บทที่ 251 นายน้อย ข้าต้องการผู้ช่วย
ตอนที่หลินเป่ยเฉินกลับไปถึงตำหนักไม้ไผ่ ก็ล่วงเข้าเวลา 23:00 น. ของเวลาโลกมนุษย์แล้ว
“ได้มาเท่าไหร่?”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ตกใจไม่น้อยเมื่อได้รับคำตอบว่า วันนี้พวกเขาได้กำไรจากบ่อนพนันมาถึง 16,000 เหรียญทองคำ
นั่นเท่ากับ 160 ล้านหยวนเลยนะ
หลินเป่ยเฉินตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นเงินขนาดนี้อีกหรือเปล่า
“เงินอยู่ที่ไหน? ไปเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
หวังจงก้มหน้าต่ำและไม่กล้าสบสายตาเขา “นายน้อยขอรับ อย่าหาว่าข้าทำเกินหน้าที่เลย แต่ข้านำเงินทั้งหมดไปฝากไว้ที่สำนักฝากเงินกระบี่สวรรค์ และข้าก็สมัครสมาชิกบัตรรูดเงินสดระดับสูงสุดเอาไว้ บัดนี้ข้าน้อยเหลือติดตัวอยู่ 1,000 เหรียญทองคำเท่านั้นขอรับ”
พูดจบ พ่อบ้านชราก็ยื่นส่งบัตรสีทองคำใบหนึ่งใส่มือหลินเป่ยเฉิน
เงินทั้งหมดรวมอยู่ในบัตรใบนี้
มันมีลักษณะเหมือนบัตรเครดิตทุกกระเบียดนิ้ว
“เฮ้อ…”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
บอกตามตรง เขาอยากจะมีประสบการณ์นอนบนกองเงินกองทองดูสักครั้งในชีวิต เขาอยากจะรู้นักว่าการนอนอยู่บนทองคำจำนวน 16,000 เหรียญมันจะให้ความรู้สึกเช่นไร
แต่คิดไปคิดมา หวังจงก็ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ถึงแม้ว่าแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์จะสามารถเก็บเงินทั้งหมดได้ก็ตาม แต่มันก็เสี่ยงที่เขาจะถูกเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกให้โอนเงินไปอีกครั้ง ดังนั้นการนำเงินทั้งหมดไปฝากไว้ที่สำนักฝากเงิน จึงถือว่ามีความมั่นคงต่อความมั่งคั่งของเขามากที่สุดแล้ว
หลินเป่ยเฉินมองบัตรสีทองคำในมือแววตาละห้อย
นี่คือเงินจำนวน 160 ล้านหยวน
หากเอากลับโลกมนุษย์ไปด้วยได้ก็คงจะดี
ต่อให้มันจะไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีหมื่นล้านพันล้าน แต่เงินก้อนนี้ก็มากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ และช่วยให้เขาไม่ต้องทำงานหนักตลอดชีวิต ดีไม่ดีอาจมีเงินเก็บสำหรับเที่ยวอาบอบนวดได้ทุกวันด้วยซ้ำ
ทำไมตอนอยู่บนโลกมนุษย์เขาไม่รวยแบบนี้บ้างนะ?
หรือว่าเขาจะหาวิธีนำเงินพวกนี้กลับโลกมนุษย์ดี?
หลังจากนั้น ความคิดของเด็กหนุ่มก็ออกทะเลไปไกล
หวังจงเริ่มเห็นสีหน้าของนายน้อยเหม่อลอย ก็เรียกกลับมาให้ได้สติและรายงานเรื่องของกงกงกับพวกพ้อง “บัดนี้ กงกงรับเงินของพวกเราไปว่าจ้างกลุ่มคนคอยสืบความเคลื่อนไหวและตรวจสอบความผิดปกติทั่วทั้งเมืองแล้วขอรับ หลังจากนี้ ไม่ว่ามีข่าวคราวใดเกี่ยวกับนายน้อย ข่าวเหล่านั้นก็จะมาถึงหูนายน้อยอย่างรวดเร็ว”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องรายงาน” หลินเป่ยเฉินคำรามในลำคอ “หรือว่าเจ้าอยากจะทวงความดีความชอบ?”
หวังจงหัวเราะแหะๆ “ข้าพเจ้ามีนามว่าหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดี…”
“หุบปาก” หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นและกล่าวต่อ “หัดเปลี่ยนประโยคบ้างได้แล้ว คนเขาเบื่อกันหมดแล้วเนี่ย”
หวังจงแอบบ่นอยู่ในใจว่านายน้อยของเขาช่างมีความต้องการซับซ้อนมากขึ้นทุกที หลังจากคิดหาประโยคใหม่สักครู่หนึ่ง ชายชราก็กล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีนามว่าหวังจง…”
“ช่างมันเถอะ คุยเรื่องอื่นกันดีกว่า” หลินเป่ยเฉินว่า “แล้วเจ้าจะให้พวกของกงกงไปสืบข่าวเรื่องอะไร? มีคนอยากจะลอบสังหารข้าอย่างนั้นหรือ?”
หวังจงรีบก้มหน้าตอบ “นายน้อย บัดนี้นายท่านมีฐานะเป็นนักโทษหนีคดี ส่วนคุณหนูใหญ่ก็ไม่รู้หายตัวไปไหน แต่นายน้อยกลับกลายเป็นคนดังประจำเมือง ถ้ามีคนคิดไม่ดี หรือเป็นพวกที่มีความแค้นเก่ากับบิดาของท่าน…”
“ถ้าอย่างนั้น ไอ้พวกคนที่เจ้าจ้างมาเนี่ย มันจะสามารถทำอะไรได้?” หลินเป่ยเฉินยังคงไม่เชื่อมั่นในแผนการของชายชราอยู่ดี
หวังจงตอบอย่างรวดเร็ว “นายน้อยอย่าได้ประเมินอันธพาลพวกนี้ต่ำเกินไปเด็ดขาด เมื่อถึงช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย คนที่รู้ข้อมูลเร็วที่สุดจะเป็นคนที่มีความได้เปรียบมากที่สุด ถ้าเราใช้พวกเขาให้ถูกวิธี ก็เท่ากับว่าเราล้ำหน้าไปกว่าฝ่ายตรงข้ามก้าวหนึ่งแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยืนคิดอีกเล็กน้อย ก็เห็นด้วยว่าพ่อบ้านประจำตัวพูดจามีเหตุผล
คนที่มองการณ์ไกล ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่คิดอะไรตื้นเขิน
เมื่อเตรียมตัวพร้อมรับอันตรายรอบด้าน เขาก็ไม่ต้องมานอนหวาดระแวงอีกต่อไป
“ก็ดี คอยฟังข่าวก็แล้วกัน” หลินเป่ยเฉินกล่าว
หวังจงเงียบไปอีกเล็กน้อย ก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา “นายน้อยขอรับ มีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าอยากรบกวน คือว่าข้าอยากได้ผู้ช่วย”
“หา?” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตมองหน้าพ่อบ้านชรา ใบหน้ากระตุกยิก พูดด้วยเสียงกระซิบ “หญิงรับใช้ทั้งสองนางนั้น เจ้ายังนำมาเป็นภาระให้ข้าไม่พออีกหรือ? ถึงเจ้าจะแก่หงำเหงือก แต่สติปัญญาของเจ้าก็ควรจะใช้การได้มากกว่านี้ ฝันไปเถอะ คิดอยากจะมีผู้ช่วย หรือว่าเจ้าอยากจะเปิดฮาเร็มของตัวเอง…หึหึ แต่ถ้าเจ้าใช้เงินตัวเองล่ะก็ ข้าก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ…”
หวังจงขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
“นายน้อยขอรับ ผู้ช่วยที่ข้าพูดถึงคืออากวงต่างหาก”
ชายชรากระซิบกระซาบ
เจ้าหนูอากวงเนี่ยนะ?
จะเอาไปใช้เป็นผู้ช่วยทำอะไร?
หลินเป่ยเฉินถามออกมา “เจ้าจะเอามันไปทำไม?”
ชายชราตอบว่า “ไปฝึกงานกับพวกกงกงขอรับ เจ้าหนูตัวนี้มีความคล่องแคล่วปราดเปรียว น่าจะเหมาะกับงานสืบข่าวเป็นอย่างดี”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจยาวแรง “ข้าต้องถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อนนะ”
จังหวะนั้น เจ้าหนูอสูรก็เดินเข้ามาในห้องพอดี มันได้ยินบทสนทนาที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เมื่อได้ยินคำร้องขอของพ่อบ้านชรา เจ้าหนูอากวงก็น้ำตาไหลพรากด้วยความตื่นเต้น มันพยักหน้าอยู่ตลอดเวลา สื่อความหมายว่ายินดีทำหน้าที่เป็นสายลับสืบข่าว
“ดีมาก ในเมื่อเจ้าอยากไปก็ไปเถิด” หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัด “แต่ห้ามลืมส่งการบ้านเด็ดขาด”
ความตื่นเต้นบนใบหน้าของอากวงสลายหายวับไปทันที
นี่มันอะไรกัน
น้ำตาอุ่นๆ ไหลหยดลงบนพื้น แตกกระจายกลายเป็นหยดน้ำ
“นายน้อยขอรับ ว่าแต่เราจะเรียกกลุ่มสืบข่าวกลุ่มนี้ว่าอะไรดี?”
หวังจงขอความเห็น
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ชื่อกลุ่มหรือ? เรียกว่ากลุ่มสายลับมุสิกก็แล้วกัน”
สายลับมุสิก?
ถึงแม้หวังจงจะรู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้าน อีกอย่าง มันก็เป็นชื่อที่ฟังดูชัดเจนดี หลังจากนั้น พ่อบ้านชราก็ลากตัวเจ้าหนูอสูรที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดออกไปจากบ้านพัก
เมื่อออกมาพ้นตำหนักไม้ไผ่แล้ว ชายชราถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
โชคดีที่นายน้อยโง่เขลามากเกินไป จึงไม่ทราบว่าจำนวนเงินเดิมพันที่ควรได้นั้นมันไม่ถูกต้อง นายน้อยไม่รู้เลยว่าหวังจงคนนี้แอบเก็บเอาไว้ใช้เองถึง 2,000 เหรียญทองคำ
นับเป็นโชคดีของเขาเหลือเกินที่มีนายน้อยโง่เขลาเบาปัญญา
หวังจงคิดด้วยความกระหยิ่มใจ
…
ดึกมากแล้ว
หลินเป่ยเฉินนอนไถหน้าจอโทรศัพท์เล่น
หลายวันนี้ เขาทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งในหลายบททดสอบของการแข่งขัน แต่โทรศัพท์ก็ยังไม่ส่งสัญญาณเตือนว่ามีการอัปเดตแม้แต่น้อย แอปพลิเคชันทุกอย่างยังคงเป็นเวอร์ชันเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หรือว่าต้องรอให้จบการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองอย่างเป็นทางการก่อนนะ โทรศัพท์ถึงจะได้รับการอัปเดต?
เด็กหนุ่มเปิดเข้าไปในแอปวีแชท และกดเข้าไปที่รูปภาพประจำตัวของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม เขาจ้องมองเรียวขาขาวสวยในรูปภาพนั้น พลัน หัวสมองก็ฉายภาพวันที่วิดีโอคอลล์กับนาง แล้วลำคอของเขาก็แห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ไม่รู้เหมือนกันนะว่าป่านนี้ยัยเทพีกระบี่หลอกลวงนี่กำลังทำอะไรอยู่
“สบายดีไหม?” หลินเป่ยเฉินลองส่งข้อความไปทักทาย
“ไม่สะดวกคุย” เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาทันที
หลินเป่ยเฉินพิมพ์ข้อความกลับไปว่า “ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักหน่อย”
“ข้าไม่มีเวลามาคุยกับเจ้าหรอก ข้ากำลังหลบหนีอยู่…ขอตัวก่อน”
เทพีฝึกหัดส่งข้อความตอบกลับอย่างเร็วไว
หลังจากนั้น นางก็ไม่ตอบข้อความของหลินเป่ยเฉินอีกเลย
เด็กหนุ่มวางโทรศัพท์ลง และหลับตาบังคับให้ตนเองนอนในที่สุด
…
วันต่อมา
ท้องฟ้าอุดมด้วยเมฆครึ้มราวกับว่าโลกนี้ไม่มีสายลม
แต่คุณภาพของอากาศสะอาดปลอดโปร่ง ปราศจากฝุ่น PM 2.5
ณ สถานศึกษากระบี่หลวง
สนามประลองถูกจัดขึ้นในหอประชุมใหญ่ที่สุดของสถาบัน
และสิ่งที่แตกต่างจากการแข่งขันก่อนหน้านี้ก็คือ การประลองยุทธ์ในวันนี้ ทางผู้จัดได้เปิดให้ประชาชนชาวเมืองหยุนเมิ่งได้เข้ามารับชมถึง 6,000 คน ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ทุกที่นั่งก็ถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ชาวเมืองต่างก็ส่งเสียงร้องตะโกนให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันที่ตนเองชื่นชอบ
หลินเป่ยเฉินและบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้ง 40 คนเดินเข้าสู่สนามประลองเพื่อจับหมายเลขประจำตัว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาเดินนำทางเข้าไปนั่งพักในห้องแต่งตัว
มีการสร้างม่านพลังขึ้นมาบังส่วนหนึ่งของหน้าจอ ป้องกันไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันรู้ว่า ตนเองถูกจับฉลากให้ต่อสู้กับใคร
พวกเขาจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ก็ต่อเมื่อได้เวลาเดินเข้าสู่สนามประลองแล้วเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินเดินมานั่งอยู่ในห้องแต่งตัว สองตาจ้องมองหน้าจอการถ่ายทอดสด และรอคอยเวลาที่การประลองของตนเองจะมาถึง