะวันแสงจันทร์เป็นแน่
“หลักฐานหรือ หลักฐานไม่อยู่ที่กรมยุติธรรม! อยู่ที่ข้านี่!”
เสียงของฮ่องเต้แข็งดังเหล็ก ความอ่อนโยนเมื่อครู่นี้หายไปในพริบตา
มเหสีรองเหวยชะงักไป ผ่านไปสักพักจึงจะรู้สึกตัว นางคุกเข่าลงแล้วกอดเข่าของฮ่องเต้เอาไว้ แล้วส่ายหน้าอย่างลุกลี้ลุกลน “ไม่นะเพคะ หลักฐานอะไรหรือเพคะ เป็นไปไม่ได้! ตระกูลเหวยไม่มีทางก่อกบฏหรอกเพคะ! ไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอกเพคะ!”
ชายหนุ่มใช้แรงทั้งหมดถีบหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ ไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย
มเหสีรองเหวยไม่ได้คาดคิด จึงไม่ทันได้ตั้งตัว นางตัวกระเด็นลอยไปด้านหลัง ไปตกอยู่ที่คันฉ่องแต่งตัวฝาหรั่งขอบทองพอดี
คันฉ่องถูกชนจนล้ม เพล้ง! แตกกระจายเต็มพื้น!
มเหสีรองเหวยเกือบจะล้มลงบนเศษกระจกที่ระยิบระยับ โชคดีที่ใช้ข้อศอกดันไว้แล้วลุกนั่งขึ้นมา นางอดทนกับความเจ็บปวดจากกระดูกที่แทบจะหลุดออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ด้วยความหวาดกลัว
แววตาของชายหนุ่มนั้น เหมือนดังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายหรือศัตรูคู่อาฆาต เต็มไปด้วยความระแวง ความเป็นศัตรู เกลียดชัง เย็นชา และสามารถกระโจนเข้ามาสังหารได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่เหมือนกับสายตาที่มองหญิงที่รักใคร่เอ็นดูมากว่าสิบปี อีกยังให้กำเนิดเลี้ยงดูโอรสของตนเลยแม้แต่น้อย
นางคลานเข้าไปหา ครั้งนี้ไม่กล้าที่จะจับชายเสื้อผ้าของเขาอีก ได้แต่ร่ำไห้อยู่ห่างๆ “ฝ่าบาทเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เพคะ…”
หนิงซีฮ่องเต้หยิบฎีกาที่อ่านอยู่เมื่อครู่ขึ้นมาแล้วโยนใส่ตัวชายาที่ตนรักอย่างแรง
มเหสีรองเหวยหยิบฎีกาขึ้นมาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ผ้าแพรสีเหลืองด้านนอกหุ้มห่อกระดาษไว้แผ่นหนึ่ง ในนั้นบันทึกอักษรมากมายระรานตา
เป็นจดหมายรายงานความผิดฉบับหนึ่ง
นางตะลึงงัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด
ห้าปีก่อน มเหสีรองเหวยหลงใหลการขี่ม้า ชอบสะสมม้าพันธุ์ดีทั่วเมืองหลวง เงื่อนไขก็สูงยิ่งนัก จะต้องร่างกายแข็งแรง รูปลักษณ์ยังต้องงดงามอีกด้วย
เหวยเซ่าฮุยจะต้องอาศัยน้องสาวคนนี้ จะไม่ตามใจได้อย่างไร เขาจึงให้ลูกหลานและเหล่าแขกในบ้านตามหาม้าพันธุ์ดีหลากหลายพันธุ์ในเยี่ยจิงมาถวายแด่มเหสีรองเหวย
เมื่อนานวันเข้า ทักษะการขี่ม้าของมเหสีรองเหวยสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ความสนใจก็ไม่ถดถอยน้อยลงเลย ม้าธรรมดาไม่เพียงพอต่อความต้องการของนางอีก หมดความสนใจม้าที่เติบโตในเมืองหลวงแล้ว เพราะรู้สึกว่าเชื่องเกินไป ไม่มีความท้าทาย อยากได้ม้าจากเมืองอื่น และจะให้ดีต้องเป็นม้าที่เติบโตมาในแวดล้อมธรรมชาติ เป็นม้าป่าดิบเถื่อนในเขา บนทุ่งหญ้า จากนั้นก็นำมาฝึกทำให้เชื่องที่สนามม้าในวัง เช่นนี้จึงจะมีความภาคภูมิใจและความพอใจ