ตอนที่ 173.3 บำเพ็ญเพียร กับ ปรนนิบัติอาการประชวร (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ซือเหยาอันใจสั่นไหวและร้อนรน “เห็นบอกว่าลงโทษเป็นเวลาสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

สามเดือน! 

 

 

เพิ่งจะสมรสได้ไม่กี่วันก็ต้องแยกจากกันแล้ว กลับมาพบกันได้ไม่นานก็ต้องแยกจากกันอีกสามเดือน 

 

 

ทว่าก็ยังดีกว่าให้นางถูกโบยหรือถูกส่งไปสำนักพระราชวัง 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่ว่าอะไร เขากดอารมณ์ที่กระวนกระวายเอาไว้ สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย น้ำเสียงฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าอยู่ในอารมณ์ใด “ออกวัง” 

 

 

ซือเหยาอันไม่กล้าโน้มน้าวอะไรอีก ครั้นจะโน้มน้าวไปอย่างไรก็ดูจะไร้ความหมาย เขาเดินไปครึ่งทางจึงนึกธุระสำคัญได้ จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “จริงสิ องค์ชายสาม หลักฐานที่เหวยเซ่าฮุยสมคบคิดกับพวกโจรป่าได้ส่งไปที่กรมยุติธรรมแล้ว แต่ว่า…อย่างไรก็ไม่ใช่หลักฐานสำคัญที่มัดตัวได้ เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้นแล้ว ลูกชายและหลานชายของเหวยเซ่าฮุยจะต้องทำลายหลักฐานที่เหลือเป็นแน่ เกรงว่าเราจะทำการยากขึ้น…” 

 

 

แต่กลับเห็นว่าเขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องพูดอะไร “ข้ารู้” 

 

 

ณ เตียงบรรทมในพระตำหนักหย่างซินเตี้ยน 

 

 

บนเตียงฟูกลายมังกรปักทองนั้น ม่านมุ้งเตียงเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง หนิงซีฮ่องเต้ที่หนุนบนหมอนอยู่นั้นสีหน้าซีดขาว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนนั้นตอนนี้เขาดูผอมโซลงมาก อีกยังท่าทางอ่อนแรง แต่ในดวงตากลับมีความโมโหอยู่ 

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เหยาฝูโซ่วได้ทูลรายงานเรื่องที่เหวยเซ่าฮุยถูกเปิดโปงว่าสมคบคิดกับโจรป่าในพระตำหนักซานชิงให้ฟังแล้ว 

 

 

ณ ขณะนั้นเขาแทบจะโรคกำเริบ เหยาฝูโซ่วและเมี่ยวเอ๋อร์ปลอบอยู่ข้างกายอยู่นาน จึงได้ฝืนอารมณ์เอาไว้ได้ 

 

 

ถึงเวลานี้ อารมณ์ของเขาก็ยังไม่สงบดี 

 

 

มเหสีรองเหวยเข้าพระตำหนักมาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นโวยวายว่าถูกใส่ร้าย ยิ่งทำให้ร่างกายของหนิงซีฮ่องเต้ร้อนรนกระวนกระวายดั่งไฟเผา 

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ เห็นได้ชัดว่าคู่สามีภรรยาฉินอ๋องฉวยโอกาสใส่ร้ายนะเพคะ! หม่อมฉันเปิดโปงเรื่องที่พระชายาอวิ๋นไม่เคารพธรรมเนียมมารยาท ออกเดินทางตามหาพระสวามี พวกเขาสองคนกลับไม่ยอม สาดเทน้ำเน่ากลับให้ตระกูลเหวย บอกว่าพี่ชายของหม่อมฉันใช้ประโยชน์จากโจรป่าทำการกบฏ! ฝ่าบาทเพคะ ท่านพี่ของหม่อมฉันจะกล้าทำการเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเพคะ! ฝ่าบาทต้องคืนความยุติธรรมให้ตระกูลเหวยนะเพคะ!” 

 

 

ขณะที่มเหสีรองเหวยพูดอยู่นั้น นางก็เอนกายมาด้านหน้าแล้วคุกเข่าลงตรงเข่าของฮ่องเต้และกอดเข่าฮ่องเต้เอาไว้ด้วยน้ำตาไหลพราก และใช้วิธีออดอ้อนที่ใช้เป็นประจำ 

 

 

ชายผู้นี้ อย่างไรเสียก็รักใคร่เอ็นดูตนและลูกมากว่าสิบปี ครั้งนี้ก็อาจจะยกเว้นได้อีกสักครั้ง 

 

 

นางเขย่าขาชายหนุ่มอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นและเหน็บแนมลอยมาจากด้านบน “พี่ชายเจ้ากล้าทำเช่นนี้หรือไม่ เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ หลายปีมานี้ ข้าทำให้ตระกูลเหวยใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมามากแต่ไหนแต่ไรแล้ว” 

 

 

มเหสีรองเหวยตัวโคลงเคลงและมองดูฮ่องเต้อย่างเหม่อลอย แล้วยืนกรานเสียงแข็ง “ฝ่าบาท ทุกเรื่องต้องมีหลักฐานนะเพคะ ตอนนี้แม้แต่ฉินอ๋องยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อาศัยแค่คำพูดของฉินอ๋องเพียงไม่กี่คำ ท่านก็ไม่เชื่อตระกูลเหวยที่รับใช้ถวายชีวิตให้ท่านมาหลายปีแล้วหรือเพคะ” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้สีหน้าอ่อนล้า แล้วไอขึ้นมา ในใจก็สั่นไหว หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ก็จะโยนความผิดนี้ให้ตระกูลเหวยไม่ได้ มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่พรรคพวกตระกูลเหวยจะไม่ยอมแล้ว เหวยเซ่าฮุยแม้จะไม่ก่อการกบฏ ไม่แน่ว่าจะถูกบีบบังคับให้ก่อการกบฏจริงก็เป็นได้ 

 

 

มเหสีรองเหวยเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้รับสั่งอะไร ก็รู้ได้ว่าเขาก็ไม่มั่นใจเช่นกัน จึงได้โล่งใจในทันที ฉวยโอกาสนี้เดินเข้าไป ชูกำปั้นขึ้นแล้วทุบบ่าให้ฮ่องเต้ บนใบหน้าที่งดงามดังดอกไม้นั้นเศร้าสลดยิ่งนัก “ฉินอ๋องกำเริบเสิบสานนัก ใส่ร้ายกั๋วจิ้วของกษัตริย์ไม่พอ มาวันนี้ยังดูถูกหม่อมฉันในตำหนักซานชิงอีก ฮือ…ฝ่าบาท! ท่านต้องคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันนะเพคะ!” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ปวดขมับ ตุบๆ! เขานวดขมับของตน ยังฟังไม่ค่อยเข้าใจ “องค์ชายสามดูถูกเจ้าหรือ เป็นไปได้อย่างไร” 

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันจะโกหกท่านได้หรือเพคะ หม่อมฉันออกจากตำหนักซานชิงมา อยากจะพูดคุยกับพระชายาฉินอ๋อง ฉินอ๋องก็นึกว่าหม่อมฉันจะทำร้ายพระชายาท่ามกลางสายตาผู้คน ถึงกับ…ถึงกับรัดคอหม่อมฉัน ผลักหม่อมฉันลงกับพื้นเพคะ!” มเหสีรองเหวยสะอื้นไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “ฝ่าบาทต้องคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันนะเพคะ! ฝ่าบาทลองคิดดูสิเพคะ ว่าตั้งแต่ต้าเซวียนเราเปิดประเทศมาหลายร้อยปี มีองค์ชายพระองค์ใดเคยทำร้ายพระชายาในวังบ้าง!” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้โมโหขึ้นมา “จริงหรือ” หากฉินอ๋องทำเช่นนี้จริง เขาไม่ได้เหยียดหยามมเหสีรองเหวย แต่เป็นพ่อคนนี้ต่างหาก 

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงลำดับขั้นและระดับฐานะ แต่ผู้หญิงของบิดา จะให้ลูกชายมาสั่งสอนได้อย่างไร 

 

 

สร้างผลงานเพียงครั้งเดียว ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ 

 

 

“ขุนนางในพระตำหนักต่างก็ออกไปกันแล้ว แต่ยังมีนางในสองนางอยู่ องค์รัชทายาทและอิ๋นเอ๋อร์ต่างก็เห็นกันเพคะ ฝ่าบาทสามารถให้เหยากงกงไปสอบถามได้เพคะ!” มเหสีรองเหวยร้องไห้สะอื้นแทบขาดใจ 

 

 

นี่เป็นคนละเรื่องกับที่ตระกูลเหวยสมคบคิดกับโจรป่าก่อการกบฏ หนิงซีฮ่องเต้เอ่ยเสียงอันสั่นเครือของตน “เหยาฝูโซ่ว! เข้ามา! เรียกฉินอ๋องมาหาข้า!” 

 

 

เมื่อม่านเปิดขึ้น คนที่เข้ามานั้นไม่ใช่เหยาฝูโซ่ว แต่เป็นเมี่ยวเอ๋อร์ที่ถือถาดไม้แดงอยู่ บนนั้นมียาที่เพิ่งต้มเสร็จ นางเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์รีบคำนับมเหสีรองเหวย แล้วเดินไปข้างกายฮ่องเต้ นางก้มตัวลงแล้วใช้ช้อนเครื่องเคลือบตักยาสีน้ำตาลแล้วคน “เหยาย่วนพั่นกำชับว่า อย่าทรงกริ้ว ฝ่าบาทอย่าลืมสิเพคะ” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้จึงได้กดอารมณ์โกรธเอาไว้ แต่ก็ยังกำหมัดไว้แน่น “เหยาฝูโซ่วเล่า รีบให้เขาไปตามฉินอ๋องมาให้ข้า เจ้าลูกไม่เคารพแม่…แค่กๆ…แค่กๆ…” ยังพูดไม่จบก็ไอจนแทบจะสำลัก ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาทันใด 

 

 

“เหตุใดจึงไอรุนแรงถึงเพียงนี้เล่าเพคะ” มเหสีรองเหวยสีหน้าสงสัยแล้วเอ่ยอย่างตกใจ “เป็นหวัดรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ตรวจอย่างละเอียดหรือยัง” 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองมเหสีรองเหวย “เพคะ เป็นหวัดนี่ละเพคะ เหยาย่วนพั่นบอกว่า เป็นหวัดลงพระสอ แล้วจับตัวกันเป็นเสลดไม่สลายไป อาการไอจึงรุนแรงนัก ฉะนั้นจึงไม่ให้ใครเข้าออก กลัวว่าจะติดหวัดแล้วจะอาการรุนแรงยิ่งขึ้นเพคะ” 

 

 

มเหสีรองเหวยก็คลายความสงสัย 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์วางถ้วยยาลงแล้วพยุงฮ่องเต้ขึ้นมาพิงที่เตียง มือน้อยๆ นั้นก็แนบติดกับหน้าอกของชายหนุ่มแล้วนวดขึ้นลงเบาๆ ซึ่งยังพอที่จะบรรเทาอาการไอของฮ่องเต้ได้บ้าง เมื่อเห็นว่าสีหน้าฮ่องเต้ดีขึ้น นางก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท เหยากงกงไปสำนักแพทย์หลวงเพคะ ตอนนี้ฝ่าบาททรงประชวร หากไม่มีเรื่องใหญ่อะไรก็อย่าเพิ่งทรงงานหนัก ทรงพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ” 

 

 

มเหสีรองเหวยเย้ยหยัน “สนมม่อไม่ได้ยินที่ฝ่าบาททรงรับสั่งหรือ ว่าฉินอ๋องไม่เคารพแม่ เมื่อครู่ก็ตีและด่าข้า ยังไม่รีบให้คนไปเรียกฉินอ๋องมาอีก!” 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วยกถ้วยยาขึ้นมาตักป้อนฮ่องเต้ทีละช้อน “ตีและด่ามเหสีรองหรือเพคะ ฝ่าบาท ฉินอ๋องไม่ใช่คนเช่นนั้น เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเพคะ” 

 

 

“สนมม่อ ข้ารู้ว่าเจ้าเคยเป็นคนของตระกูลอวิ๋น ก่อนที่จะเข้าวังมาเคยเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระชายาฉินอ๋อง แม้แต่ไต่เต้าขึ้นเป็นสนมของฝ่าบาทก็อาศัยพระชายาฉินอ๋องเป็นคนช่วยเหลือ ในใจเจ้าคงจะซาบซึ้งในบุญคุณของนายเก่าของเจ้ามากสินะ ทำไมหรือ อยากจะช่วยพูดให้สวามีของนายเก่าเจ้าหรือ” มเหสีรองเหวยโมโห 

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์หยิบผ้าไหมเช็ดปากจากในถาดรองขึ้นมาเช็ดยาที่เลอะมุมปากฮ่องเต้ “ในเมื่อหม่อมฉันเข้าวังมาแล้ว นายเพียงหนึ่งเดียวของหม่อมฉันก็คือฝ่าบาท หม่อมฉันพบหน้าฉินอ๋องเพียงไม่กี่ครั้ง ตามที่หม่อมฉันจำได้ ฉินอ๋องไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเช่นนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวร้าวกับพระมารดา” นางหันหน้าไปเพ่งมเหสีรองเหวย “ฉะนั้นจึงอยากให้ฝ่าบาทรู้แจ้งก่อน ว่ามีรายละเอียดอะไรที่มเหสีรองพูดตกหล่นหรือไม่ ฝ่าบาทกับฉินอ๋องสองพ่อลูกจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน” 

 

 

“บังอาจ!” มเหสีรองเหวยลุกขึ้นทันใด “เจ้าว่าข้ายุยงฝ่าบาทกับฉินอ๋องให้แตกคอกันทำลายสัมพันธ์พ่อลูกอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นแค่สนมเล็กๆ เพิ่งจะเข้าวังมาไม่นาน ก็แค่ปรนนิบัติอาการประชวรไม่กี่วันเท่านั้น เอาความกล้าจากไหนมาสงสัยข้า!”