ตอนที่ 223 เจ้ารองฉวี่

“แล้วทำไมแม่ถึงตอบตกลงไปล่ะคะ?” หลี่เฟินหมดคำพูด

ยายเฒ่าฉวี่พูดอย่างสมเหตุสมผล “ไล่ต้อนพวกเราขนาดนั้นจะมีเหตุผลบ่ายเบี่ยงได้ยังไง!”

หลี่เฟินคิด ๆ ดูแล้วก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน “รอให้น้องรองกลับมาลองถามดูเดี๋ยวก็รู้แล้วค่ะ ถ้าเขามีคนที่ชอบแล้วจริง ๆ ก็ตอบกลับไปตามนี้ ถ้าไม่มีลองไปดูสักหน่อยก็ได้ พวกเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว”

ยายเฒ่าฉวี่โกรธมากที่ลูกชายไม่ยอมกลับมาบอกนาง จนกระทั่งเจ้ารองฉวี่กลับมาตอนค่ำ นางจึงรีบสอบถาม ซึ่งเจ้ารองฉวี่ไม่ยอมรับอยู่แล้ว เขาบอกว่าหลี่เฟินตาฝาดไปเอง เขาไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนไหนเลย

หลี่เฟินเห็นชัดเต็มสองลูกตา แต่ในเมื่อน้องสามีไม่ยอมรับ หล่อนก็พูดอะไรไม่ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รอไปเจอหญิงสาวทางฝั่งบ้านแม่สะใภ้สี่จ้าวก็แล้วกัน

อากาศหนาวขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ผักใบเขียวของจ้าวเหวินเทาก็มีลูกค้าแน่นขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยเฉพาะตอนที่อยู่ตรงหน้าตลาด เพียงไม่กี่นาทีผักก็ถูกแย่งจนหมดเกลี้ยง มีบางคนถึงขั้นจองของเพื่อส่งไปที่ตลาดถัดไป

นอกจากนี้ผักใบเขียวของจ้าวเหวินเทาในตอนนี้ก็ไม่ต้องไปขายตามตรอกซอยแต่อย่างใด เพราะเขามีลูกค้าประจำแล้ว ร้านเกี๊ยวของจงย่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในปีนี้แผงลอยร้านอาหารที่อยู่ข้าง ๆ ได้ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด และกลายเป็นลูกค้าของจ้าวเหวินเทาด้วย

อย่ามองว่าจ้าวเหวินเทาเป็นคนค้าขาย แต่เขาก็เป็นคนใจกว้างมาก ต้นหอมหนึ่งต้นกระเทียมสองหัวที่เหลืออยู่เขาก็ไม่ได้คิดเงิน ประกอบกับเป็นคนพูดคุยเก่ง อบอุ่นราวแสงอาทิตย์ เมื่อพูดคุยแล้วก็ทำให้คนสบายใจ

ที่สำคัญก็คือผักทั้งหมดล้วนสดใหม่ ดังนั้นคนจึงเต็มใจที่จะซื้อผักของจ้าวเหวินเทา

นอกจากลูกค้ารายใหญ่เหล่านี้ ก็ยังมีลูกค้ารายย่อยขาจรส่วนหนึ่งด้วย สิ่งที่ทำให้จ้าวเหวินเทาคิดไม่ถึงก็คือ ลูกค้ารายย่อยเหล่านี้ต่างพัฒนาตัวเองออกมาจากหมู่บ้านของเขา หนึ่งในนั้นก็คือพี่สามจ้าว

หลังจากเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเสร็จอากาศก็หนาวแล้ว พี่สามจ้าวเริ่มทำเต้าหู้ขาย ก่อนหน้านี้เขาวิ่งไปขายแค่ในอำเภอเท่านั้น เพราะคิดว่าคนในอำเภอมีเงิน มีปัญญาซื้อเต้าหู้ หลังจากผ่านหนึ่งปีที่แบ่งที่ดินทำงานกันเอง พี่สามจ้าวก็ค้นพบว่าคนที่อยู่ในหมู่บ้านและเมืองอื่นก็มีกำลังซื้อเช่นกัน อีกอย่างสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ก็อยู่ใกล้กับอำเภอทั้งคู่ เขาจึงเริ่มขยายตลาดเข้าไปในสถานที่ทั้งสองแห่งนี้

ขอแค่ของมีคุณภาพที่ดี ผู้คนก็ชอบ ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้ก็มีของขายน้อยมาก ดังนั้นเต้าหู้ของพี่สามจ้าวจึงครองตลาดได้ในเวลาอันรวดเร็ว

หลังจากผ่านประสบการณ์การขายของมาหนึ่งปี พี่สามจ้าวก็คุ้นเคยกับมัน ไม่เพียงแค่ขายเต้าหู้เท่านั้น เขายังทำน้ำเต้าหู้ขายหนึ่งหม้อใหญ่ และเต้าฮวยด้วย!

เต้าฮวยของเขาไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะของเขามีผักชี หอมแดง กระเทียมสับ พริก หรือแม้แต่ผักใบเขียวสับด้วย เขานำสิ่งที่คนชอบมาเป็นเครื่องเคียง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาได้รับคำชมอย่างเป็นเอกฉันท์ จนกระทั่งของมีไม่พอต่อความต้องการ

ผักใบเขียวนี้เขาก็ซื้อมาจากจ้าวเหวินเทา แน่นอนว่าซื้อไม่เยอะ แต่ผลกระทบกลับเยอะมาก พวกคนหนุ่มสมองใสในหมู่บ้านเห็นแบบนี้จึงไตร่ตรองหาโอกาสทางการค้า ในเมื่อทำเต้าหู้ได้ไม่อร่อยเท่ากับพี่สามจ้าว จึงต้องไปขายผักใบเขียวที่ตลาด

ดังนั้นพวกเขาจึงมาซื้อผักใบเขียวจากจ้าวเหวินเทา มีแบบซื้อ 1-2 ชั่ง ไม่ก็ 3-4 ชั่ง ไม่กล้าซื้อเยอะเพราะกลัวขายไม่ออก แต่พวกคนหนุ่มต่างก็หาช่องทางกันได้ แถมโชคก็ดีด้วย จึงมาซื้อแบบสิบกว่าชั่ง ถึงอย่างไรเพื่อผักจำนวนเล็กน้อยนี้แล้ว การเดินทางไปถึงหมู่บ้านไท่ผิงก็ไม่คุ้มค่าอยู่ดี

เมื่อจ้าวเหวินเทาเห็นแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เพิ่มราคา แต่ยังขายให้พวกเขาในราคาขายส่งด้วย

การทำมาค้าขายก็คือการปล่อยน้ำให้ค่อย ๆ ไหลออกมา ที่สำคัญก็คือการเก็บลูกค้าไว้ นี่คือประสบการณ์ทางธุรกิจที่จ้าวเหวินเทาเป็นคนสรุป ด้วยนิสัยของเขาที่เป็นคนเข้าสังคมเก่ง วิธีเช่นนี้ทำให้ธุรกิจผักใบเขียวของเขาไม่เพียงแค่ไม่สูญเสีย แต่ยังได้เงินอีกไม่น้อย ทั้งยังชนะจนได้รับการบอกต่อปากต่อปาก กลายเป็นผู้นำของคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านโดยปริยาย

ถึงอย่างไร คนหนุ่มสาวภายในหมู่บ้านต่างก็ชอบวิ่งมาคุยที่บ้านจ้าวเหวินเทา พูดคุยเรื่องที่อยู่ข้างนอก พูดคุยเรื่องค้าขาย พี่สามจ้าวเองก็มานั่งเป็นครั้งคราวเช่นกัน

อย่ามองว่าเขารู้สึกไม่ชอบหน้าจ้าวเหวินเทา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อพูดถึงเรื่องค้าขายแล้ว เขาก็ยังสู้จ้าวเหวินเทาไม่ได้อยู่ดี

ค่ำของวันนี้ ในบ้านของจ้าวเหวินเทาล้วนเปิดไฟสว่างจ้า ผักครึ่งหนึ่งที่เขาขนกลับมาถูกคนในหมู่บ้านซื้อไปแล้ว พี่สามจ้าวก็ซื้อต้นหอมไปด้วย เขาไม่ได้รีบกลับในทันที แต่นั่งอยู่บนเตียง ดื่มชาที่เย่ฉูฉู่นำมาให้ ระหว่างนั้นก็ฟังจ้าวเหวินเทา ชุยต้า เมิ่งต้า เจ้ารองฉวี่และเด็กหนุ่มอีกสองสามคนพูดคุยกัน

เตียงร้อนมากแม้ว่าจะไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย พี่สามจ้าวนึกขึ้นได้ว่าตอนที่สร้างบ้านหลังนี้แรก ๆ กำแพงล้วนถูกฉาบซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า มีทั้งดินและทรายที่ใช้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร มันสามารถป้องกันลมได้จริง ๆ

ทำเลของที่นี่ไม่สามารถเทียบกับในหมู่บ้านได้ เพราะแถวตงเหลียงลมแรงมาก

พี่สามจ้าวครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานาชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาสนใจถึงเนื้อหาที่จ้าวเหวินเทาและคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยกัน

“…พูดถึงเรื่องนี้แล้ว พรุ่งนี้นายจะไปดูตัวที่ตลาดไม่ใช่เหรอ นายจะขายผักทำไมเนี่ย!” จ้าวเหวินเทามองเจ้ารองฉวี่

วันพรุ่งนี้จะมีตลาดในหมู่บ้าน แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวก็นำข้อความจากฝ่ายหญิงมาบอกแล้ว ว่าตกลงที่จะไปดูตัวกันจากไกล ๆ ที่ตลาดในวันพรุ่งนี้

เจ้ารองฉวี่รู้สึกไม่ดี แต่ที่นี่ไม่มีพวกอาวุโส จึงกล้าพูดความในใจของตัวเองออกมา

“แม่อยากให้ไปดูตัว ถ้าฉันรู้ก็คงไม่ตกปากรับคำหรอก!” เจ้ารองฉวี่แกล้งทำเป็นหัวโบราณ

ชุยต้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไมไม่ตอบตกลงล่ะ พวกนายก็เคยเจอกันมาก่อนแล้ว แล้วเคยคุยกันหรือเปล่าล่ะ?”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ก็ต้องคุยกันแล้วสิ ไปดูละครดูหนังตั้งหลายวันแล้วนะ ทำไมจะไม่คุยกัน!”

เจ้ารองฉวี่กล่าว “พี่หกอย่าพูดจาเหลวไหลสิ ฉันยังไม่เคยเห็นเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนเป็นใคร”

จ้าวเหวินเทายิ้มด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “แล้วนายไปเจอใครมาล่ะ?”

เย่ฉูฉู่กลับมาถึงก็บอกเขาเรื่องที่คุยกับคุณแม่จ้าว จ้าวเหวินเทาย่อมทราบว่าคนที่เจ้ารองฉวี่จะไปเจอตัวในวันพรุ่งนี้ไม่ใช่คนที่เฮ่อซงจือพูดถึง นี่แค่เป็นการจงใจหยอกเขาก็เท่านั้น

“ดูตัวเสร็จก็รู้แล้วว่าเป็นใคร!” ครั้นชุยต้าได้เงินมาก็รู้สึกมั่นใจ จนกล้าคุยเล่นกับคนในหมู่บ้านแล้ว

เจ้ารองฉวี่มองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะยอกย้อนกลับไป “นายเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะแต่งงานแล้วเหมือนกันนั่นแหละ ฉายหนังครั้งนี้ไม่ชอบใครเลยเหรอ?”

“ไม่มีหรอก สายตาของฉันจับจ้องแต่หนังนั่นแหละ ใครจะไปเหมือนนาย นอกจากดูหนังแล้วยังเหล่สาวด้วย!” ชุยต้าตอบกลับอย่างลื่นไหล

เย่ฉูฉู่อุ้มลูกเดินเข้ามาก็ได้ยินพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ชุยต้าคนนี้เมื่อปีก่อนยังเป็นคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมาเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เขากลายเป็นคนกะล่อนเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเรียนมาจากสามีของเธอ!

“ดูคุณสิ คุณดันสอนเรื่องไม่ดีให้เด็กดี ๆ พวกนี้ซะแล้ว” เย่ฉูฉู่พูดพลางยื่นเสี่ยวไป๋หยางให้จ้าวเหวินเทา “คุณช่วยกล่อมลูกแป๊บหนึ่งนะ”

จ้าวเหวินเทารับลูกชายมาก็ยกตัวลูกขึ้นสูง เสี่ยวไป๋หยางมีความสุขจนกางแขนทั้งสองข้างออกมาโบก

“ฉันสอนเรื่องไม่ดีอะไรกัน ก็เห็นอยู่ว่าฉันสอนแต่เรื่องดี ๆ ก็ต้องพูดแบบนี้แหละ อยู่ข้างนอกถึงจะได้กินอิ่ม!” จ้าวเหวินเทาพูดกับชุยต้า

ชุยต้ายืดอกจนตั้งตรง

เจ้ารองฉวี่หัวเราะ เขาไม่ได้สนใจจ้าวเหวินเทาแล้ว หลังจากคุยกันครู่หนึ่งก็ขอตัวกลับไป

เขามาหาจ้าวเหวินเทาเพื่อขอติดรถไปด้วย วันพรุ่งนี้จ้าวเหวินเทาจะเอาของเข้าไปขาย จึงผ่านตลาดในหมู่บ้านพอดี

“เจ้ารองฉวี่คนนี้เอาเปรียบคนเก่งจริง ๆ มาซื้อผักจากพี่ไปขายที่ตลาด แถมยังจะมานั่งรถพี่อีก จริง ๆ เล้ย!” ชุยต้ารู้สึกไม่ยุติธรรมแทนจ้าวเหวินเทา

จ้าวเหวินเทาไม่ได้ใส่ใจ “มันจะไปหนักหนาแค่ไหนกันเชียว ก็แค่พาไปด้วย นายอยากไปฉันก็พานายไปได้”

ชุยต้าแอบรู้สึกไม่ดี เพิ่งพูดว่าเจ้ารองฉวี่เอาเปรียบไป ถ้าเขาตอบตกลง แบบนั้นก็เท่ากับว่าเขาเองก็เป็นคนเอาเปรียบคนอื่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จริง ๆ พี่สามก็เป็นคนมีหัวการค้าเหมือนกันนะ เสียแต่ว่างกไปหน่อย

เจ้ารองฉวี่ท่าจะเป็นคนเจ้าชู้ไม่เบาเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)