ตอนที่ 221 ภรรยาเรียนรู้เรื่องไม่ดีแล้วนะ

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 221 ภรรยาเรียนรู้เรื่องไม่ดีแล้วนะ

“ยุ่งสิ พืชผลในทุ่งนารอให้เก็บเกี่ยวอยู่นะ ลูกก็ยังเล็ก ฉันเองก็อยากจะมาแต่ก็ปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย!” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวบ่น

คุณพ่อจ้าวขี้เกียจฟังแล้ว ขนฟืนเสร็จก็กลับไปที่ห้อง

คุณแม่จ้าวเองก็คิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ หลังจากพูดพอเป็นพิธีก็ขนฟืนไปเผา

พี่สะใภ้สี่จ้าวยื่นอู่หยาให้แม่ของเธอ จากนั้นก็แบกฟืนเตรียมไปทำอาหาร

“ซานหยากับซื่อหยาล่ะ?” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวถาม นี่ก็ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่เห็นสองหยาเลย

“ไปเรียน” พี่สะใภ้จ้าวกล่าว “ปีนี้เข้าเรียนอนุบาลกันแล้ว ปีหน้าก็จะได้เข้าป.1 พอดี”

แม้ว่าซื่อหยาจะยังเล็ก แต่พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับคิดว่าให้ไปเรียนพร้อมกับซานหยา แบบนี้ก็จะช่วยประหยัดเงินได้หนึ่งปีด้วย

“นี่! แกมีเงินแต่ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรสินะ เด็กผู้หญิงจะไปเรียนหนังสือทำไม!” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวตะโกนออกมา

คุณแม่จ้าวได้ยินก็โกรธจนทนไม่ไหว นางกลับมาพูดกับคุณพ่อจ้าว “ต้องเป็นคนแบบไหนกัน แม่แบบนี้ไม่มียังจะดีเสียกว่า!”

คุณพ่อจ้าวกล่าว “คุณจะไปสนใจสิ่งที่ยัยนั่นพูดทำไม ซานหยากับซื่อหยาเป็นลูกหลานตระกูลจ้าว จะไปเรียนหรือไม่ไปยัยนั่นก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสิน!”

นาน ๆ ทีคุณพ่อจ้าวจะไม่ชอบขี้หน้าคนคนหนึ่งขนาดนี้

“ที่ลูกสะใภ้สี่อยากได้ลูกชายจนเป็นบ้าก็เพราะมีแม่บ้า ๆ แบบนี้ไง!” คุณแม่จ้าวกล่าว

ระหว่างที่พูด แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวก็อุ้มอู่หยาเข้ามาในห้อง

ยังจะตามมาอีก…คุณแม่จ้าวบ่นในใจ นี่ไม่รู้เลยเหรอว่าคนเขาไม่ชอบขี้หน้าหล่อน!

“มาครั้งนี้ก็อยู่ค้างสักสองสามวันเถอะ ถึงยังไงที่บ้านก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว” คุณแม่จ้าวกล่าว

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็ก ๆ พลางกล่าว “ที่มาครั้งนี้เพราะเรื่องหลานสาวคนนั้นของฉันนั่นแหละค่ะ”

นางจึงเล่าเรื่องที่ตั้งใจมาสอบถามเรื่องตระกูลฉวี่ให้ฟังไปหนึ่งรอบ

คุณแม่จ้าวได้ฟังจนจบก็เข้าใจได้ ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องจับคู่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะชอบตระกูลฉวี่

ตอนนี้เย่ฉูฉู่กำลังพูดคุยกับเฮ่อซงจือในหัวข้อเดียวกัน ฝ่ายที่ถูกพูดถึงก็คือตระกูลฉวี่

“…หมู่บ้านของพวกเรา ตอนที่ฉันยังไม่แต่งงานก็สนิทกับพี่สาวของหล่อนนะ เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่สาวของหล่อนก็พาหล่อนมาดูละครด้วย แถมยังชอบเจ้ารองของตระกูลฉวี่ด้วยนะ บอกให้ฉันช่วยเป็นแม่สื่อให้ ฉันไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง” เฮ่อซงจือกล่อมลูกไปพลางพูดคุยไปพลาง

เย่ฉูฉู่อุ้มเสี่ยวไป๋หยางพลางกล่าว “พี่สาวคนนั้นทำไมถึงไม่หาแฟนให้น้องสาวที่บ้านแม่สามีล่ะ แบบนี้พี่สาวกับน้องสาวจะได้ดูแลกันและกันด้วย”

“พี่สาวของหล่อนแต่งงานอยู่ในหมู่บ้านตัวเองนั่นแหละ หล่อนไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านตัวเอง แถมยังชอบหมู่บ้านของเราด้วย” เฮ่อซงจือกล่าว “โดยเฉพาะเรื่องที่หมู่บ้านข้าวซานถุนของพวกเรามีชื่อเสียงเรื่องกระต่าย บอกว่าคนของหมู่บ้านเราร่ำรวยกันหมด ก็เลยอยากจะมีสามีที่หมู่บ้านของเรา! จริงสิ แถมยังบอกด้วยนะว่าเหวินเทาของเธอขายกระต่ายได้เงินก้อนโตเลย เรื่องจริงหรือเปล่า?”

เย่ฉูฉู่หัวเราะไม่ได้ยิ้มไม่ออก คำพูดประเภทนี้เธอเองก็ได้ยินมาไม่น้อยแล้วในช่วงสองสามวัน บางคนก็พูดไร้สาระ บอกว่าสามีของเธอได้เงินมาตั้งหลายหมื่นหยวน!

ฟังดูสิ ยังจะบอกว่าหลายหมื่นหยวนอีก ลมที่พัดนั้นต้องแรงขนาดไหนกันเนี่ย

เมื่อได้ยินเย่ฉูฉู่พูดแขวะ เฮ่อซงจือก็หลุดขำออกมา “ที่บ้านเธอมีกระต่ายเยอะ ชาวบ้านคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก อีกอย่างลุงสามของเธอก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”

ลุงสามที่พูดถึงก็คือพี่สามจ้าว ในหมู่บ้านจะเรียกพี่ชายของสามีแบบนี้

“แต่ถึงยังไงก็ต้องพูดเรื่องที่เชื่อถือได้หน่อยสิ กระต่ายของหมู่บ้านเรามีชื่อเสียง มีคนให้ราคาสูงด้วย แต่เหวินเทาก็ยังขายด้วยการยึดราคาเดิม เหวินเทาบอกว่าเขาหาเงินแบบมีมโนธรรม ทุกคนซื้อกระต่ายต่างก็ต้องการรายได้เยอะ ๆ ถ้าเขาฉกฉวยโอกาสเพื่อทำเงินเยอะ ๆ จะกลายเป็นคนแบบไหนล่ะ ดังนั้นเขาก็เลยได้เงินมาไม่มาก” เย่ฉูฉู่อธิบาย “ฉันกลับได้ยินมาว่า ครั้งนี้พี่สามได้เงินมาไม่น้อยเลยนะ!”

เฮ่อซงจือพูดเคล้ารอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเขาจะเอาไปขายหมู่บ้านข้าง ๆ อำเภอด้วย พอพูดถึงลุงสามของเธอ ก็ดูเป็นคนค้าขายเป็นเหมือนกันนะ”

เย่ฉูฉู่พยักหน้า “ใช่ เต้าหู้ที่เอาไปขายก็ดีมากเลย มีไม่พอต่อความต้องการด้วย เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินว่า มีคนจากอำเภอมาซื้อเต้าหู้โดยเฉพาะเลย แต่จะว่าไป พี่สามก็ทำเต้าหู้อร่อยจริง ๆ นั่นแหละ”

“ใช่ ถ้าไม่อร่อยก็คงขายไม่ดีขนาดนั้นหรอก สิ้นปีนี้เธอจะคืนหนี้จากการสร้างบ้านได้หมดหรือเปล่า?” เฮ่อซงจือไม่ได้มีความหมายอื่น นี่เป็นความเป็นห่วงเป็นใยที่บริสุทธิ์

“เหวินเทาบอกว่าน่าจะคืนหมดเลยนะ” เย่ฉูฉู่ไม่ได้ปิดบังหล่อน

เฮ่อซงจือทราบดีว่าต้องทำเงินได้แน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เงินมากขนาดนี้ จึงถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าสร้างบ้านขึ้นมาได้ พวกเราก็คงได้ย้ายออกมาเร็ว ๆ”

เย่ฉูฉู่หันไปมองหล่อน “ทำไมเหรอ ทะเลาะกันอีกแล้ว?”

“เปล่าหรอก ฉันอยากเป็นอิสระเร็ว ๆ” เฮ่อซงจือกล่าว “เธอไม่รู้หรอก ตอนที่ฉายภาพยนตร์กับแสดงละครครั้งนี้ ป้าเจ็ดกับป้าแปดผลัดเวรกันมาดู แถมยังพาลูกมาดูด้วย ตอนค่ำก็ยังอยู่ค้างที่บ้านอีก เตียงไม่กี่เตียงต้องนอนเบียดกันจนฉันตื่นกลางดึก ไม่สะดวกเอาเสียเลย”

“ตกลง ถ้าเธอต้องการใช้เงินเร่งด่วนก็บอกมาเลยนะ” เย่ฉูฉู่พูดอย่างใจถึง

ไม่ว่าเฮ่อซงจือหรือจ้าวเหวินจื้อ ต่างก็เป็นคนที่สามารถให้หยิบยืมเงินได้ทั้งคู่

เฮ่อซงจือดีใจมาก จากนั้นก็พูดถึงเรื่องตระกูลฉวี่อีกครั้ง “เธอว่าฉันควรทำยังไงดี?”

คนในชนบทต่างก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น พูดอ้อมค้อมก่อนแล้วค่อยวนกลับมาเข้าประเด็น ถ้าอ้อมไกลเกินไปก็กลับมาไม่ได้แล้ว แต่กลับมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็เป็นการพูดคุยสัพเพเหระ คุยถึงตรงไหนก็ถึงตรงนั้น

“ถ้าเธอไม่สะดวกใจก็ถามแม่สามีดูสิ ให้แม่สามีเธอออกหน้าแทนก็ได้” เย่ฉูฉูกล่าว

“เธอถามแม่สามีเธอหน่อยสิ ฉันจำได้ว่าแม่สามีของเธอก็ถือว่าเป็นพี่น้องกับยายฉวี่เลยนะ” เฮ่อซงจือกล่าว

ยายฉวี่ก็คือแม่ของเจ้ารองฉวี่ ทุกคนต่างก็เรียกนางว่ายายฉวี่ เพราะแต่งงานมาอยู่ที่นี่พร้อมกับคุณแม่จ้าว ทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานระหว่างกัน จากนั้นก็มีอีกคนแต่งเข้ามา กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานสามคนภายในหมู่บ้าน

เย่ฉูฉู่เห็นว่าเฮ่อซงจือลำบากใจ จึงคิดว่าเฮ่อซงจือคงทะเลาะกับแม่สามีเข้าแล้ว จึงพยักหน้าตอบตกลง

ช่วงค่ำเมื่อจ้าวเหวินเทากลับมา เย่ฉูฉู่ก็พูดเรื่องนี้ให้เขาฟัง จ้าวเหวินเทามีความสุข “ที่แท้การฉายภาพยนตร์และแสดงละครก็มีผลลัพธ์แบบนี้ด้วย งั้นหลังจากนี้คนของหมู่บ้านเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องออกไปหาภรรยาแล้วสิ ขาดแคลนภรรยาก็แค่ฉายภาพยนตร์สักสองสามวันก็แก้ปัญหาได้แล้ว”

เย่ฉูฉู่เองก็หัวเราะ “อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ แต่วิธีนี้ก็ใช้ได้ผลอยู่นะ!”

จ้าวเหวินเทาครุ่นคิด “ผมว่าเจ้ารองฉวี่คนนั้นก็งั้น ๆ แหละ”

“หืม?” เย่ฉูฉู่คิดไม่ถึงว่าจ้าวเหวินเทาจะพูดแบบนี้

“ขี้งกจะตายไป!” จ้าวเหวินเทากล่าว “ก่อนหน้านี้ผมเคยไปเก็บฟืนกับเขาสักสองสามเที่ยว แล้วก็เคยไปต้อนแพะที่ทีมผลผลิตกับเขาอยู่สองสามครั้ง เวลากินอะไรก็ขี้เหนียวมาก เหมือนกับใครนะ ใช่แล้ว เหมือนกับพี่สามของผมไง! จะกินจะใส่อะไรก็เสียดายไปหมด พี่สามของผมยังดีที่ทำเต้าหู้เป็น หมอนั่นทำอะไรเป็นบ้างล่ะ มีแต่พละกำลังนั่นแหละ ปลูกพืชผักจะได้สักเท่าไรกันเชียว? ต่อให้ไม่กินไม่ดื่มอะไรมากกว่านี้ คุณว่าแต่งงานกับคนแบบนั้นจะไม่ทรมานตายเลยเหรอ?”

เย่ฉูฉู่กลับไม่คิดแบบนี้ “เรื่องนี้จะเทียบกับคุณไม่ได้หรอกนะคะ คนจำนวนมากในหมู่บ้านต่างก็ใช้ชีวิตกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ การที่เขาจะประหยัด ก็ไปโทษเขาไม่ได้หรอก”

จ้าวเหวินเทาอุ้มเสี่ยวไป๋หยางแล้วยกลอยตัวขึ้นสูง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชีวิตของคนเรา ไม่กินไม่ดื่มแล้วจะเก็บเงินไปทำไม จริงไหมเจ้าลูกชาย? มีประโยคหนึ่งที่พูดไว้ดีเลย ‘สำหรับประชาชนแล้วเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า’ เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ของมนุษย์ก็คือการกิน! ”

เย่ฉูฉู่คลี่ยิ้มและตำหนิเขาด้วยสายตา “คุณนี่มันนักกินตัวยงเลยนะคะ”

“นักกินแล้วจะทำไม นักกินนี่แหละมีความสุขที่สุด! ภรรยา คืนนี้พวกเรากินอะไรกันดี?” จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึๆ

เย่ฉูฉู่มองเขาด้วยรอยยิ้ม “กินคุณไง!”

“ภรรยา คุณเรียนรู้เรื่องไม่ดีแล้วนะ” จ้าวเหวินเทาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะในทันที

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขาและเดินไปทำอาหาร

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นว่าหมู่บ้านนี้มีเงินน่ะสิถึงอยากให้ลูกหลานมาแต่งเข้าหมู่บ้านนี้

ก็เพราะสามีเป็นแบบนี้ไง ฉูฉู่เลยติดเรื่องไม่ดีมาเลยเนี่ย ๕๕๕

ไหหม่า(海馬)