บทที่ 249 เสริมความแข็งแกร่ง
ทั้งไป๋ชินหยุนและเยว่หงเซียงต่างก็รีบเข้ามาแสดงความยินดีกับเด็กหนุ่มทั้ง 2 คน
พวกนางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินกับฮันปู้ฟู่จะสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้แน่นอน
“คืนนี้อาจารย์ใหญ่ก็จัดเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งอีกใช่ไหมเจ้าคะ?” ไป๋ชินหยุนถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
หลิวฉีไห่ตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว อาจารย์ใหญ่บอกให้พวกเรารับประทานได้เต็มที่ เดี๋ยวท่านมาจ่ายเงินให้เอง”
หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนตะโกนด้วยความดีใจออกมาพร้อมกัน
ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที
“โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งอย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นจะมีสิ่งใดประเสริฐเลิศล้ำ ต่อให้พวกเจ้าขอร้อง ข้าก็ไม่เห็นอยากไป…”
เฒ่าทะเลพยายามรักษาภาพลักษณ์ ยืนลูบหนวดเคราด้วยสีหน้าเยือกเย็น
แต่รู้ตัวอีกที พวกของหลินเป่ยเฉินเดินขึ้นรถม้ากันหมดแล้ว ไม่มีใครสนใจเขาสักคนเดียว
“อ้าว รอข้าด้วยสิเฮ้ย”
สุดท้าย เฒ่าทะเลก็ต้องวิ่งไล่ตามทุกคนขึ้นรถม้าไปโดยดี
เฉาพั่วเถียนยืนอยู่ใต้รูปปั้นในอนุสรณ์กระบี่ เฝ้ามองกลุ่มคนของสถานศึกษากระบี่ที่สามเดินทางจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮา แล้วรอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“บัดนี้หัวเราะได้ก็จงหัวเราะไว้เถิด เพราะอีกไม่นาน พวกเจ้าจะไม่มีทางหัวเราะได้อีกแล้ว”
พูดจบ เด็กหนุ่มผมทองก็หมุนตัวเดินจากมา
หลิงเซวียนยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งของอนุสรณ์กระบี่ กำลังจ้องมองชื่อของเยว่เว่ยหยางที่ปรากฏอยู่บนแท่งหิน ไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมกำลังคิดอะไรอยู่
บรรดาผู้เข้าแข่งขันแยกย้ายกระจายตัว
เสียงแห่งความวุ่นวายในสถานศึกษากระบี่หลวงเริ่มเบาบางลง
หลิงเฉินนั่งอ่านหนังสืออยู่ในหอสมุดเงียบๆ
นางเป็นลูกศิษย์ของสถาบันแห่งนี้ และด้วยความที่มีสถานะเป็นลูกศิษย์อัจฉริยะ เด็กสาวจึงได้รับสิทธิพิเศษประจำตัวมากมาย และในหลายๆ ครั้ง การอยู่ที่สถานศึกษากลับทำให้หลิงเฉินรู้สึกสบายใจมากกว่าการกลับไปที่จวนผู้ว่าเสียอีก
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว
ในหอสมุดจุดโคมไฟ
เมื่อมองเข้าไปผ่านทางหน้าต่าง ก็จะเห็นเด็กสาวผู้สวยงามที่สุดในปฐพีกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเอาจริงเอาจัง ชวนให้ผู้จ้องมองรู้สึกเหนือจริงเกินบรรยาย
ในเวลาเดียวกันนั้น
เยว่เว่ยหยางกำลังเดินกลับไปยังวิหารเทพกระบี่
เด็กสาวกระโดดโลดเต้นพร้อมกับฮัมเพลงในลำคออย่างมีความสุข
แต่ทันใดนั้น เยว่เว่ยหยางหยุดชะงัก
“นั่นใคร?”
หลิวฉีไห่หันขวับมองกลับไปด้านหลัง
แต่บนท้องถนนมีเพียงสายลม ไม่ปรากฏเงาร่างผู้คน
สายลมยามราตรีโชยพัด ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างทางส่งเสียงดังแกรกกราก
เงาของต้นไม้เหล่านั้นทอดตัวลงบนพื้นดินใต้แสงจันทร์
“หรือว่าเราจะคิดไปเองนะ?” เยว่เว่ยหยางสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านและออกเดินต่อไป
หนึ่งเค่อต่อมา ร่างผอมสูงของคนผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินออกมาจากดงไม้ข้างทาง
“ระวังตัวแจเชียวนะ”
เขาจ้องมองนักบวชสาวเดินขึ้นภูเขาไปจนลับตา แล้วในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา เด็กหนุ่มก็หันหลังกลับ ไม่ได้ติดตามเยว่เว่ยหยางไปอีก
…
ณ โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง
“ว่าไงนะ? ของเก่าอาจารย์ใหญ่ก็ยังไม่มาจ่ายเลยหรือ?”
หลิวฉีไห่มีสีหน้าตกใจสุดขีดเมื่อเด็กรับใช้ภายในโรงเตี๊ยมเดินมาแจ้งยอดค่าอาหาร
“ในเมื่อพวกท่านเป็นแขกของอาจารย์ใหญ่หลิง อย่างนั้นก็รวมของเก่าด้วยเลยนะขอรับ สรุปแล้ว พวกท่านต้องจ่ายทั้งหมด 1,450 เหรียญทองกับอีก 32 เหรียญเงินขอรับ”
แววตาของเด็กรับใช้ขึงขัง สีหน้าจริงจังไม่ล้อเล่น
“แต่ว่า…”
หลิวฉีไห่อึกอัก
อาจารย์ใหญ่หนออาจารย์ใหญ่ ถ้าไม่มีเงินแล้วจะเลี้ยงพวกเขาทำไม? ตาเฒ่านั่นคิดอะไรอยู่กันแน่?
แม้แต่หลินเป่ยเฉินที่สั่งอาหารกลับบ้านหลายห่อ ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกแล้วเช่นกัน
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
อาจารย์ใหญ่ของเขาเป็นพวกที่ชอบรับประทานอาหารแล้วชักดาบอย่างนั้นหรือ?
แถมยังหลอกให้ลูกศิษย์มาจ่ายเงินแทนตัวเองด้วย?
จอมยุทธ์ซึ่งรับหน้าที่คุ้มกันโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งจำนวนหลายสิบคน เดินเข้ามาห้อมล้อมคนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามเอาไว้รอบด้าน
“ช่างเถิด เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง เงินเพียงเท่านี้ถือว่าเรื่องเล็กน้อยนัก…”
ไป๋ชินหยุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรำคาญใจและโยนบัตรสี่เหลี่ยมสีดำใบหนึ่งให้กับเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยม “ไม่ต้องใช้รหัสผ่าน นี่คือบัตรสมาชิกระดับสูงสุดของสำนักฝากเงินกระบี่สวรรค์ เอาไปรูดซะ…”
ดวงตาของเด็กรับใช้ประจำโรงเตี๊ยมลุกวาวขึ้นเมื่อเห็นบัตรใบนั้น
ในเมืองหยุนเมิ่ง มีคนไม่มากนักที่จะสามารถครอบครองบัตรเช่นนี้ได้
นั่นหมายความว่าเด็กสาวร่างเล็กคนนี้มาจากครอบครัวอภิมหาเศรษฐีอย่างนั้นหรือ?
หลังจากเด็กรับใช้ถือบัตรหายไปสักครู่หนึ่ง เขาก็เดินกลับมาแจ้งว่าการจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าไป๋ชินหยุนได้เงินจากทางบ้านมาโรงเรียน ที่ตีเป็นค่าเงินของโลกมนุษย์สูงถึงเดือนละสิบล้านหยวน
เฮ้อ ทำไมเขาถึงลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ลงคอนะ
เมื่อก่อนเขาไม่น่าทำตัวหยาบคายกับนางเลย
บุรุษไม่ควรทำตัวหยาบคายกับสตรีอยู่แล้ว
นี่ไม่เกี่ยวกับว่าพอทราบว่าไป๋ชินหยุนมีฐานะทางบ้านร่ำรวย เขาก็จะทำตัวดีกับนางหรอกนะ
หลินเป่ยเฉินเชื่อมั่นว่าตนเองถูกสั่งสอนมาให้เคารพในตัวของเพศตรงข้ามมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
หลังจากจ่ายเงินและออกมาจากห้องอาหารได้โดยปลอดภัย สายตาที่คณะอาจารย์จ้องมองไป๋ชินหยุนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พวกเขาเดินออกมานอกโรงเตี๊ยม
หลินเป่ยเฉินนัดแนะกับฉู่เหินเอาไว้ว่าจะไปที่ร้านหัวค้อนเหล็กด้วยกัน เพื่อสร้างอาวุธไว้เสริมความแข็งแกร่งสัก 2-3 อย่าง
การแข่งขันรอบต่อไปจะเป็นการประลองยุทธ์และการแบ่งกลุ่มชิงธง
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องหาอาวุธที่ดีมากกว่าที่เขามีอยู่ในขณะนี้
ใช้เวลาไม่นาน สองศิษย์อาจารย์ก็ไปถึงร้านขายศาสตราวุธของหยางเฉินโจว
เมื่ออธิบายความต้องการเสร็จสิ้น หยางเฉินโจวก็หันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มสายตาแปลกประหลาดและถามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ว่า “คุณชายหลินอยากให้ข้าผลิตท่อเหล็กสำหรับเป่ายาปลุกกำหนัดด้วยหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกด้วยความอับอาย
หยางเฉินโจวก็ดูการถ่ายทอดสดเมื่อกลางวันด้วยสินะ
ฉู่เหินระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“ข้าอยากได้กระบี่สำรองสัก 2 เล่ม ธนูดีๆ สักหนึ่งคัน ลูกศรอีกสัก 20… ไม่สิ เอาเป็น 40 ดอกดีกว่า ตัวลูกศรขอให้ทำจากเหล็กน้ำหนักเบาที่สุด ไม่ต้องลงอักขระเวทมนต์ก็ได้ ขอให้มันเป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงไม่หักง่ายก็พอแล้ว!” หลินเป่ยเฉินบอกถึงสิ่งที่เขาต้องการ
ตั้งแต่ที่ติดตั้งแอปศรมังกรคราส หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่เคยใช้งานมันเลยสักครั้งเดียว เพราะเขาไม่มีธนูและลูกศรที่คู่ควร ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้ตามหาธนูในฝันเสียเลย
“ข้าดูตอนที่คุณชายหลินแข่งขันยกกระถาง ไม่มีธนูคันไหนในร้านของเราเหมาะสมกับคนที่สามารถยกน้ำหนักได้เป็นหมื่นชั่งอย่างท่านหรอกขอรับ…แต่ช้าก่อน หลิงโจวกับข้าจะช่วยออกแบบให้ท่านเอง ขอเวลาพวกเราสักครู่ก็แล้วกัน” หยางเฉินโจวว่า
สมแล้วที่ชายหนุ่มเป็นถึงนักตีกระบี่มืออาชีพ
ในระหว่างที่หยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวกำลังออกแบบธนูและลูกศรให้เขา หลินเป่ยเฉินก็เดินเลือกกระบี่ที่วางขายอยู่ภายในร้าน
ด้วยความที่ใช้โทรศัพท์มือถือในการฝึกวิชา หลินเป่ยเฉินจึงสามารถใช้กระบี่ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำหนักเบาหรือน้ำหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้สองมือหรือมือเดียว ซึ่งการแข่งขันรอบต่อไปจะเป็นการประลองยุทธ์ ทำให้หลินเป่ยเฉินแน่ใจแล้วว่าอาศัยเพียงดาบศีลธรรมเล่มเดียวคงไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้แน่นอน
หลังจากนั้นสักพักใหญ่
หลินเป่ยเฉินก็เลือกกระบี่ได้ 2 เล่ม
และกระบี่ที่เขาเลือก คนธรรมดาต้องถือด้วยสองมือถึงจะหยิบจับขึ้นมาได้ แต่สำหรับหลินเป่ยเฉิน เขาสามารถยกมันมือเดียวได้อย่างเบาหวิว และกระบี่ทั้ง 2 เล่มนั้น ก็นับเป็นกระบี่ที่ดีที่สุดและมีน้ำหนักมากที่สุดภายในร้านหัวค้อนเหล็กอีกด้วย
“พี่หยาง อย่าหาว่าข้าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ แต่ท่านยังห่างไกลจากการเป็นช่างตีกระบี่ฝีมือดีจริงๆ เมื่อเทียบกับกระบี่จากงานของอาจารย์ฟาน ฝีมือของพวกท่านยังห่างชั้นกันอีกเยอะ ดูอย่างรอยเผาไหม้บนคมกระบี่นี่สิ แบบนี้เรียกว่าของมีตำหนิ ดูไม่สะอาดตาเอาเสียเลย ข้าก็ได้แต่หวังว่าท่านจะพัฒนาฝีมือให้ได้มากกว่านี้”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสมเพชเวทนา
หยางเฉินโจวได้ยินดังนั้นก็โกรธจนควันออกหู
หลู่หลิงโจวพูดสวนกลับมาว่า “ฝีมือของพี่เฉินโจวไม่ได้เป็นรองลูกศิษย์รุ่นปัจจุบันของอาจารย์ฟาน แต่น่าเสียดายที่ร้านเราไม่มีลูกมือฝีมือดีคอยช่วยงาน มิเช่นนั้น ป่านนี้เราคงบดขยี้ร้านขายกระบี่อาจารย์ฟานสาขาเมืองหยุนเมิ่งไปได้นานแล้ว”
“ง่ายมาก ท่านก็ว่าจ้างเอาสิ” หลินเป่ยเฉินกล่าว
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็คงจะดี ลูกมือหลอมศาสตราวุธชั้นเยี่ยมนับเป็นสิ่งที่หายาก และมีน้อยคนนักที่จะยอมมาทำงานในร้านของเรา แต่ที่สำคัญก็คือ ถึงพวกเขาอยากมา แต่เราก็ไม่มีปัญญาจ่ายค่าจ้างอยู่ดี” หลู่หลิงโจวพูดจบก็ถอนหายใจออกมาด้วยความอับจนปัญญา
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดจาถากถางต่อไปอีกสักหน่อย แต่หยางเฉินโจวก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนว่า
“เรียบร้อย ข้าออกแบบธนูให้ท่านเสร็จแล้ว มันมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทนทานแรงมือของท่านได้แน่นอน ส่วนลูกศรก็ใช้เหล็กคุณภาพเดียวกับที่กองทัพของจักรวรรดิใช้ คุณชายลองดูแบบจำลองที่ข้าวาดออกมาก่อน หากท่านไม่ติดขัดอันใด ก็ขอให้จ่ายค่ามัดจำ แล้วข้าจะเริ่มสร้างธนูคันนี้ให้ท่านตั้งแต่คืนนี้ ประมาณบ่ายวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างก็น่าจะเสร็จพร้อมสำหรับการใช้งาน”
หยางเฉินโจวยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เด็กหนุ่ม
แล้วหลินเป่ยเฉินจะไปเข้าใจภาพวาดขั้นตอนการหลอมอาวุธที่ซับซ้อนได้อย่างไร?
เขารู้เพียงแต่ว่าหยางเฉินโจวเป็นคนที่สามารถสร้างธนูให้เขาได้ เท่านั้นก็พอแล้ว
เด็กหนุ่มพลิกหน้ากระดาษไปดูแผ่นที่สอง แล้วหลินเป่ยเฉินก็เห็นรูปวาดธนูที่เขาต้องการ มันมีลักษณะเรียบง่ายและน่าจะมีน้ำหนักไม่ใช่น้อย แต่เพราะมีความแข็งแกร่งทนทาน จึงสามารถยิงลูกศรยาวได้อย่างไม่มีปัญหา หลินเป่ยเฉินรู้สึกชอบใจมาก แต่กลับเสแสร้งแกล้งพูดออกไปว่า “ถึงจะดูงานหยาบไปหน่อย แต่ก็น่าจะพอใช้ได้ละนะ ตกลงว่าเอาตามนี้ก็แล้วกัน”
หยางเฉินโจวขี้เกียจที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก เขายื่นมือออกมาข้างหน้า “มัดจำเงินก้อนแรก 50 เหรียญทองคำ ขอเป็นเงินสดนะขอรับ”
นี่มันอะไรอีกเนี่ย
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ และอุทานว่า “ทำไมถึงได้แพงจริง?”
หยางเฉินโจวตอบ “นี่เห็นแก่หน้าคุณชายที่เป็นคนกันเอง ข้าลดมาให้ครึ่งราคาแล้วนะขอรับ เมื่อเทียบกับความเร่งด่วนและวัสดุที่ต้องใช้ ราคาเพียงเท่านี้ คุณชายคงไม่สามารถไปหาที่ไหนได้อีก”
ถึงปากจะพูดจาหวานหู แต่ในใจจริงนั้นหยางเฉินโจวกำลังก่นด่าไปถึงบรรพบุรุษของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มพูดจาถากถางเขาไม่ว่า แต่นี่ยังมีหน้ามากดราคาอาวุธของเขาได้อย่างหน้าไม่อายอีกหรือ !