บทที่ 248 เกิดอะไรขึ้นกันแน่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 248 เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในการแข่งขันนี้ เฉาพั่วเถียนชนะอย่างขาดลอย

เขานึกภาพออกเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องตกอยู่ในอาการร้อนรนทนไม่ไหว

ยิ่งไปกว่านั้น ในการทดสอบครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า เฉาพั่วเถียนมีความสามารถทางด้านการปรุงสมุนไพรและมีความชำนาญในการควบคุมพลังลมปราณมากกว่าหลินเป่ยเฉิน นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินคงเสียหน้ามากมายแล้ว

เฉาพั่วเถียนจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน

เขาอยากจะเห็นความโกรธและความกลัวบนสีหน้าของศัตรูตัวฉกาจ

แต่แล้วหลินเป่ยเฉินกลับหันหน้าไปพูดกับหลิงเฉินว่า “ถ้าเกิดว่า… ข้าใช้ยาปลุกกำหนัดกับสุนัขขนสีทองบ้าง มันจะออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเสือสายฟ้าหรือไม่ มันจะทำให้เจ้าสุนัขสนใจแต่การผสมพันธุ์จนน้ำลายฟูมปากขาดใจตายไหมนะ?”

หลิงเฉินตอบกลับมาว่า “บางทีมันอาจอาการหนักมากกว่าเสือสายฟ้าก็เป็นได้”

แล้วเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองคนก็หันมามองหน้าเฉาพั่วเถียนเป็นตาเดียว

เฉาพั่วเถียนรีบกระโดดถอยหลังยืนห่างจากพวกของหลินเป่ยเฉินทันที

ฤทธิ์ยารักเดียวไม่มอดไหม้น่ากลัวมากเกินไป ภาพที่เขาเห็นเต็มไปด้วยความน่าอับอาย เพียงเฉาพั่วเถียนนึกถึงก็ขนลุกขนชันไปหมดแล้ว

หลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินหันมองหน้ากันและระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน

“พวกเจ้า…”

เฉาพั่วเถียนเพิ่งจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเจตนาหลอกเขาให้ตกใจกลัวเท่านั้นเอง “มีความสามารถเพียงปรุงยาปลุกกำหนัด คิดจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน…เฮอะ นับว่าเป็นนกน้อยบินสูงโดยไม่ดูความสามารถของตนเองจริงๆ”

พูดจบ เฉาพั่วเถียนก็หมุนตัวเดินจากไป

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผมทองก็รู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดพลาดไปเสียแล้ว

เขาไม่ควรเข้ามายั่วโมโหหลินเป่ยเฉินในตอนนี้เลย

เจ้าหมอนั่นมันปากร้ายมากเกินไป

ไม่ว่าเถียงอย่างไรเขาก็สู้ไม่ได้

เฉาพั่วเถียนรู้ตัวดีว่าตนเองยังมีโอกาสที่จะสามารถเย้ยหยันหลินเป่ยเฉินได้อีกมากมายหลังจากนี้

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมทองเดินหนีไปด้วยความอับอาย รอยยิ้มในแววตาของหลินเป่ยเฉินก็หายวับไป

ไม่ว่าเฉาพั่วเถียนจะสามารถปรุงยาสำเร็จเพราะโชคช่วยหรือเพราะมีความสามารถจริงๆ ก็ตาม แต่มันก็ทำให้หลินเป่ยเฉินได้รู้ถึงสิ่งหนึ่งชัดเจนคือ

ศัตรูของเขามีความแข็งแกร่งมาก

เขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

หลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินสาบานว่าตนเองจะต้องพยายามให้เต็มที่มากกว่าเดิม

“เออ ว่าแต่ว่าเจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาถามหลิงเฉินอีกครั้ง “บททดสอบของเจ้าสองครั้งก่อนหน้านี้ผิดปกติไปมาก มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเปล่า?”

ใบหน้าที่งดงามเย็นชาเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็งของหลิงเฉิน พลันแย้มยิ้มด้วยความสดใสราวกับแสงแดดในฤดูใบไม้ร่วง “อิอิ พี่เฉินเป็นห่วงข้าหรือเจ้าคะ?”

“หืม…” หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกหลอกลวงอย่างไรอย่างนั้น

เขาคิดขึ้นมาได้ว่าไม่น่าถามออกไปเลย

หลิงเฉินรู้วิธีปรุงยารักเดียวไม่มอดไหม้ วันดีคืนดีถ้าเกิดนางอยากจะมอมยาเขาขึ้นมาล่ะ แค่คิดก็หนาวไปถึงขั้วหัวใจแล้ว!

เฮ้อ!

หลินเป่ยเฉินยกมือปิดบังหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ไม่มีทาง

หลังจากนี้ เขาต้องรีบหาวิธีปรุงยาแก้พิษรักเดียวไม่มอดไหม้เสียแล้ว

“พวกท่านกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่หรือ?”

จังหวะนั้น เยว่เว่ยหยางเดินเข้ามานั่งอยู่ทางด้านขวามือของหลินเป่ยเฉินหน้าตาเฉย และพูดว่า “ดูสนุกกันทีเดียวนะเจ้าคะ”

หลิงเฉินที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของเด็กหนุ่มไม่พูดอะไร ได้แต่หันหน้าหนี ทอดสายตามองไปทางอื่น

หลินเป่ยเฉินได้ค้นพบอะไรบางอย่าง

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าหลิงเฉินเผชิญหน้ากับผู้ใด นางไม่เคยแสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นลูกศิษย์อัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุน อย่างเช่นเฉาพั่วเถียน หลิงเฉินก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับเยว่เว่ยหยาง นางกลับไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงด้วยและทำได้เพียงหันหน้าหนีเท่านั้น

ไม่ว่าใครเฝ้ามองดูอยู่ ก็รู้แล้วว่านี่คือความผิดปกติ

นับเป็นเรื่องยากที่หลิงเฉินจะมีอาการเช่นนี้กับผู้ใด

แต่เยว่เว่ยหยางเหมือนจะไม่รับรู้พฤติกรรมของหลิงเฉินแม้แต่น้อย นางยังคงพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่อไป

ผลก็คือ หลินเป่ยเฉินยังคงไม่ได้รับคำตอบในเรื่องที่เขาสงสัยอยู่ดี

แล้วเวลาก็ผ่านไป

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันทยอยเข้ารับบททดสอบ

แต่ไม่มีใครสามารถวางยาสลบเสือสายฟ้าได้สำเร็จ

ผู้ที่ได้คะแนนสูงมาจากการวางยาสลบหมาป่าน้ำแข็ง

แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาเลือกที่จะวางยาสลบหมาไนวายุ

“หลิงเซวียน ใช้เวลา 48 ลมหายใจ สามารถวางยาสลบหมาป่าน้ำแข็งได้สำเร็จ มีความสามารถในการปรุงยาและความสามารถในการควบคุมพลังลมปราณอยู่ระดับปานกลาง” เหมยซือหยวนประกาศผลการทดสอบ

นับว่าเด็กหนุ่มทำได้ไม่เลว

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย

หลิงเซวียนเป็นผู้เข้าแข่งขันอีกหนึ่งคนที่มาจากจวนผู้ว่า

มีข่าวลือว่าบิดาของเขาเป็นคนรับใช้ในจวน ท่านผู้ว่าการประจำเมืองเลี้ยงดูเขาขึ้นมาเหมือนบุตรของตนเอง ต่อให้ไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง แต่สถานะของเด็กหนุ่มในจวนผู้ว่า ก็ไม่ได้ต่ำใต้มากไปกว่าทายาทในสายเลือด

หลิงเซวียนเป็นเด็กหนุ่มหน้ายาว ผิวขาว คิ้วหนา ร่างกายสูงโปร่ง ลักษณะปราดเปรียว เป็นคนเงียบขรึม นานๆ ถึงจะพูดออกมาสักครั้ง

เขาเดินเข้ามายังพื้นที่ซึ่งจัดไว้ให้สำหรับผู้ที่เข้ารับการทดสอบแล้ว ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่ว จนกระทั่งมาพบกับพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสามคน

แล้วคิ้วของเด็กหนุ่มก็ขมวดมุ่นเมื่อมองเห็นการมีอยู่ของเยว่เว่ยหยาง

หลิงเซวียนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง และแล้วเขาก็ค่อยๆ ก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน แต่สายตาจ้องไปที่เยว่เว่ยหยาง ในเวลาเดียวกันนั้น หลิงเซวียนกำลังจะพูดบางอย่างออกมา…

“ไม่ต้องมายุ่ง” พลัน หลิงเฉินพูดขึ้นแผ่วเบา

หลิงเซวียนรีบหมุนตัวเดินหนีไปโดยไม่ลังเล ไม่ต่างจากเสือร้ายหวาดกลัวพรานนักล่า

หลินเป่ยเฉินได้แต่เบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ…ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ดูเหมือนว่าเยว่เว่ยหยางจะยังคงไม่สนใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบกายอยู่ดี นางยังคงยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวานและกล่าวว่า “วันพรุ่งนี้จะเป็นการประลองตัวต่อตัวแล้ว เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 40 คน จะมีการจับหมายเลขประจำตัวใหม่ทั้งหมด แล้วจะมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นสามารถผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มชิงธงได้สำเร็จ ถ้าเกิดพี่เฉินอยากเอาชนะเฉาพั่วเถียนให้ได้จริงๆ ท่านก็ต้องคิดให้ดีนะเจ้าคะว่าจะเลือกสมาชิกร่วมกลุ่มเป็นใครบ้าง เพราะสมาชิกแต่ละคนที่ถูกเลือกมานั้นมีความสำคัญที่สุด…”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก

หลังจากนั้น ก็มีผู้เข้าแข่งขันผ่านการทดสอบเพิ่มเติม

อย่างเช่นหลินอี้

เขาสามารถวางยาสลบหมาป่าน้ำแข็งได้สำเร็จ

แม้แต่ฮันปู้ฟู่ก็ผ่านการทดสอบเช่นกัน

ถึงเขาจะเลือกวางยาสลบหมาไนวายุ แต่ก็สามารถทำออกมาได้ดีมาก จึงได้คะแนนอยู่ในระดับสูง

เมื่อบททดสอบในช่วงบ่ายจบสิ้นลง การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองวันที่สี่ ก็เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ

แท่งหินที่ตั้งอยู่กลางอนุสรณ์กระบี่ประกาศผลรายชื่อผู้เข้ารอบ

คณะอาจารย์และเหล่าศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามส่งเสียงตะโกนลั่นด้วยความดีใจสุดขีด

เพราะว่าฮันปู้ฟู่สามารถเข้าสู่รอบ 40 คนสุดท้ายได้สำเร็จ

นี่จะเรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่ผิดนัก

เพราะก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะปรากฏตัวขึ้นมา สถานศึกษากระบี่ที่สามได้แต่ฝากความหวังเอาไว้ที่ฮันปู้ฟู่ แค่เขาสามารถผ่านเข้ามาถึงรอบที่สองได้สำเร็จ ก็นับว่าเป็นชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่แล้ว

แต่กลับกลายเป็นว่านอกจากหลินเป่ยเฉินที่เข้ารอบอย่างนอนมาตั้งแต่แรก ฮันปู้ฟู่ก็สามารถทะลุเข้าสู่รอบต่อไปได้เช่นกัน

นี่หมายความว่าในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองครั้งหน้า สถาบันของพวกเขาจะได้รับสิทธิ์ส่งตัวแทนเข้ามาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเงินทุนกับการสนับสนุนทรัพยากรจากกระทรวงศึกษา และสถานะทางสังคมของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

…ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันก็ทำให้ทุกคนในสถานศึกษากระบี่ที่สามพากันภาคภูมิใจในตัวฮันปู้ฟู่ยิ่งนัก