ตอนที่ 188 การแข่งขันตกแต่งหอพัก / ตอนที่ 189 คลื่นริมฝั่ง

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 188 การแข่งขันตกแต่งหอพัก

 

 

[ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นแล้ว ถึงยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว สามีคนปัจจุบันของนายอะไรก็ดีกว่าเขาทั้งนั้น] หลูจื้อส่งข้อความมาด้วยความหลงตัวเองอย่างมาก

 

 

แต่ว่านี่กลับเป็นเรื่องจริง ชุยหังแน่ใจแล้วว่าเมื่อก่อนตัวเองคงตาบอดไป

 

 

‘ทำไมถึงได้ไปถูกใจตัวจี๊ดแบบนั้นอย่างหลิวเฮ่อได้’

 

 

[อืม ฉันรู้แล้ว]

 

 

[โอเค ไม่คุยกับนายแล้ว ฉันต้องไปอาบน้ำแล้ว อากาศร้อน ลดไฟในตัว]

 

 

[นายยังลดไฟด้วย? นายมีไฟที่ไหนกัน] ชุยหังไม่ค่อยกล้าที่จะเชื่อเท่าไหร่

 

 

หลูจื้อส่งอิโมติคอนหน้ายิ้มมา จากนั้นก็ส่งข้อความมาต่อ [รอวันไหนมีเวลา ให้นายรู้ตัวว่าแรงไฟฉันพุ่งแรงขนาดไหน]

 

 

ใบหน้าชุยหังแดงขึ้นมาในทันใด ชงมาขนาดนี้ ผลลัพธ์เห็นได้ชัดเกินไปแล้ว

 

 

ความเป็นห่วงเมื่อครู่นี้ ความอลวนเมื่อครู่นี้ เหมือนว่าจะโดนบรรยากาศเช่นนี้ปกคลุมไปเรียบร้อย

 

 

ที่จริงเดิมทีก็เป็นอย่างนี้ การคบกันไม่ใช่เพื่อมาคิดใคร่ครวญว่าต่อไปจะพรากจากกันอย่างไรถึงจะเข้าที แต่เพื่อเก็บถนอมเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันต่างหาก

 

 

เก็บเกี่ยวกาลเวลา ปล่อยผ่านโชคชะตา

 

 

‘ต่อจากนี้จะเป็นยังไง ค่อยมาว่ากันอีกที’

 

 

ซย่าอวี้ชิวส่งข้อความหาเขา เขาก็ไม่ได้ตอบกลับ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขา

 

 

คิดดูแล้ว พรุ่งนี้ค่อยส่งข้อความตอบกลับเขา แล้วบอกว่าวันนี้ตัวเองง่วงมาก นอนหลับไปเลย แบบนี้ก็โอเคแล้ว

 

 

วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษ ก่อนหน้านี้ที่เขากับหลูจื้อตกลงที่จะคบกันจนกระทั่งถึงวันนี้ที่ได้สานความสัมพันธ์กัน ที่จริงก็นับว่าได้ผ่านช่วงเวลาหนึ่งมาแล้ว

 

 

ช่วงเวลาที่เดินไปข้างหน้า ที่จริงก็ทำให้ความรักความผูกพันของคนสองคนค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

 

 

เมื่อการชอบคนคนหนึ่งกลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง จะแยกจากกันก็ไม่ง่ายแล้ว

 

 

ตอนนี้ชุยหังกำลังพยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งของหลูจื้อ

 

 

โดยส่วนใหญ่เมื่อเห็นข้อความของหลูจื้อ เขาก็จะตอบกลับในครั้งแรกได้ทันที

 

 

ถึงอย่างไรเวลาของหลูจื้อก็มีจำกัด ถ้าพลาดเวลาตอนที่เขาว่าง ชุยหังส่งข้อความไปอีก ไม่แน่ว่าทางนั้นจะตอบกลับเขาได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ที่จริงการทำแบบนี้จนกลายเป็นความเคยชิน ไม่ใช่แค่เพียงหลูจื้อ ยังเป็นเขาด้วย

 

 

ชุยหังในช่วงนี้ค่อนข้างจะยุ่งอยู่พอสมควร ยุ่งกับการแข่งขันประกวดบทความของชมรมนักข่าวครั้งใหญ่ ทั้งยังง่วนอยู่กับการแข่งขันตกแต่งหอพักของคณะพวกเขา

 

 

นอกนั้นอีกห้าคนต่างก็ค่อนข้างจะขี้เกียจกัน อะไรก็ส่งให้ชุยหังทั้งหมด พวกเขาเองก็ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์อะไร

 

 

ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการจับจ่ายใช้สอยวัสดุอุปกรณ์ ชุยหังต่างก็ทำกับมือเลือกกับมือทั้งสิ้น

 

 

เขาเองก็เห็นความจริงอีกข้อ ทั้งหมดที่ทำมาล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของที่เกี่ยวกับเรือทั้งสิ้น ถึงอย่างไรสาขาวิชาของพวกเขาก็คือเทคนิคการเดินเรือ

 

 

เพียงแต่ว่าที่ชุยหังต้องการยิ่งกว่านั้นคือสไตล์ย้อนยุค จุดนี้ยังไม่มีคนนึกถึงในตอนนี้

 

 

ดังนั้นวัสดุที่เขาเลือกจึงแตกต่างจากคนอื่นๆ จริงๆ

 

 

เขาตัดกระดาษขาวเป็นรูปเซกเตอร์วงกลม หลังจากนั้นก็แต่งแต้มสีสันที่ขอบโดยรอบ พร้อมตั้งชื่อให้ห้องพักในหอนี้ว่า ‘คลื่นริมฝั่ง’

 

 

เมื่อเข้ามาในห้องพัก สิ่งที่เห็นคือฝั่งผนังที่อยู่เหนือหน้าต่างมีพัดจีบจีนลวดลายโบราณแขวนอยู่ พวกเขาใช้เทปกาวสองหน้าติดเข้าไป เพราะว่าถ้าใช้เทปกาวสองหน้า จะสามารถเห็นแสงสะท้อนจากด้านหน้าได้ สอดรับความรู้สึกแห่งสุนทรียภาพ

 

 

ในห้องพักของพวกเขา สิ่งที่ชุยหังซื้อมามากที่สุดจะเป็นพวกกระดาษโฟม เหมือนฟองอากาศที่บางเบามาก แต่มีสีสัน

 

 

อย่างแรกตู้ที่อยู่ผนังด้านข้าง ชุยหังใช้กระดาษโฟมสีเขียว ตัดปล้องไม้ไผ่ออกมาทีละท่อนๆ ยังมีใบไผ่ หลังจากนั้นใช้เทปกาวสองหน้าติดเข้าไป

 

 

หลังจากทำส่วนของไม้ไผ่เสร็จ จู่ๆ อีกห้าคนในห้องพักต่างก็พากันรู้สึกว่าเหมือนมีพลังชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ร่วมประชันกีบเหล่าไม้ไผ่เหล่านั้น

 

 

ตอนที่คนให้ห้องพักห้องอื่นเข้ามาดูต่างก็ถูกเหล่าไม้ไผ่ดึงดูดสายตาไปโดยสมบูรณ์ หลังจากกลับไปก็ชมไม่ขาดปาก แล้วดึงดูดผู้คนมากมายให้เขามาล้อมวงชม

 

 

คนอื่นๆ ในห้องพักล้วนแล้วแต่เลือกภาพวาดพู่กันลวดลายโบราณแขวนไว้ตรงผนังข้างเตียงนอนของตัวเอง แต่ชุยหังกลับหยิบกระดาษโฟมสีชมพูที่เหลือขึ้นมา ประดับบนผนังของตัวเอง คงจะโดดเด่นไม่เหมือนใคร

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 189 คลื่นริมฝั่ง

 

 

เห็นชุยหังหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างก็พากันสงสัย ชุยหังคิดจะทำอะไรกัน

 

 

ไม้ไผ่บนผนังนั้นก็ทำให้ตะลึงตาค้างมากแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่ายังจะมีอะไรที่ดูดีไปกว่านี้อีก

 

 

แต่ว่าครั้งนี้ชุยหังไม่ได้รีบร้อนลงมีด เพราะว่าสิ่งที่เขานึกถึงรูปร่างลักษณะค่อนข้างซับซ้อน ถ้าทำไม่ดีจะหัวมังกุท้ายมังกรได้

 

 

ดังนั้นก่อนอื่นเขาหาดินสอมาแท่งหนึ่งมาวาดภาพสเก็ตช์ลงบนกระดาษโฟมสีชมพู

 

 

“เหลาอู่ นี่คืออะไร” วังเฉียงเอ่ยถาม

 

 

“เดี๋ยวพวกนายก็รู้เอง พวกนายเอาผ้าเช็ดหน้าสองผืนขึ้นมาติดบนผนัง ผืนหนึ่งติดแนวตรง อีกผืนติดแนวทแยง ติดเอียงๆ หน่อย” ชุยหังหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายดอกกล้วยไม้สองผืนส่งต่อให้พวกเขา

 

 

“เหลาอู่ นายข้ามมิติมาใช่หรือเปล่า” ถังเฉิงเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังเอ่ยขึ้น “นายต้องอ่านนิยายมาเยอะมากแน่ๆ ฉันเกิดใหม่ซ้ำสอง”

 

 

ทุกคนยิ้มหัวเราะ จากนั้นก็ไปตกแต่งห้องตามภารกิจที่ชุยหังมอบหมายให้เมื่อครู่

 

 

ชุยหังชี้ไปที่ใบไม้พลาสติกและเครือเถาวัลย์ที่อยู่ในถุง พร้อมพูดว่า “เอาของพวกนี้พันรอบเตียง ไม่ต้องพันมากเกินไป จะดูรกตา ง่ายๆ หน่อยก็พอแล้ว”

 

 

“อืม โอเค ฟังเหลาอู่เลยนะ” จ้าวหลินพูดขึ้น

 

 

ขณะที่พวกเขาง่วนอยู่กับงาน ชุยหังก็วาดลวดลายที่ตัวเองต้องการเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เริ่มใช้มีดแกะสลักไล่ไปตามโครงร่างที่ตัวเองวาดเพิ่งจะเสร็จเมื่อครู่นี้ โดยเริ่มคัดมาแต่ละส่วนจากทั้งหมด

 

 

เหลียงจื้อเดินจากประตูฝั่งตรงข้ามเข้ามาอย่างทะนงองอาจ พอชิ้นงานที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างในมือชุยหัง เขาก็ร้องเรียกด้วยความตกใจในทันใด “เหลาอู่ นายไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม”

 

 

“อะไรของนาย” ชุยหังไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขาทำงานต่อไป พลางพูดไปด้วย

 

 

“ฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ [1] ? นายวาดเองเหรอ” เหลียงจื้อเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังแกะสลักต่อไป พลางเอ่ยขึ้นมา “อืม ไม่ได้วาดนานแล้ว เลยดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่”

 

 

“แหม นี่นายถ่อมตัวหรือว่าเสแสร้งกัน” เหลียงจื้อพูดไป

 

 

“เป็นความจริงแท้แน่นอน เมื่อก่อนตอนฉันวาดภาพเขียนสีน้ำ ฉันก็ได้รางวัลมาแล้ว รูปที่วาดก็เป็นฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์นี่แหละ” ชุยหังเอ่ยบอก

 

 

“เฮ้ย เทพแล้ว ห้องพักพวกนายสวยจริงๆ ฉันอยากมาอยู่ทั้งสองวันเลย” เหลียงจื้อมองดูทุกอย่างที่ชุยหังจัดแต่ง เขาชื่นชมไม่หยุด

 

 

แม้กระทั่งพื้นที่ว่าง ชุยหังยังใช้บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารมาตัดทำเป็นรูปตาเฒ่ากับเด็กน้อยติดอยู่ตรงนั้น ดูมีความคลาสสิกมากทีเดียว

 

 

การออกแบบห้องพักของพวกเขานี้ไม่ได้ใช้เงินเยอะเลย เทียบกับห้องพักห้องอื่นที่ใช้ริบบิ้นสีๆ ประดับผนัง ราคาถูกมากจริงๆ ทั้งยังง่ายๆ สบายๆ ดูแล้วคนละอารมณ์ไปเลย

 

 

สุดท้ายเมื่อฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์แกะสลักเรียบร้อย ชุยหังยังตั้งใจเติมกลุ่มก้อนเมฆ ดวงจันทร์กลมนวลสว่างหนึ่งดวงประดับเข้าไป แบบนี้ยิ่งดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

 

 

หลังจากนั้นชุยหังก็เอาฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ขึ้นติดบนผนังฝั่งเตียงของตัวเอง มองทะลุผ่านมุ้งแล้วยิ่งดูมีสุนทรียภาพ

 

 

“เหลาอู่ ฉันเองก็อยากได้ฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์อันนั้นเหมือนกัน” ถังเฉิงเอ่ยขึ้นมา

 

 

ชุยหังพูดไป “นายอยากได้ฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์อะไร ถ้านายต้องการ ฉันจะทำกระต่ายจันทร์ [2] ให้นายเอาไหม”

 

 

“งั้นก็ช่างเถอะ ตัวเขียนพู่กันของฉันนี้ก็ดีมากเหมือนกัน”

 

 

ห้อง 426 โดยภาพรวมก็ถือว่าตกแต่งเสร็จสิ้นแล้ว แต่พอมองดูฝ้าเพดาน เหมือนจะว่างเปล่าไปสักหน่อย

 

 

ชุยหังครุ่นคิดพลางเอ่ยถาม “ใช่แล้ว ตอนที่พวกเราซื้อของ เถ้าแก่เนี้ยแถมริบบิ้นม้วนเล็กมาด้วยไม่ใช่เหรอ”

 

 

“อันนั้นมันน้อยเกินไปแล้ว เอาไปทำอะไรทำไม่ได้สักอย่าง” จ้าวหลินพูดขึ้น

 

 

“ไม่เป็นไร เพียงพอแล้ว” ชุยหังบอกไป

 

 

หลังจากนั้นเขาก็พลิกสายริบบิ้นออกมา ดึงมาใช้บางส่วน แล้วหาดินสอมาแท่งหนึ่ง หลังจากม้วนๆ แล้ว ริบบิ้นก็ถูกทำเป็นเกลียวเรียบร้อย

 

 

“อันนี้ฉีกเป็นสองครึ่ง แล้วเอาไปติดเพดาน ไม่ต้องชิดกันมาก ไม่งั้นจะไม่สวย” ชุยหังเอ่ย

 

 

จ้าวหลินพูดบ้าง “พวกนี้มีพอให้ใช้ได้เหรอ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ตำนานเทพธิดาฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ มีเรื่องเล่าขานกันว่า เมื่อครั้งสมัยก่อนโบราณกาลนั้น โลกของเรามีดวงอาทิตย์อยู่ถึงสิบดวง ทำให้โลกมนุษย์เกิดภัยพิบัติไปทั่ว แผ่นดินร้อนระอุ น้ำเหือดแห้ง ผู้คนไม่มีที่หลบซ่อนอาศัย ต่อมาได้ปรากฏวีรบุรุษนามว่า โฮ่วอี้ เป็นผู้ที่มีฝีมือในการยิงธนูได้แม่นยำอย่างมาก โดยสามารถยิงธนูขึ้นสู่ฟ้าเพียงดอกเดียว ถูกดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ทำให้เหลือดวงอาทิตย์อยู่เพียงดวงเดียว เป็นการขจัดความทุกข์ให้กับประชาชนทั่วไป จึงได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์ แต่เมื่อโฮ่วอี้ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็ลุแก่อำนาจ ลุ่มหลงในสุรานารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ ทำให้ราษฎรโกรธแค้นชิงชังเขาเป็นที่สุด เมื่อโฮ่วอี้รู้ตัวดังนั้นจึงเดินทางไปที่ภูเขาคุนหลุน เพื่อขอยาอายุวัฒนะจากเจ้าแม่หวังหมู่มากิน แต่ ฉางเอ๋อ ผู้เป็นภรรยากลัวว่า ถ้าสามีของนางมีอายุยืนนาน อาจจะนำพาเอาความเดือดร้อนมาสู่ประชาชนเป็นแน่แท้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจแอบขโมยยาอายุวัฒนะนั้นมากินเสียเอง เมื่อกินเข้าไปแล้ว ร่างของฉางเอ๋อก็เบาหวิว และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ นับแต่นั้นมา บนดวงจันทร์ก็ปรากฏภาพเทพธิดา ที่เชื่อกันว่าเป็นฉางเอ๋อนี้เอง

 

 

[2] ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์ ตามตำนานกล่าวว่า มีอยู่ปีหนึ่งในเมืองปักกิ่งเกิดโรคอหิวาระบาดหนัก เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อซึ่งอยู่บนดวงจันทร์ได้มองลงมาเห็น ก็ทำให้รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก จึงได้ส่งกระต่ายหยกข้างกายที่ปกติตำยาอยู่บนดวงจันทร์ ให้ลงมารักษาโรคชาวบ้าน กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวไปรักษาผู้คนหายจากโรค ชาวบ้านรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือ จึงได้ตอบแทนด้วยการให้สิ่งของ แต่กระต่ายหยกก็ไม่ยอมรับสิ่งใดเลย เพียงแค่ขอยืมชุดชาวบ้านใส่เท่านั้น ไปถึงไหนก็จะเปลี่ยนชุดไปเรื่อย บางทีก็เห็นแต่งกายเป็นคนขายน้ำมัน บ้างก็เป็นหมอดูดวง บ้างแต่งกายเป็นชาย บ้างแต่งเป็นหญิง และเพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น กระต่ายหยกจะขี่ม้าบ้าง กวางบ้าง สิงโตบ้าง หลังจากกำจัดโรคภัยให้ชาวเมืองเสร็จเรียบร้อย กระต่ายหยกก็กลับขึ้นไปยังดวงจันทร์ นับแต่นั้นมาชาวบ้านจึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้ากระต่ายในวันไหว้พระจันทร์ด้วย