ตอนที่ 222 แม่สื่อ

คล้ายกับเรื่องการเป็นแม่สื่อ สะใภ้วัยสาวโดยปกติจะเป็นคนหน้าบาง จึงรู้สึกไม่ดีที่จะออกหน้า มีแค่ผู้หญิงวัยกลางคนและผู้สูงวัยเท่านั้นที่เต็มใจจะลงมือทำให้ เหตุผลหลักก็คือถ้าสำเร็จก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าไม่สำเร็จขึ้นมาคงเสียหน้าแย่

ไม่ว่าจะเป็นเฮ่อซงจือหรือเย่ฉูฉู่ต่างก็กังวลเช่นนี้กันทั้งคู่ แต่จ้าวเหวินเทากลับคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรเลย

“เต็มใจก็คือเต็มใจ ไม่เต็มใจก็คือไม่เต็มใจ ไม่ใช่คู่ของคุณสักหน่อย คุณจะกังวลเรื่องนี้ไปทำไม ประโยคนั้นพูดว่าอะไรแล้วนะ ‘ขอแค่ไม่อาย ความอายนั้นก็จะกลายเป็นของคนอื่น’!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ตอนนี้ฉันค้นพบแล้ว ตั้งแต่คุณรู้จักกับคนในคณะละคร หนังหน้าของคุณก็ยิ่งไม่แน่ชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิคะว่าทำมาจากอะไร” เย่ฉูฉู่รู้สึกว่าเขาแอบตัวลอย จึงอดไม่ได้ที่จะเคาะเรียกสติสักหน่อย

จ้าวเหวินเทาหัวเราะร่า “ภรรยา ผมจะคิดเสียว่าเป็นคำชมของคุณนะ!”

ชมอะไรกัน เธอไม่ได้ชมสักหน่อย!

วันรุ่งขึ้นเย่ฉูฉู่จึงอุ้มลูกเดินมาหาคุณแม่จ้าว

คุณแม่จ้าวได้ยินก็พูดเคล้ารอยยิ้ม “เจ้ารองฉวี่คนนี้มีแต่คนชอบสินะ มีคนมาชอบอีกคนหนึ่งแล้ว! มา หลานชาย ให้ย่าดูหน่อยสิลูก!”

เย่ฉูฉู่สังเกตว่าแม่สามีพูดว่า ‘อีกแล้ว’ จึงยื่นเสี่ยวไป๋หยางให้แม่สามี “แม่คะ ทำไมถึงพูดว่าอีกแล้วล่ะคะ? ไม่ได้เหรอคะ?”

คุณแม่จ้าวกล่าว “เปล่าหรอก เมื่อวานแม่ของพี่สะใภ้สี่ลูกมาหา บอกว่าหลานสาวของหล่อนชอบเจ้ารองฉวี่ แถมยังบอกว่าได้ยินเรื่องที่หมู่บ้านเราขายกระต่ายจนร่ำรวยด้วย”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “จริง ๆ เลย คนที่เฮ่อซงจือแนะนำก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน”

คุณแม่จ้าวครุ่นคิด “เอาแบบนี้สิ พี่สะใภ้สี่กับแม่ของหล่อนไปถามแล้ว มีเรื่องอะไรก็ต้องเรียงลำดับใครมาก่อนมาหลัง รอให้พวกเขาทางฝั่งนั้นได้ผลลัพธ์ออกมาก่อนค่อยว่ากัน ถ้าชอบพอกัน ลูกก็ไม่ต้องพูดแล้ว แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้ชอบพอกันเดี๋ยวแม่จะไปคุยกับป้าใหญ่ของลูกให้”

ยายเฒ่าฉวี่และคุณแม่จ้าวเป็นพี่น้องร่วมสาบาน คุณแม่จ้าวเป็นน้อง ดังนั้นเย่ฉูฉู่จึงเรียกว่าป้าใหญ่ คุณแม่เย่จึงพูดว่า “ป้าใหญ่ของลูก”

เย่ฉูฉู่รู้สึกว่าแม่สามีทำแบบนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด “งั้นเดี๋ยวฉันกลับไปบอกเฮ่อซงจือก่อนนะคะ”

คุณแม่จ้าวหยอกล้อเสี่ยวไป๋หยาง “เด็กคนนี้มีอนาคตขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ หน้าตาก็ดูเหมือนกับพ่อของเขาตอนเด็ก ๆ เลย”

เย่ฉูฉู่มองลูกชายด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงเสี่ยวไป๋หยางหน้าตาเหมือนเธอมากกว่า แต่ในเมื่อแม่สามีอยากให้หลานชายหน้าเหมือนลูกชาย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามที่คนสูงวัยต้องการเถอะ

“แม่ของลูกอยู่ที่เมืองหลวงสบายดีนะ?” คุณแม่จ้าวถามถึงแม่ยายของลูกชาย

“สบายดีค่ะ พี่สะใภ้สามของฉันจ้างแม่บ้านมาด้วย แม่อยู่ที่นั่นก็เลยไม่ได้เหนื่อยอะไร” เย่ฉูฉู่กล่าว

“งั้นก็ดีเลย สองคนช่วยกันดูแลลูกสบายขึ้นเยอะ แล้วแม่จะกลับมาข้ามปีหรือเปล่า?”

“ยังไม่รู้เลยค่ะ”

“ลองคำนวณเวลาดูแล้ว พี่สะใภ้สามของลูกน่าจะออกจากอยู่ไฟแล้วนะ?”

“ออกก่อนสองวันค่ะ”

เย่ฉูฉู่คุยเล่นกับแม่สามีครู่หนึ่ง จากนั้นจึงอุ้มลูกกลับมา ในบ้านมีกระต่ายอยู่ จึงไม่สามารถออกจากบ้านนานเกินไปได้

จนกระทั่งเย่ฉูฉู่กลับไปแล้ว คุณแม่จ้าวก็นึกเสียดาย มีลูกเหมือนกันแท้ ๆ แต่ลูกสะใภ้สองคนทำไมถึงได้ต่างกันมากขนาดนั้น ตอนที่สะใภ้จ้าวสี่คลอดลูกคนแรกไม่ได้มีเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแบบนี้เลย พอมาดูลูกสะใภ้คนเล็ก ไม่ว่าจะก่อนคลอดหรือหลังคลอดก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ลูกก็ดูเรียบร้อยมาก!

คนเราไม่สามารถนำมาเทียบได้จริง ๆ คุณแม่จ้าวส่ายหน้า

พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่รู้ว่าแม่สามีกำลังนำหล่อนไปเทียบกับเย่ฉูฉู่ ตอนนี้หล่อนกับแม่กำลังคุยเพื่อเป็นแม่สื่อให้ตระกูลฉวี่

“…ฝ่ายหญิงอายุสิบเจ็ด รูปร่างดีนะคะ ทำงานยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ในบ้านมีพี่ชายหนึ่งคน เด็กสองคนนี้อายุห่างกันแค่ปีเดียว พี่ไม่ต้องห่วง ครอบครัวหลานสาวคนนั้นของฉันใช้ชีวิตกันอย่างซื่อตรง ลูก ๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวแนะนำฝ่ายหญิง “ถ้ายินดีก็จะได้เรียกให้เด็ก ๆ สองคนมาเจอกัน คิดว่ายังไงคะ?”

พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ป้าใหญ่ ป้ากับแม่สามีเป็นพี่น้องกัน ถ้าได้เป็นครอบครัวเดียวกันก็จะยิ่งสนิทกันมากขึ้นนะคะ!”

ยายเฒ่าฉวี่นั่งอยู่ที่ขอบเตียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะ ครอบครัวของเราก็จะได้สนิทมากขึ้นด้วย ฉันไม่มีความเห็นอะไรหรอก ลูกคนนี้ก็โตแล้ว ก็ถึงอายุที่ควรจะคุยเรื่องแต่งงานสักที”

พี่สะใภ้สี่จ้าวรีบพูด “ป้าใหญ่ งั้นเอาแบบนี้ไหมคะ เราเลือกวันให้พวกเขามาเจอหน้ากันดีไหม?”

“มองห่าง ๆ ดีกว่า” ยายเฒ่าฉวี่กล่าว

การนัดบอดเพื่อได้เจอหน้ากันในภายภาคหน้าของชนบทแรกเริ่มนั้นต่างก็ใช้วิธีมองห่าง ๆ ก็คือการเจอกันในที่สาธารณะแห่งหนึ่ง โดยปกติก็จะเป็นที่ตลาด ทั้งสองคนมองกันจากไกล ๆ ถ้าชอบพอกันก็ค่อยนัดเจอหน้าแบบซึ่ง ๆ หน้าเพื่อพูดคุยกัน

มีบางคนที่มาเจอกันแบบซึ่ง ๆ หน้าเลย แต่ก็ต้องดูว่าฝ่ายหญิงเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยหรือไม่ หากฝ่ายชายไม่ชอบ ฝ่ายหญิงคงรู้สึกเสียหน้า ลูกสาวของตัวเองก็เสียเปรียบเพราะโดนหักหน้าด้วย มีฝ่ายหญิงบางคนถึงขั้นโวยวายบอกให้ฝ่ายชายจ่ายเงินเพื่อชดเชยความเสียหายด้วย

ในป่ามีนกทุกประเภท คำพูดนี้ไม่ผิดเลย ดังนั้นยายเฒ่าฉวี่จึงพูดแบบนี้ นางก็ยังไม่รู้จักครอบครัวทางฝ่ายหญิง แต่แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวเป็นคนอย่างไรคุณแม่จ้าวก็เคยเล่าให้ฟังไม่น้อย นางมักจะมารื้อเอาของของลูกสาวกลับไป คนที่มาแนะนำให้เป็นแบบนี้ก็ต้องระวังสักหน่อย

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวแอบบุ้ยปากในใจ หล่อนเป็นฝ่ายชายยังจะมามองจากไกล ๆ อีก เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นป้าใหญ่จึงเกรงใจที่จะพูด และไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแค่ตอบรับเท่านั้น

จากนั้นก็คุยถึงเรื่องอื่นต่อ โดยไม่ต้องสงสัย เรื่องแรกที่คุยก็คือกระต่ายของข้าวซานถุนนี่แหละ

ยายเฒ่าฉวี่คุยวนไปวนมากับสองแม่ลูกคู่นี้ จนกระทั่งเจ้ารองกลับมาจากการขนฟืนจึงถอนหายใจ นางรู้ดีว่าแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวนั่งอยู่ที่นี่ตั้งนานและถามไปตั้งเยอะ ก็เพราะอยากจะพูดคุยกับลูกชายของนางเพื่อรู้จักเขาให้มากขึ้น

เจ้ารองฉวี่ถือว่าเป็นคนค่อนข้างแข็งแรง คิ้วหนาตาโต ทำงานก็มีความทะเยอทะยาน คนในหมู่บ้านแค่ดูก็รู้แล้วว่าทำงานเป็นหรือไม่ ทำงานหนักได้หรือเปล่า ส่วนอื่นเป็นเรื่องรอง สิ่งนี้ทำให้แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวพึงพอใจมาก เด็กคนนี้ต้องเลี้ยงครอบครัวได้แน่นอน!

หลังจากขนฟืนเสร็จ เจ้ารองฉวี่ก็เข้าบ้านมาดื่มน้ำ เมื่อเห็นพี่สะใภ้สี่จ้าวและแม่ของเธอ ยายเฒ่าฉวี่จึงแนะนำ ทำเอาเจ้ารองฉวี่ถึงกับหน้าแดงระเรื่อ หลังจากกล่าวทักทาย ดื่มน้ำเสร็จก็เดินออกจากบ้านไป

“ลูกชายคนนี้นี่ ยากที่จะคาดเดาเสียจริง!” ยายเฒ่าฉวี่ถอนหายใจ

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว “โอ๊ย แค่ทำงานเป็นก็พอแล้ว ต่อให้ปากดีกว่านี้จะใช้ชีวิตที่ดีได้เหรอ? เอาล่ะ งั้นพวกเรากลับก่อนนะ อีกสองวัน พวกเราค่อยไปตามที่นัดไว้ ให้พวกเด็ก ๆ ได้เจอหน้ากัน”

“อยู่กินข้าวที่นี่แล้วค่อยกลับสิ” ยายเฒ่าฉวี่รั้งไว้ตามมารยาท

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ที่บ้านยังมีลูก ๆ รอกินข้าวอยู่” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

ยายเฒ่าฉวี่เดินไปส่งแขกทั้งสองคนแล้ว หลี่เฟินก็กลับมาพอดี เมื่อเห็นทั้งสองจึงหยุดคุยกับพี่สะใภ้สี่จ้าวอยู่ครู่หนึ่ง จึงทราบว่ามาที่นี่เพื่อมาจับคู่ให้น้องเขยของหล่อน หลังจากเข้ามาในบ้านก็คุยกับยายเฒ่าฉวี่ “คนที่มาดูละครคนนั้น ก็เคยเห็นหน้ากันแล้วไม่ใช่เหรอคะ ยังต้องมาดูหน้ากันแบบห่าง ๆ ทำไมอีก?”

ยายเฒ่าฉวี่ชะงัก “เคยเห็นหน้ากันตอนที่มาดูละครแล้วเหรอ ยังหรอกมั้ง แม่ว่าไม่เหมือนคนที่เคยเจอกันเลยนะ เกิดอะไรขึ้น?”

หลี่เฟินแอบสงสัย “ก็ตอนที่มาดูละคร ฉันเห็นน้องรองเดินคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เลยคิดว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น นี่อีกคนหรอกเหรอคะ?”

ยายเฒ่าฉวี่ไม่ทราบว่าลูกชายคุยกับผู้หญิงคนไหน นางจึงตบหน้าขาพลางบ่น “เจ้ารองทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ คุยกับผู้หญิงคนนั้นแล้วทำไมไม่บอกที่บ้านสักคำ นี่แม่ก็ตอบตกลงไปแล้วด้วย! เธอว่าเรื่องนี้มันเป็นการฉีกหน้ากันไหมล่ะ!”

หลี่เฟินรีบกล่าว “แม่ ฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ค่ะ น้องรองแค่คุย ๆ กับผู้หญิงคนนั้น แต่ถ้าคิดอะไรเกินเลยมากกว่านั้น ทำไมน้องรองจะไม่บอกแม่ล่ะคะ”

ยายเฒ่าฉวี่กลับยังคงบ่นลูกชาย “จะสาวใหญ่หรือเด็กสาว ถ้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจะคุยกันทำไม? แม่ของสะใภ้จ้าวสี่เป็นคนแบบไหนเธอยังไม่รู้อีกเหรอ คนที่เธอแนะนำให้แม่ไม่เชื่อหรอก ถึงได้บอกให้ไปดูหน้ากันแบบไกล ๆ ไง แม่กลัวว่าถ้าไม่สำเร็จ แล้วมาหลอกลวงพวกเราจะทำยังไง ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้วแม่คงไม่ตอบตกลงหรอก!”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หลานแม่สะใภ้สี่จะนกไหมคะเนี่ย ถ้าเกิดว่าฝ่ายชายมีคนคุยอยู่แล้ว

ไหหม่า(海馬)