บทที่ 250 เพื่อเงินจึงตอบตกลง
“ถ้าจะแพงขนาดนั้น…ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
หลินเป่ยเฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มกับเงินที่จะต้องเสีย
เดี๋ยวลองเดินดูร้านอื่นเอาดีกว่า
หยางเฉินโจวพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาอุตส่าห์ลงทุนเขียนแบบให้จนเสร็จสรรพ แต่เมื่อดูแล้วกลับบอกว่าจะไม่เอาเนี่ยนะ
ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่หลู่หลิงโจวก็รีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์โดยพูดว่า “คุณชายหลิน อันที่จริงแล้ว พวกเรามีเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับท่าน ไม่ทราบว่าคุณชายจะสนใจหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ว่าพูดอย่างไร ข้าก็ว่าราคานี้แพงเกินไปอยู่ดี”
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร้านขายอาวุธร้านนี้ขูดเลือดขูดเนื้อลูกค้าเหลือเกิน
ฉู่เหินกลับหัวเราะอย่างมีความสุข ยกสุราขึ้นจิบและเคี้ยวถั่วลิสง เหมือนกำลังดูการแสดงเพื่อผ่อนคลายจิตใจอย่างไรอย่างนั้น
หลู่หลิงโจวหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “คัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือเป็นสิ่งที่มีค่าเกินกว่าคุณชายคาดคิด เรากำลังพูดคุยกันว่าพอจะมีทางเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะสร้างแขนกลชนิดนี้วางจำหน่ายตามเมืองต่างๆ…”
ผลิตแขนกลขายอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
ฉู่เหินไม่ได้หัวเราะอีกต่อไปแล้ว เขาวางจอกสุราลงและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เจ้าหนู ทำไมทำหน้าแบบนั้น…อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน?”
หลินเป่ยเฉินยักไหล่ “เรื่องนี้ข้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์ตัดสินใจก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ
หยางเฉินโจวได้ยินคำตอบดังนั้นก็ถึงกับชะงักกึก
หลู่หลิงโจวยิ่งมีสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือจัดเป็นอวัยวะเทียมที่สร้างขึ้นได้ยากมาก เมื่อมีคัมภีร์เล่มนั้นอยู่ในมือ ก็เท่ากับได้ครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาล เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงได้ทิ้งขว้างมันไม่เห็นค่าเช่นนี้เล่า?
หรือว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นพวกสมองไม่ปกติจริงๆ?
ฉู่เหินส่ายหน้าปฏิเสธ “เจ้าจะโยนคัมภีร์ล้ำค่าเช่นนี้ทิ้งให้กับผู้อื่นไม่ได้ ข้าตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นหยางเฉินโจวก็ตาม อย่างไรเสียก็ต้องมาคุยรายละเอียดกันให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า”
“ถูกต้อง” หยางเฉินโจวพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พี่ใหญ่ฉู่กล่าวได้ครบถ้วนแล้ว ข้าเปิดร้านขายศาสตราวุธ เปรียบเสมือนเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กหน่อย”
“แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าข้ากับหลู่หลิงโจวไม่มีเงินทุนที่จะวางขายแขนกลด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น เราจึงต้องอาศัยวางขายตามร้านศาสตราวุธพันธมิตรในเมืองต่างๆ ของมณฑลเฟิงอวี่ และข้าวาดหวังว่ามันจะสามารถวางขายได้ทั่วทั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ รบกวนคุณชายหลินช่วยบอกมาเถิดว่าคัมภีร์เล่มนี้มีราคาเท่าไหร่”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องหันกลับมายืนหน้าเครียด
สำหรับเขาแล้ว คัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือมีประโยชน์ก็แค่สร้างแขนใหม่ให้แก่ฉู่เหิน นอกเหนือจากเรื่องนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่คิดเลยว่ามันจะมีประโยชน์กับเขาได้อย่างไร
ทำไมเขาถึงไม่เคยคิดเรื่องราวนี้มาก่อนเลยนะ?
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะตระหนักว่าตนเองไม่รู้ราคากลางของคัมภีร์เล่มนี้เลย
“ท่านเป็นคนกำหนดราคาก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มพูด
หยางเฉินโจวเงียบไปพักใหญ่และตอบว่า “ราคาของคัมภีร์เล่มนี้อยู่ที่ 100 เหรียญทองคำ”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
คัมภีร์โกโรโกโสเล่มนั้นมีราคาถึง 100 เหรียญทองคำเลยหรือ?
ได้ราคาดีไม่น้อยนี่นา
พลัน หลู่หลิงโจวพูดขึ้นมาว่า “ถึงขณะนี้ ร้านเราอาจจะสามารถจ่ายได้เพียง 100 เหรียญทองคำต่อเดือน แต่เมื่อผลิตแขนกลขึ้นมาวางขายตามสาขาต่างๆ ในเมืองอื่นแล้ว ยอดขายของเราน่าจะสูงมากขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น คุณชายหลินก็สามารถขอปรับราคารายเดือนเพิ่มขึ้นได้เช่นกันเจ้าค่ะ”
เดี๋ยวก่อนนะ?
นี่หมายความว่าหยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวจะต้องจ่ายให้เขาเดือนละ 100 เหรียญทองคำอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ทำไมถึงได้มากมายขนาดนั้น?
สามารถเอามาชาร์จโทรศัพท์ได้เป็น 10 ครั้งเลยนะ
“ตกลง” หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “นับเป็นราคาที่สมเหตุสมผล”
ความจริงแล้ว เขาน่าจะโก่งราคาขึ้นอีกสักหน่อย
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนที่ชอบขูดเลือดขูดเนื้อใครมากเกินไป
และอันที่จริง เขาไม่ใช่คนที่ต้องรับผิดชอบการขาย
ผู้ที่ต้องทำงานหนักก็คือร้านขายอาวุธหัวค้อนเหล็กต่างหาก เพราะนอกจากพวกเขาจะต้องสร้างแขนกลแล้ว ก็ยังต้องหาลู่ทางวางจำหน่ายอีกด้วย
“แต่ข้ามีข้อแม้อื่นๆ อยู่อีก…”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก็พูดออกมาว่า “พวกท่านห้ามไปบอกใครเด็ดขาด ว่าคัมภีร์เล่มนี้มาจากข้า บัดนี้ข้ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อยากให้มีเรื่องอื่นมารบกวนจิตใจนอกจากเรื่องการฝึกกระบี่ ถ้าเกิดมีคนจากร้านขายอาวุธอื่นๆ ต้องการจะซื้อข้อมูลในคัมภีร์เล่มนี้ไปใช้บ้าง พวกท่านสามารถตัดสินใจแทนข้าได้ตามสบาย เพราะข้าเชื่อมั่นว่าท่านมีวิสัยทัศน์มากพอที่จะชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียได้อยู่แล้ว”
หยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวพร้อมใจกันเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินไม่เชื่อใจพวกเขามากเกินไปหน่อยหรือไร?
คัมภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือมีความล้ำค่าเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อถูกประกาศออกไปว่ามีแขนกลชนิดนี้วางจำหน่าย ย่อมต้องมีจอมยุทธ์ยินดีตัดแขนของตนเองทิ้ง เพื่อมาสวมใส่แขนกลของพวกเขาแน่นอน
นั่นหมายความว่ากำลังจะมีเงินทองไหลมาเทมา
แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะไม่เข้าใจเลยว่าคัมภีร์เล่มนี้มีค่ามากขนาดไหน
เด็กหนุ่มยินยอมมอบความเชื่อใจให้พวกเขาถึงขนาดนี้
ทำให้หยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
ครั้งแรกที่พบกัน พวกเขาเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นตัวร้ายกาจ จึงหลอกซื้อกระบี่มาในราคาที่เด็กหนุ่มต้องขาดทุนหลายร้อยเหรียญ
หยางเฉินโจวตั้งใจที่จะโก่งราคาค่าธนูของเด็กหนุ่มอีกครั้ง เพราะว่าหลินเป่ยเฉินชอบพูดจาเหน็บแนมเขามากเกินไป
แต่ขณะนี้ หยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวได้แต่หันมองตากัน จากนั้นจึงทำใจว่าเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ก็มีปากคอเราะรายเช่นนี้อยู่แล้ว ต่อให้ไม่ใช่หลินเป่ยเฉิน เป็นคนอื่นก็คงพูดจาเหน็บแนมพวกเขาเหมือนกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้หยางเฉินโจวต้องมองหลินเป่ยเฉินในมุมใหม่ทั้งหมด
หลังจากนิ่งเงียบกันอยู่ครึ่งค่อนวัน หยางเฉินโจวก็พูดออกมาอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างนั้น ทุกครั้งที่มีร้านขายศาสตราวุธอื่นๆ มาขอซื้อข้อมูลในคัมภีร์ ข้าจะแบ่งเงินให้ท่าน 20 ส่วนจากยอดเงินทั้งหมด นอกจากนี้ ผลกำไรที่ร้านศาสตราวุธหัวค้อนเหล็กทำได้โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ก็จะถูกแบ่งให้ท่าน 20 ส่วนเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด “ประเสริฐ ประเสริฐมาก แล้วนับจากนี้ไป ข้าสามารถเลือกอาวุธชิ้นไหนก็ได้ในร้านของท่านด้วยใช่ไหม?”
หยางเฉินโจวระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “ร้านของข้า ก็เหมือนร้านของท่าน คุณชายสามารถหยิบจับชิ้นไหนก็ได้ตามใจชอบ และในอนาคตหลังจากนี้ ข้าจะบำรุงรักษากระบี่ให้ท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หากท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาคงไม่เห็นด้วย แต่ข้ายึดถือคุณชายหลินเป็นเสมือนพี่น้องร่วมสาบาน ข้าเคารพในความกล้าหาญของท่าน เพราะฉะนั้น ข้าจะไม่โกหกท่านอีกต่อไป”
พูดจบแล้ว ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบถุงเงินออกมายื่นส่งให้หลินเป่ยเฉิน และอธิบาย “นี่คือเงิน 200 เหรียญทองคำ ซึ่งเป็นเงินค่ากระบี่ที่ท่านควรได้ตอนมาขายครั้งที่แล้ว”
หืม
สรุปว่าตอนนั้นหยางเฉินโจวตั้งใจแกล้งกดราคาเขาหรือนี่
หลินเป่ยเฉินโกรธแค้นจนแทบจะกระอักเลือด
แต่เขาไม่แสดงความโกรธแค้นออกมาทางสีหน้าสักนิดเดียว
สำหรับคนที่เปิดร้านค้ากระบี่ พวกเขาย่อมหวังผลกำไร ไม่ได้ทำการกุศล
หลังจากรับถุงเงิน 200 เหรียญทองคำมาถือแล้ว หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ สุดท้ายก็กล่าวว่า “ท่านเอาเงินพวกนี้ไปเป็นค่าซื้อวัสดุสำหรับสร้างธนูกับลูกศรของข้าเถิด พี่เฉินโจว ช่วยเร่งมือให้หน่อยก็ดีนะ ถ้าได้ใช้งานในระหว่างการแข่งขันคงมีประโยชน์มากแน่ๆ”
หยางเฉินโจวส่งถุงเงินคืนกลับไปให้เด็กหนุ่ม “นี่คือเงินที่ควรจะเป็นของท่าน ได้โปรดเก็บเอาไว้เถิด ส่วนเรื่องธนูและลูกศรของท่านนั้น ประมาณบ่ายวันพรุ่งนี้ ข้าจะให้เมียสุดที่รักของข้า นำไปส่งมอบให้ท่านที่สถานศึกษากระบี่หลวงเอง”
หลู่หลิงโจวได้ยินคำพูดนั้นพลันหน้าแดงด้วยความเขินอายและต้องทุบไหล่หยางเฉินโจวเสียงดังพลั่กพลั่ก
หยางเฉินโจวหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “คุณชายหลินไม่ใช่คนอื่นคนไกลอยู่แล้ว…”
เมื่อคิดดูอย่างละเอียดรอบคอบ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทำตัวเกรงใจอีกต่อไป เขารับถุงเงินมาเก็บเอาไว้ เพราะอย่างไรนี่ก็ควรเป็นเงินของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หยางเฉินโจวกล่าวออกมาอีกครั้งหนึ่งว่า “ส่วนเรื่องการผลิตแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ ข้าเข้าใจทุกส่วนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว จากนี้ข้าจะวางขายแขนกลเป็น 3 ระดับ ไล่จากระดับแขนกลที่อ่อนแอที่สุดไปจนถึงแขนกลที่แข็งแกร่งที่สุด และแน่นอนว่าพวกมันต้องมีราคาแตกต่างกัน ข้าจะอาศัยการโฆษณาผ่านปากต่อปากของกลุ่มลูกค้า…”
เฮ้ย
นี่มันแนวคิดทำธุรกิจเหมือนโลกมนุษย์เลยนี่นา
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าหยางเฉินโจวมีหัวการค้าไม่ต่างจากคนที่เรียนจบด้านบริหารธุรกิจด้วยซ้ำ
“เอาเถอะ จากที่ฟังท่านพูดมาทั้งหมดนี้ ข้ามั่นใจว่าพี่เฉินโจวต้องจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแน่นอน”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างชัดเจนว่า เขาไม่มีเจตนายุ่งเกี่ยวกับการบริหารร้านเลยแม้แต่น้อย
ฉู่เหินที่ยืนอยู่ด้านข้าง มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สองเค่อต่อมา ลูกศิษย์และอาจารย์ก็เดินออกมาจากร้านขายอาวุธหัวค้อนเหล็ก ท้องฟ้ามืดมิดล่วงเลยเข้าสู่ยามราตรี ในระหว่างที่เดินไปบนท้องถนน ฉู่เหินก็อดถามออกมาไม่ได้ “เจ้าหนู เจ้าเรียนวิธีพิชิตใจคนมาจากบิดาของเจ้าใช่ไหม?”
“พิชิตใจอะไรหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามกลับไป “อาจารย์ฉู่คิดมากเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับผู้ใด จะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร”
ฉู่เหินตอบว่า “เจ้ารู้ไหมหยางเฉินโจวเป็นคนที่ไว้ใจผู้อื่นยากขนาดไหน แต่การที่เจ้ามอบคัมภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือให้เขา มันก็ทำให้หยางเฉินโจวเชื่อใจเจ้าขึ้นมาทันที มิหนำซ้ำ ยังยอมให้เจ้าเป็นหุ้นส่วนในร้านหัวค้อนเหล็กและแบ่งปันยอดขายถึง 20 ส่วนให้เจ้าอีกด้วย อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เห็นสายตาที่พวกเขามองเจ้าไหม แทบจะกราบไหว้เป็นเทพเจ้าอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น อาจารย์คิดว่าข้าเอาเปรียบพวกเขามากเกินไปหรือเปล่าขอรับ?” หลินเป่ยเฉินสอบถาม
ฉู่เหินส่ายหน้า “ไม่เอาเปรียบ มีแต่เจ้าด้วยซ้ำที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในระยะยาว”
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ถือว่าเป็นค่าซื้อน้ำใจของพวกเขาก็แล้วกันขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างว่าง่าย ส่งเสียงหัวเราะเบิกบานใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “ในเมื่อตอนนี้ข้าเป็นเสมือนน้องเล็กของหยางเฉินโจว และอาจารย์ฉู่ก็เป็นพี่ใหญ่ จากนี้ไป พวกเรามีฐานะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้วนะขอรับ เท่ากับว่าข้าสามารถเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้เช่นกันใช่ไหม?”
ฉู่เหินตวาดกลับมาทันที “แต่ตอนอยู่ในสถาบัน เจ้ายังต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ฉู่”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์
ฉู่เหินได้แต่พูดออกมาอย่างขอความเห็นใจ “ไว้หน้าข้าบ้างเถอะนะ เจ้าลูกเต่า”