ตอนที่ 173.4 บำเพ็ญเพียร กับ ปรนนิบัติอาการประชวร (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

หญิงสาวที่กำลังป้อนยาอยู่นั้นก็ตกใจจนมือไม้อ่อน เคร้ง! ช้อนไหลลอดร่องนิ้วตกลงไปในถ้วยยา นางรีบลุกขึ้นอย่างหวาดผวาแล้วคุกเข่าลงเอ่ยเสียงสั่นเครือ “หม่อมฉันไม่กล้าสงสัยพระมเหสีรองเพคะ! หม่อมฉันจะกล้าได้อย่างไรเพคะ! พระมเหสีรองยกโทษให้หม่อฉันด้วยเพคะ!” 

 

 

มเหสีรองเหวยเห็นดังนั้น ความโมโหก็คลายลง แล้วยิ้มที่มุมปาก แต่กลับได้ยินเสียงอันโกรธเคืองของชายหนุ่มบนเตียงนั้นดังขึ้น “เมี่ยวเอ๋อร์ ลุกขึ้น” เขารู้อยู่แล้วว่ามเหสีรองเหวยเป็นคนเหิมเกริม วันนี้ได้เห็นกับตา ช่างรุนแรงกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก สนมกำลังป้อนยาให้ตนอยู่ ยังกลัวนางจนทิ้งช้อนยาลงไปขอนางให้ไว้ชีวิตก่อน เห็นได้ว่าปกติแล้ว ท่ามกลางหญิงสาวในวังหลังนั้น นางกำเริบเสิบสานเพียงใด 

 

 

มเหสีรองเหวยเห็นฮ่องเต้ชายตามองตนด้วยสายตาเกลียดชัง ไฟโมโหเมื่อครู่นี้ก็หายไปในพริบตา 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ยกกระโปรงลุกขึ้นจากพรมบนพื้น แล้วมานั่งที่ข้างเตียงป้อนยาต่อ 

 

 

คุณหนูใหญ่เคยบอกไว้ว่า หากสู้เขาไม่ได้ ก็ให้ใช้ไม้อ่อนเข้าสู้ อาจจะชนะเขาได้ คนเราไม่ได้ต้องการความแข็งแกร่งที่สุด แต่ต้องทำตัวเป็นขดลวด ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ก็คดโค้งกดตัวให้เป็นรูปร่างที่แตกต่างกันไป นี่ต่างหากผู้แข็งแกร่งตัวจริง 

 

 

คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของคุณหนูใหญ่ นางล้วนจำไว้ขึ้นใจ 

 

 

มเหสีรองเหวยกว่าจะได้สติ นางเข้าไปแล้วพูดเตือนสติด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “ฝ่าบาท เช่นนั้นยังจะต้องเรียกฉินอ๋องเข้าวังหรือไม่…” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ฟังคำพูดที่แทรกขึ้นมาของเมี่ยวเอ๋อร์แล้ว ก็ได้สติขึ้นมา เมื่อเขาดื่มยาคำสุดท้ายหมด ก็รู้สึกสบายขึ้นมาก เขาใช้ผ้าเช็ดมุมปากแล้วรับสั่งเสียงเย็นชา “สนมพูดถูก นิสัยขององค์ชายสามนั้น ข้ารู้ดี ตั้งแต่เล็กจนโตนั้น เป็นคนไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้อย่างไร” 

 

 

“ฝ่าบาท” มเหสีรองเหวยร้อนรน “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ฉินอ๋องในฐานะองค์ชาย ปฏิบัติต่อหม่อมฉันเช่นนี้ อย่างไรเสียก็เป็นความผิด เป็นการตบหน้าฝ่าบาทนะเพคะ!” 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้ววางถาดรองไว้บนโต๊ะเตี้ยด้านข้าง “หม่อมฉันทราบมาว่า ฉินอ๋องรักพระชายาอวิ๋นดั่งแก้วแหวนล้ำค่า หากฉินอ๋องจะทำการบุ่มบ่าม คิดว่าน่าจะทำเพื่อพระชายาอวิ๋นนะเพคะ” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้แม้จะประชวรอยู่ แต่ก็ไม่ได้เลอะเลือน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจได้ทันที ที่มเหสีรองบอกว่าเข้าไปคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่น น่าจะไม่ใช่ความจริง คาดว่าน่าจะอยากหาเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่นเสียมากกว่า จึงทำให้องค์ชายสามโมโหเช่นนั้น หากแค่หาเรื่องเพียงเล็กน้อย องค์ชายสามจะโมโหจนระเบิดออกมาเช่นนั้นได้หรือ มเหสีรองจะต้องลงไม้ลงมือกับอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นแน่ 

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น แม้องค์ชายสามจะมีความผิด แต่ก็สมเหตุสมผล 

 

 

ในฐานะพระสวามี เห็นชายาของตนถูกทำร้ายตบตีต่อหน้าต่อตา คนเรามีเลือดมีเนื้อ ใครจะนั่งติดที่ได้ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายสามปฏิบัติต่อนางดั่งเป็นของล้ำค่า หนิงซีฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไร 

 

 

เมื่อคิดดูแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ก็ไม่มีใจที่อยากจะเอาเรื่องแล้ว จึงขมวดคิ้วแล้วโบกมือ “พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอีก เรื่องที่เจ้าต้องกังวลยังมีไม่มากพออีกหรือ” 

 

 

มเหสีรองเหวยชะงักไป ทำได้เพียงกัดริมฝีปาก แล้วกลืนความโกรธนี้ลงไป เมื่อเห็นสีหน้าของฮ่องเต้เคร่งเครียดยิ่งขึ้น ความเกลียดชังก็เพิ่มทวี เกรงว่าเรื่องของพี่ชายยังไม่ทันได้จัดการ สุดท้ายตนเองกลับล่วงเกินฮ่องเต้จนโมโหอีก จึงไม่กล้าพูดอะไร นางจ้องสนมม่อเขม็งแล้วทูลลา 

 

 

เมื่อไม่มีเสียงโหวกเหวกร่ำไห้ของมเหสีรองเหวยแล้ว ในห้องบรรทมนั้นก็เงียบสงัด 

 

 

ผ่านไปสักพักใหญ่ ชายหนุ่มก็ไออย่างรุนแรงและร้ายแรง เหมือนว่าสะสมมาเนิ่นนาน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์รีบยกกระโถนลายทองมารับอยู่ใต้ใบหน้าของชายหนุ่ม แล้วตบหลังให้ชายหนุ่มเบาๆ 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ถ่มเสลดเลือดออกมา แล้วบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า จึงรู้สึกบรรเทาลงบ้าง 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เห็นก้อนเลือดที่เริ่มกลายเป็นสีดำในกระโถนแล้ว บนใบหน้ากลับไม่มีความตกตะลึงเหมือนตอนครั้งแรกเห็น นางทำเพียงรีบยกกระโถนออกไปอย่างรวดเร็วแล้วกลับมายืนถอนหายใจอยู่ข้างเตียง “ฝ่าบาท…” 

 

 

แต่กลับเห็นหนิงซีฮ่องเต้โบกมือ สีหน้าเผยรอยยิ้มอันอ่อนล้าออกมา ความสุภาพสง่างามของชายหนุ่มนั้นไม่ได้หายไปเพราะอาการป่วยหนัก และเนื่องจากผอมลงมาก จึงทำให้โครงหน้ามีความงดงามบวกกับความเศร้าโศกยิ่งขึ้น “ไม่เป็นอะไร เจ้าชินแล้ว ข้าก็ชินแล้วเช่นกัน” เมื่อพูดจบก็เพ่งมองสนมสาวตรงหน้า “เจ้าอยู่ในช่วงวัยแย้มสาว แต่ต้องมาปรนนิบัติข้าที่เหลือเวลาอีกไม่มากแทนนายเจ้า ทำให้เจ้าต้องลำบากใจจริงๆ” 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์มองดูชายหนุ่มตรงหน้า “ฝ่าบาทอย่าทรงคิดมากเลยเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ข้างกายฝ่าบาทและจะไม่ให้ผู้อื่นรู้อาการประชวรของฝ่าบาทด้วยเพคะ” 

 

 

ช่างเป็นชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ 

 

 

ตอนล่าสัตว์ในป่าล้อมฮู่หลง นางเข้าปรนนิบัติอยู่ที่หอชมจันทร์ในพระราชนิเวศน์ เนื่องจากเขาเกิดความหลงใหลรักใคร่ เพื่อรั้งตนไว้แล้ว จึงเผยอาการป่วยของเขาออกมา นางจึงได้รู้ว่า ในเวลานี้ผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในหล้านั้นประชวรหนักแล้ว 

 

 

ต่อมา เมี่ยวเอ๋อร์จึงได้รู้ว่า ที่แท้อาการป่วยของฝ่าบาทนั้นมีคนรู้เพียงไม่กี่คน แม้แต่เจี่ยไทเฮาและเจี่ยงฮองเฮาก็ยังไม่ทรงทราบ 

 

 

หลังจากเข้าวังแล้ว นางก็ไม่ได้พบฮ่องเต้อีกเลย เดิมทีนึกว่าจะได้กินดีอยู่ดีไร้ห่วงไร้กังวลอยู่ในวังไปตลอดชีวิตแล้ว ไม่คิดว่า วันนั้น หลังจากที่หนิงซีฮ่องเต้ชมดอกบ๊วยแล้วอาการประชวรกำเริบ ในคืนนั้น นางก็ถูกเรียกให้ไปปรนนิบัติดูแลฮ่องเต้ในพระตำหนักหย่างซินเตี้ยน 

 

 

ในเวลาเดียวกัน ฮ่องเต้ให้นางมาปรนนิบัติดูแลอาการป่วย พร้อมกับเลื่อนยศให้เป็นสนม 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์รู้ดีว่า หนิงซีฮ่องเต้ไม่อยากบอกอาการประชวรให้ใครรู้ ส่วนนางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้จึงได้รับเกียรตินี้ 

 

 

สนมนางอื่นอิจฉากันอย่างยิ่ง แม้แต่เจี่ยงฮองเฮาที่สูงศักดิ์เย็นชานั้น ก็เคยเรียกสนมเล็กๆ อย่างตนเข้าเฝ้าก่อนที่นางจะเข้าไปในพระตำหนักหย่างซินเตี้ยน และทรงกำชับให้ดูแลรับใช้อย่างดี 

 

 

ปรนนิบัติอาการป่วยก็ได้ ตอนนี้นางใช้ชีวิตในวังหลวง ก็แค่เห็นเป็นงานอย่างหนึ่งเท่านั้น ทำให้สุดกำลังความสามารถก็พอ คุณหนูใหญ่เคยบอกว่า ไม่ว่าจะใช้ชีวิตในเรือน หรือใช้ชีวิตในวัง ไม่ตื่นตระหนกกับการเอ็นดูและการเหยียดหยาม จึงจะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมีความสุข 

 

 

หลังจากที่กรมยุติธรรมจับเหวยเซ่าฮุยแล้ว ก็แยกตัวสอบสวน และหาเบาะแสกันอย่างเต็มที่ 

 

 

ทั้งราชสำนักนั้นแอบตกตะลึงกันอย่างเงียบๆ แต่เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดยังไม่ปรากฏแน่ชัด บวกกับที่ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทเคยรับสั่งไว้ จึงไม่กล้าพูดคุยกันอย่างเปิดเผย แต่กลับถกเถียงกันวุ่นวายอย่างลับๆ 

 

 

ขุนนางที่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเหวยนั้นกระวนกระวายกันยิ่งนัก ต่างก็ทยอยกันตัดสัมพันธ์กับพรรคพวกของมเหสีรองเหวย 

 

 

จวนตระกูลเหวยและเรือนอาศัยของลูกหลาน ญาติ และคู่สมรสที่เกี่ยวข้องนั้น ต่างก็ถูกสืบค้นตรวจสอบกันทั้งเรือน 

 

 

องค์รัชทายาทมีรับสั่ง ขุนนางกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งจวนเว่ยอ๋องก็ถูกเข้ารื้อค้น 

 

 

ในเวลาเดียวกัน ในเรือนหลัง หลายวันมานี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่มเหสีรองเหวยนั้นลำบากมากที่สุดในชีวิต 

 

 

จนกระทั่งช่วงกลางวันของวันที่สี่ อิ๋นเอ๋อร์กลับมารายงานข้อมูลที่สืบมาจากกรมยุติธรรม 

 

 

หลายวันมานี้ ราชสำนักค้นหาไม่พบอะไร นอกจากหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่ฉินอ๋องส่งมอบให้กรมยุติธรรมในวันที่จับตัวพระมาตุลาเหวยนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานอื่นอีกเลย 

 

 

นางตึงเครียดอยู่หลายวัน เวลานี้ ก็ได้ผ่อนคลายลงในที่สุด! มเหสีรองเหวยคลายคิ้วที่ขมวดกันแล้วถอนหายใจอย่างโล่งใจ 

 

 

หลายวันแล้วยังหาอะไรไม่พบ ความเป็นไปได้ในการค้นพบหลักฐานนั้นก็น้อยลงทุกที 

 

 

แม้ฝ่าบาทจะสงสัย แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานมัดตัว ก็ไม่สามารถไล่สังหารตระกูลเหวยได้ 

 

 

ฉินอ๋อง…จะดูว่าเขาจะจบเรื่องนี้อย่างไร! ครั้งนี้ล้มล้างตระกูลเหวยไม่ได้ รอให้ท่านพี่ได้พลิกฟื้นอำนาจขึ้นมาเมื่อไร ตัวเขาเองก็คงไม่รู้ตัวว่าตายได้อย่างไร! 

 

 

มเหสีรองเหวยปิติจนนวดหน้าอก อารมณ์โกรธที่จุกอกนั้นก็ได้มลายหายไป กำลังจะเรียกให้สาวใช้เตรียมธูปแก้บน แต่ก็ได้ยินเหยาฝูโซ่วมาเรียกเข้าเฝ้าถึงวังฉังหนิง “พระมเหสีรอง ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าเฝ้าที่พระตำหนักหย่างซินเตี้ยนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฝ่าบาทเรียกนางหรือ 

 

 

มเหสีรองเหวยดีพระทัยยิ่งนัก หลังจากที่ตระกูลเหวยเกิดเรื่องในวันนั้น บนพระพักตร์ของฝ่าบาทมีสีหน้าอย่างไรกับตน นางเห็นได้อย่างชัดเจน ในวันนี้กลับเรียกตนเข้าเฝ้าด้วยตนเองเลยหรือ