ตอนที่ 219 แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าว

พี่สี่จ้าวคิด ๆ ดูแล้วก็รู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องจริง “แต่คนอื่นก็ได้อยู่บ้านดี ๆ นะ”

พี่สะใภ้สี่จ้าวบุ้ยปาก “ได้อยู่บ้านดี ๆ แล้วจะไปมีประโยชน์อะไร ฉันได้ยินสะใภ้สามพูดว่า แต่ละวันของพวกเขากินผักดองเค็มกับโจ๊กข้าวโพด กินจนท้องของหล่อนมีกรดเต็มท้องแล้ว นั่นก็ได้ไปอยู่บ้านดี ๆ แล้ว แต่มีประโยชน์ตรงไหนล่ะคะ!”

“แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้อยู่บ้านใหม่นะ คุณไม่ได้อยู่บ้านใหม่แต่ก็ยังกินผักเส้นดองเค็มไม่ใช่เหรอ?” พี่สี่จ้าวพูดตามปกติ

ทำเอาพี่สะใภ้สี่จ้าวโกรธจนถลึงตามองเขา จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องเป็นการเป็นงานขึ้นมา “พรุ่งนี้คุณเอาเงินไปฝากนะ เอาแบบฝากประจำไปเลย! ตอนนี้ทำงานช่วงฤดูใบไม้ร่วงเสร็จแล้ว แม่ของฉันต้องมาแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าขายกระต่ายได้เงินขนาดนี้คงเอาไปหมด!”

พี่สี่จ้าวได้ยินก็คิดว่านี่แหละคือเรื่องใหญ่ เขาจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนแม่ยายของเขามายืมเงิน เขาบอกว่าไม่มี แม่ยายก็เริ่มค้นบ้าน ท้ายที่สุดก็หยิบอ่างกับเสื้อผ้าไปอย่างละหนึ่งชิ้น เขาโกรธจนคิดอยากจะด่าแม่ยายสักที ส่วนพี่สะใภ้สี่จ้าวนอนร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเตียง ทว่ากลับจนปัญญา

ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้วก็เจ็บใจ ถึงอย่างไรในบ้านก็ไม่ได้มีอะไรอยู่แล้ว ถ้าเงินก้อนนี้ยังถูกแม่ยายเอาไปอีก ชีวิตของพวกเขาจะใช้กันอย่างไร!

ไม่ได้ ไม่ต้องรอพรุ่งนี้หรอก ไปฝากตอนนี้นี่แหละ!

“ตอนนี้? นี่มืดขนาดนี้แล้ว คุณจะกลับมาตอนไหน?” พี่สะใภ้สี่จ้าวแอบเป็นกังวล

“ไม่เป็นไร!” พี่สี่จ้าวพูดจบก็เดินออกไป

“คุณไปยืมรถจักรยานของน้องหกสิ จะได้เร็วขึ้นหน่อย!” พี่สะใภ้สี่จ้าวตะโกนเตือน

“เข้าใจแล้ว!” พี่สี่จ้าวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมา

พี่สี่จ้าวเป็นคนมองการณ์ไกล วันรุ่งขึ้นแม่ยายของเขาก็มาหาจริงๆ

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวเป็นหญิงชราอายุห้าสิบกว่าปี แต่ดู ๆ แล้วหน้าตาเหมือนคนอายุเจ็ดสิบปี ทั้งผอมทั้งดำ โหนกแก้มสูง ริมฝีปากบาง เบ้าตาลึก ดวงตาก็ดูฝ้าฟาง

นางสวมด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าเทา กางเกงสีดำ รองเท้าเป็นรองเท้าที่ทำเอง ในมือถือถุงมาหนึ่งใบ มือของนางหยาบกร้านเป็นสีน้ำตาลเข้ม ราวกับว่าต่อให้ล้างทั้งชาติก็ไม่มีวันสะอาด

“แม่ มาทำอะไรคะเนี่ย?” พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นแม่ของตนมาก็ไม่ชอบและรู้สึกไม่สบายใจมาก ไม่รู้ว่าแม่มาครั้งนี้จะปล้นเอาอะไรไปอีก

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวดูลูกสาว อืม อ้วนแล้ว สีหน้าก็ดูดี จากนั้นก็ดูอู่หยาที่ถูกอุ้มอยู่ ริมฝีปากแดงฟันขาว อ้วนจ้ำม่ำ เห็นได้ชัดว่าชีวิตของลูกสาวผ่านไปได้ไม่เลวเลย จึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นทันใด

“แกคลอดลูกแล้ว แม่จะไม่มาดูได้ยังไงกัน แม่เอาข้าวมาให้นิดหน่อย เป็นข้าวใหม่ที่เพิ่งเก็บเมื่อสด ๆ ร้อน ๆ เลย เมื่อวานพ่อแกเพิ่งเป็นคนตำ” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวเข้ามาในห้อง นางวางถุงที่อยู่ในมือและขึ้นมานั่งบนเตียง “ลูกเขยล่ะ?”

“ไปขนฟืนแล้ว” พี่สะใภ้สี่จ้าวรินน้ำให้แม่ของหล่อน “ฉันสบายดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”

“แกเป็นก้อนเนื้อที่ออกมาจากร่างกายของฉัน จะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไง!” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยคำพูดที่ฟังดูดีมาก

พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับไม่ได้รู้สึกซึ้งใจแม้แต่น้อย คำพูดนี้หล่อนได้ฟังมาตั้งแต่จำความได้ ฟังมาหลายปีจนเบื่อเต็มทีแล้ว ที่สำคัญก็คือหล่อนไม่เหมือนกับก้อนเนื้อที่หล่นออกมาจากร่างกายของแม่เลยสักนิด ที่นางเป็นห่วงไม่ใช่หล่อน แต่เป็นทรัพย์สินของหล่อนต่างหากล่ะ

แต่พวกพี่สาวน้องสาวทั้งหกคนก็ถูกดูแลแบบนี้เหมือนกัน แม่เป็นห่วงแค่สิ่งของแต่ไม่ได้เป็นห่วงคน หล่อนไม่ได้สนใจมาตั้งนานแล้ว อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ

สองแม่ลูกพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่สองสามประโยค จากนั้นแม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวก็เริ่มเข้าประเด็น

“ฉันได้ยินมาว่าข้าวซานถุนของพวกแกขายกระต่ายร่ำรวยกันใหญ่เลย?” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวจ้องมองลูกสาว “แกเองก็เลี้ยงกระต่ายไว้เหมือนกันใช่ไหม? ขายได้เท่าไรล่ะ?”

หัวใจของพี่สะใภ้สี่จ้าวเต้นแรงขึ้นทันที ทว่าปากก็แสร้งทำเป็นพูดแบบขอไปที “พวกเราเลี้ยงแค่สามสี่ตัว แถมยังติดหนี้ด้วย ขายได้ก็เอาไปใช้หนี้แล้ว”

“ใช้หนี้แล้ว?” ดวงตาคู่นั้นของแม่พี่สะใภ้สี่จ้าวเขม็งมองทันที “แกติดหนี้กระต่ายของน้องสามีหกไม่ใช่เหรอ? ผ่านไปสักสองปีค่อยคืนจะเป็นอะไรไป?”

พี่สะใภ้สี่จ้าวถอนหายใจ “เลิกพูดเถอะค่ะ เป็นเพราะน้องหกต้องสร้างบ้านก็เลยเป็นหนี้ก้อนโต ตอนนั้นที่หมู่บ้านเราซื้อกระต่ายจากเขาก็ค้างจ่ายกันทั้งนั้นแหละ ตอนนี้ขายกระต่ายได้แล้วจะไม่ให้คืนเขาแล้วเขาจะเอาที่ไหนกิน”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวทำท่าทางไม่เชื่อถือคำพูดของพี่สะใภ้สี่จ้าว “บ้านอะไรถึงได้ติดหนี้มากขนาดนั้น! ตาแก่ซื่อเหล่านั่นในหมู่บ้านของพวกเรา สองคนตายายก็สร้างบ้านใหม่ไม่เห็นต้องจ่ายสักเฟินเดียว ใช้กองโคลนสร้างขึ้นมาก็ได้แล้ว หมอนั่นก็บอกว่าอยู่ได้ ฉันเห็นก็ไม่ได้แย่ไปกว่าบ้านของแกเลย”

พี่สะใภ้สี่จ้าวบุ้ยปาก แอบคิดในใจ บ้านที่สร้างด้วยโคลนจะเทียบกับบ้านที่สร้างขึ้นมาแบบจริงจังได้อย่างไรกัน? นั่นคือเพิงพักอาศัยต่างหากล่ะ!

แต่หล่อนรู้ดีว่าแม่ของตนอาจจะไม่เคยเห็นบ้านดี ๆ มาก่อน จึงแยกแยะได้ไม่ชัดเจน

“แม่ พ่อสบายดีนะคะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกลับแค่นเสียงจากลำคอ “แกไม่ต้องมาป้องกันฉันเหมือนกับป้องกันขโมยหรอก แกคิดว่าฉันมาที่นี่เพื่อเอาเงินค่ากระต่ายของแกเหรอ? คิดผิดแล้วล่ะ!”

พี่สะใภ้สี่จ้าวรู้สึกประหลาดใจมาก หากไม่ได้มาเพราะเงิน พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วล่ะ แต่สิ่งนี้ยิ่งทำให้หล่อนไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้มาเพราะเงินแล้วมาด้วยเรื่องอะไร หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าแค่มาเยี่ยมเยียน

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวถอนหายใจออกมา “คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ หมู่บ้านของพวกแกมีฉายภาพยนตร์กับแสดงงิ้วไม่ใช่เหรอ? แกรู้จักเสี่ยวหงไหม?”

“เสี่ยวหงไหน?” พี่สะใภ้สี่จ้าวคิดไม่ออกว่าเป็นใครเป็นชั่วขณะหนึ่ง

“ก็ลูกของป้าใหญ่ตระกูลซุนไง” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวเตือนด้วยความไม่พอใจ

พี่สะใภ้สี่จ้าวนึกได้ในทันที หล่อนพยักหน้ารัว ๆ “จำได้แล้ว เสี่ยวหงเป็นอะไรเหรอ?”

“เด็กนั่นกับแม่มาดูงิ้วได้สองวันแล้ว แล้วก็คิดว่าหมู่บ้านของพวกแกไม่เลวเลย วัยรุ่นที่เกิดทีหลังก็มีเยอะแยะ เสี่ยวหงปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ ถึงเวลาที่จะแต่งงานแล้วด้วย พอรู้ว่าแกอยู่หมู่บ้านนี้ ก็เลยไหว้วานให้ฉันมาถามแกหน่อยว่าสะดวกไหม ฉันคิด ๆ ดูแล้ว ถ้าเสี่ยวหงแต่งเข้ามาก็ได้เป็นเพื่อนกับแกพอดีเลย” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

เมื่อมีการฉายภาพยนตร์และการแสดงงิ้วในหมู่บ้านหนึ่ง หมู่บ้านอื่น ๆ ล้วนมาดูได้ พวกคนหนุ่มสาวจำนวนมากต่างเทียวไปเทียวมา มีหลายคนที่ถูกตาต้องใจกัน ตราบใดที่เป็นคนใช้ชีวิตจริงจังในบ้าน พ่อแม่ก็ยินดีและเต็มใจที่จะให้ปรองดองกัน

เพียงแต่ไม่สามารถออกหน้าแบบตรง ๆ ได้ หากไม่ชอบกันขึ้นมาคงขายหน้ามาก จึงต้องหาคนกลางเพื่อจับคู่ให้ บางคนก็ใช้แม่สื่อ บางคนก็เป็นญาติของญาติ โดยปกติแล้วจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า คนในหมู่บ้านต่างก็ฉลาดปราดเปรื่อง จึงไม่ค่อยเชื่อปากของแม่สื่อเท่าไรนัก

พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินก็สนใจขึ้นมา ขอแค่แม่ของตนไม่มาปล้นของในบ้าน เรื่องอื่นก็ย่อมช่วยเหลือได้

“คนที่เหมาะสมมีตั้งเยอะแยะ คนอายุมากหรืออายุน้อยก็มีหมด แต่ก็ต้องดูว่าหล่อนอยากได้คนแบบไหน” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

“หาให้ได้แบบน้องหกแกสิ” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดตรง ๆ

“อะไรนะ? น้องหก?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับชะงัก

“ใช่สิ ป้าใหญ่ของแกเคยเห็นน้องหกของแกมาก่อน แค่เห็นก็ชอบเลย แต่เสี่ยวหงอายุน้อยเกินไป อีกอย่างน้องหกของแกก็แต่งงานแล้วด้วย ก็เลยคิดว่ามีคนที่คล้าย ๆ กับน้องหกของแกบ้างไหม คนที่ใช้ชีวิตเป็น อายุไม่มาก ส่วนเรื่องอื่นอะไรก็ได้” แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

พี่สะใภ้สี่จ้าวยิ้ม “ใช้ชีวิตเป็น? น้องหกของฉันไม่ใช่คนใช้ชีวิตเป็นสักหน่อย ฉันก็บอกไปแล้วไง เขาสร้างบ้านจนกลายเป็นหนี้ก้อนโตเลย”

แม่ของพี่สะใภ้สี่จ้าวกลับแค่นเสียงในลำคอ “แกกลัวว่าฉันจะมาขอเงินถึงได้พูดแบบนี้มากกว่ามั้ง แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ? น้องหกของแกแค่เห็นก็รู้แล้วว่าฉลาด มีเหรอจะโง่ยอมเป็นหนี้เพื่อสร้างบ้าน?”

“แม่ แม่คิดผิดแล้ว น้องหกเป็นหนี้เพื่อสร้างบ้านจริง ๆ ไม่ได้มีแค่เขานะ พวกคนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งในหมู่บ้านเราก็เป็นหนี้เหมือนกัน ถ้าไม่เลี้ยงกระต่ายก็เอาไปซื้อที่ดินสร้างบ้าน เรื่องนี้ฉันต้องพูดให้ชัดเจน แม่เองก็อย่าไปปิดบังป้าใหญ่ล่ะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ไม่ว่าจะมาทางไหนก็ไว้ใจแม่ตัวเองไม่ได้เลยสินะพี่สะใภ้สี่

ไหหม่า(海馬)