ตอนที่ 220 เอาแต่ลำเอียงไปหาลูกชาย

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวชะงัก “เป็นหนี้กันหมด? แกอย่ามาหลอกฉันนะ!”

“ฉันไม่ได้หลอก อยู่ที่ว่าจะเป็นหนี้มากหรือน้อยนั่นแหละ แม่คิดว่าป้าใหญ่จะยอมเหรอ?”

“ในบ้านเป็นหนี้ไม่ได้หรอกนะ!” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวรีบพูด “อยากได้ที่ไม่เป็นหนี้สิน อายุไม่เกินสามสิบก็พอ แก่เกินไปไม่ไหว อายุน้อยเกินไปก็ไม่ดี ขอแบบฐานะทางบ้านดีหน่อย เสี่ยวหงแต่งงานเข้ามาอยู่ที่นี่จะได้ไม่ต้องทรมานเกินไป”

พี่สะใภ้สี่จ้าวยึดตามเงื่อนไขที่แม่บอก ซึ่งหล่อนก็พอจะนึกได้อีกหนึ่งคน น้องเขยของหลี่เฟิน…จากตระกูลฉวี่

ถึงแม้ว่ารูปร่างน้องเขยของหลี่เฟินจะไม่ได้สูงเท่ากับจ้าวเหวินเทา แต่ก็คิ้วหนาตาโต หล่อเหลามาก ทำงานก็ไม่เลว ทำงานหนักเอาเบาสู้ พ่อและแม่ของเขาก็ยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง ที่สำคัญก็คือ บ้านนี้เลี้ยงกระต่ายโดยไม่มีการค้างชำระ ทั้งยังจ่ายแบบเงินสดด้วย

“ทำไมพวกเขาถึงไม่ค้างจ่ายล่ะ ที่บ้านมีสมบัติเหรอ?” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวถามด้วยความอยากรู้

“เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันได้ยินแม่สามีบอกว่าตระกูลฉวี่มีชีวิตที่ดีมาทั้งตระกูลเลยนะ ใส่ทั้งเงินทั้งทอง แม่สามีของหลี่เฟินกับแม่สามีของฉันมาอยู่หมู่บ้านนี้ด้วยกัน ตอนนั้นแม่สามีฉันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่แม่สามีของหลี่เฟินกลับมีเสื้อใหม่ใส่ทั้งในและนอก ใส่เครื่องประดับเงินครบชุดเลยด้วย ต่อให้เป็นช่วงพิเศษเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ก็ยังมีต่างหูเงินใส่เลย! ฉันเลยเดาว่าคงมีสมบัตินิดหน่อยแหละ” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นเลือกเขาก็แล้วกัน ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องทำอยู่พอดี แม่จะอยู่ที่นี่สักสองสามวัน เดี๋ยวแม่จะช่วยดูหลานให้ แล้วก็ไปดูบ้านของพวกเขาด้วย”

พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินว่าแม่จะมาอยู่ที่นี่สองสามวันก็แอบรู้สึกลำบากใจ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากให้แม่อยู่ที่นี่ แต่แม่หล่อนพอมาอยู่ด้วยก็มารื้อบ้านหาของ ถ้าแม่เอาไปใช้เอง หล่อนก็คงจะแสดงความกตัญญู แต่แม่กลับเอาไปให้น้องชาย

เอาของลูกสาวไปให้ลูกชาย แบบนี้ใครจะไปทนไหว?

อีกอย่างแม่ของหล่อนก็ชอบตะโกนโหวกเหวกโวยวายเวลาไม่พอใจ บอกว่าหล่อนเป็นลูกอกตัญญู บอกว่าหล่อนเกิดมาแล้วไร้ประโยชน์ บ่นฉอด ๆ ไม่หยุด แทบจะทำให้คนเป็นบ้าอยู่แล้ว

แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ท้ายที่สุดพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ทำได้เพียงแค่ตอบตกลงไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ขยันขันแข็งเสียเหลือเกิน เมื่อได้ยินลูกสาวตอบตกลง ก็รีบรื้อนู่นรื้อนี่ดูทุกจุด แต่กลับพูดเสียดูดี บอกว่า ‘ตรวจสอบดูสักหน่อยว่าแกใช้ชีวิตเป็นแบบไหน’

“ปีนี้พวกแกได้ข้าวมาไม่น้อยเลยนะ ข้าวเยอะแยะขนาดนี้พวกแกสองคนกินไม่หมดหรอก” เมื่อมาถึงกองข้าว แม่ของหล่อนก็มองดูกระสอบอาหารพลางกล่าว

“เรายังมีลูกอีกสามคนนะคะ แค่ซานหยาซื่อหยาก็กินเก่งแล้ว” พี่สะใภ้สี่จ้าวอุ้มอู่หยาขณะกล่าวกับแม่

แม่บุ้ยปาก “พอเถอะ ยัยเด็กผู้หญิงสองคนนั้นจะกินสักเท่าไรกันเชียว! น้องชายของแกมีลูกชายตั้งสามคน แบบนั้นต่างหากล่ะที่ควรจะได้กิน! ข้าวของแกเยอะแยะขนาดนี้กินไม่หมดก็เสียเปล่า เอาไปให้น้องชายแกสักสามสี่กระสอบแล้วกัน สมาชิกในบ้านของพวกเขามีตั้งเยอะ”

พี่สะใภ้สี่จ้าวโกรธมาก เพราะอะไรถึงได้พูดว่าพวกหล่อนกินไม่หมดแล้วเสียเปล่า กินไม่หมดก็เก็บไว้ได้อีกตั้ง 1-2 ปีก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร จะเอาไปขายก็ได้ มีสิทธิ์อะไรเอาไปให้คนอื่น?

แม้ว่าคนอื่นที่พูดถึงจะเป็นน้องชายตัวเอง แต่น้องชายก็ไม่ได้อดมื้อกินมื้อ ทำไมต้องให้ด้วย

“นี่เป็นข้าวของแม่สามีฉัน พวกเรามีแค่สองกระสอบ” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูด “ข้าวของแม่สามีฉันไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น”

“พวกแกแยกบ้านกันแล้วไม่ใช่เหรอ ข้าวของแม่สามีแกทำไมถึงมาวางที่นี่ล่ะ? โกหกฉันให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ!” แม่ทำท่าทางไม่เชื่อ

“แยกบ้านกันแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่เหรอ แม่สามีฉันเอาข้าวมาวางไว้ที่นี่เพราะที่ห้องไม่มีที่ให้วางแล้ว”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ได้พูดอะไร นางแอบประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินถึงคุณแม่จ้าว คุณแม่จ้าวเป็นคนเก่ง ไม่ยอมใครหากไม่มีเหตุผล คำพูดคำจานั้น ต่อให้มีแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวสิบคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณแม่จ้าวอยู่ดี อีกอย่างในฐานะตนที่เป็นแขกก็ไม่เหมาะที่จะสู้รบปรบมือ ท้ายที่สุดจึงออกจากกองข้าวด้วยความเสียดาย

ในบ้านของพี่สะใภ้สี่จ้าวนอกจากกองข้าวแล้วก็ยังมีรังกระต่ายที่สะดุดตาที่สุด ตอนนี้นอกจากกระต่ายที่ขายไป ยังเหลือกระต่ายอีกสองคู่ ยังไม่ทันที่แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวจะพูดว่าขอกระต่ายคู่หนึ่งไปให้ลูกชาย พี่สะใภ้สี่จ้าวก็พูดดักทางทันที “นี่เป็นกระต่ายของแม่สามี”

อันที่จริงคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวไม่ได้เลี้ยงกระต่ายไว้ พวกเขาทั้งสองไม่ได้มีค่าใช้จ่ายมากมายอะไร อยู่ในหมู่บ้านหากไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจนต้องกินยา มีบ้านให้อยู่ มีผลผลิตในที่ดินก็เพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้แล้ว

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ทราบ จึงคิดว่าเป็นกระต่ายที่คุณแม่จ้าวเลี้ยงไว้ จึงถอนหายใจอีกครั้ง “อายุมากขนาดนั้นแล้ว เลี้ยงของพวกนี้ไว้ทำไมเนี่ย”

“นี่ก็เป็นเพราะน้องหกเขากตัญญูต่อแม่สามีของฉันไง” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดให้ฟังดูดีเป็นพิเศษเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ของเธอ

แต่น่าเสียดายที่แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ได้สนใจ นางยังคงค้นของต่อไป ข้างนอกไม่มีอะไรแล้ว จึงกลับไปค้นในบ้านต่อ พี่สะใภ้สี่จ้าวดีใจมากที่สามีนำเงินไปฝากแล้ว ไม่เช่นนั้นคงถูกค้นจนเจอ

“แม่ แม่รู้จักแต่ดูแลลูกชาย ตอนนี้เขาก็สร้างบ้านใหม่แล้ว ขณะที่บ้านฉันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ทำไมแม่ไม่คิดถึงฉันบ้างล่ะ!” พี่สะใภ้สี่จ้าวรู้สึกไม่มีความสุขที่เห็นแม่ของเธอรื้อตู้ทั้งตู้ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

แม่ของหล่อนกลอกตาใส่ “พูดอะไรของแก! ไม่คิดถึงอะไรกัน คิดถึงแกไปทำไม แกเลี้ยงดูฉันยามแก่ได้เหรอ? แกก็รู้นี่ว่าน้องชายแกสร้างบ้านแล้ว แกที่เป็นพี่สาวยังไม่ช่วยเหลืออีก?”

พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยความโกรธเคือง “หลายปีมานี้ฉันยังไม่ช่วยเหลืออีกเหรอ ยังจะบอกให้ฉันไปช่วยอะไรอีก? หรือว่าแม่จะให้ครอบครัวฉันไปขอข้าวกินเลยไหม?”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปขอข้าวงั้นเหรอ? ตอนนี้ชีวิตแกก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรือไง? รองเท้าพวกนี้ให้น้องชายเถอะ ขากลับฉันจะเอาไปด้วย”

พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นแม่ของเธอรื้อจนเจอรองเท้าสองสามคู่ที่หล่อนทำให้พี่จ้าวสี่ เมื่อบอกว่าจะเอากลับไปให้น้องชาย หล่อนก็โมโหแทบบ้า ตอนที่กำลังจะอ้าปากพูด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังจากข้างนอก คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวขนฟืนกลับมากันแล้ว

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวรีบออกไป พูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อแม่ลูกเขย พวกเธอไปขนฟืนกันเหรอเนี่ย!”

คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวเห็นหน้านางก็แอบรู้สึกไม่ต้อนรับเท่าไรนัก แต่ก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ พูดแบบขอไปทีเพียงไม่กี่ประโยค

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวเองก็ไม่ได้ใส่ใจ นางช่วยขนฟืน ระหว่างนั้นก็พูดถึงเรื่องที่กระต่ายของข้าวซานถุนมีชื่อเสียง เรื่องที่ลูกชายของพวกเขาร่ำรวยอะไรพวกนั้น

“กระต่ายหนึ่งตัวจะได้เงินสักเท่าไรกันเชียว ร่ำรวยอะไรกัน คนเขาก็พูดไปเรื่อย” คุณพ่อจ้าวกล่าว

คุณแม่จ้าวรับช่วงต่อ “นั่นน่ะสิ คนเรานี่นะ รู้จักแต่ปล่อยข่าวลือ ถ้ามันรวยง่ายขนาดนี้ ยังจะมีคนจนอีกเหรอ!”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว “มันก็จริง แต่ยังไงก็ได้เงินมาอยู่ดี”

“ได้เงินมาก็เปล่าประโยชน์ นอกจากจะไม่พอแล้วยังเป็นหนี้อีก!” คุณแม่จ้าวกล่าว

เมื่อเห็นแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าว จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเรื่องที่ลูกชายเป็นหนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ถึงมีเงินก็คงทนต่อญาติที่ยากจนไม่ไหว โดยเฉพาะญาติแบบนี้!

“นี่เสร็จธุระช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็เลยมาเยี่ยมลูกสาวสินะ?” คุณแม่จ้าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ใช่ นี่ก็ถือว่าเสร็จหมดแล้ว ถ้าไม่มาให้เร็วกว่านี้ คงทำให้เธอเหนื่อยแย่เลย ลูกสาวอยู่ไฟก็ทำให้เธอต้องเหนื่อยไปด้วย” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวแสดงท่าทางซึ้งใจ

“แม้ว่าจะเป็นลูกสาวของเธอ แต่ก็เป็นลูกสะใภ้ของฉันเหมือนกัน คลอดหลานสาวมาให้ ฉันก็ควรต้องดูแล แต่เธอเป็นแม่แท้ ๆ ลูกสาวออกจากอยู่ไฟตั้งนานแล้วเพิ่งจะมาเยี่ยม คนอื่นที่ไม่รู้คงคิดว่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอ!” คุณแม่จ้าวตอกกลับไปด้วยรอยยิ้ม

เรื่องที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาวนางเองก็พอจะเข้าใจ แต่คนที่เป็นแบบแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจจริง ๆ แม่เลี้ยงก็คงเป็นแบบนี้กระมัง?

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย คำพูดนี้นางได้ยินมาไม่น้อยแล้ว ชินชาไปตั้งนานแล้วล่ะ

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นแม่ของสะใภ้สี่แล้วก็ไม่แปลกที่สะใภ้สี่จะมีนิสัยแบบนั้น ลำเอียงรักแต่ลูกชายไม่ลืมหูลืมตาเลย ถ้าต่อไปลูกชายไม่เลี้ยงตอนแก่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อย่ามาพึ่งลูกสาวแล้วกัน

ไหหม่า(海馬)