ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 361 พลิกแพ้เป็นชนะ

จอมศาสตราพลิกดารา

หวงเซิ่งอี้ยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า มองลงมายังชั้นทิวเขาเบื้องล่าง

เขาขุนคีรีเป็นหนึ่งในเขามีชื่อตรงพื้นที่ส่วนในของจักรวรรดิฉินตะวันตก ทอดยาวติดต่อกันหลายร้อยลี้ มีชื่อเสียงจากความหนา แน่น สง่า และสะอาดบริสุทธิ์ที่เป็นลักษณะพิเศษทั้งสี่

นับพันปีที่ผ่านมา สำนักขุนคีรีตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงสุดตรงกลาง และเป็นศูนย์กลางของเทือกเขาแถบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจล้วนไม่เคยพิชิตที่แห่งนี้ได้

สำนักขุนคีรีคือหนึ่งในไม่กี่สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ทุ่งปิดภูผาแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก

ทว่าตอนนี้ ไฟสงครามมาเยือน ในเวลาหนึ่งวันที่ผ่านไป สำนักขุนคีรีสูญเสียการควบคุมพื้นที่และทรัพย์สมบัตินอกสำนักไปทั้งหมด พื้นที่อุดมสมบูรณ์เมื่อก่อนกลายเป็นซากปรักหักพังและดินที่ไหม้เกรียม หลังจากทิ้งร่างไร้วิญญาณไปหลายพัน สำนักขุนคีรีถอยเข้ามาปกป้องสำนักบนยอดเขาหลักตรงกลาง

เสียงโห่ร้องเข่นฆ่าดังขึ้นไม่ขาดสาย

คลื่นพลังหลายสายกระเพื่อมเป็นระลอกอยู่รอบยอดเขาหลักใจกลางสำนักขุนคีรี แสงพลังแต่ละประเภทสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง

หวงเซิ่งอี้ที่ยืนอยู่กลางอากาศ ในสายตาเขา ภาพฉากที่เต็มไปด้วยความตายและเสียงโหยหวนนี้ช่างสวยสดงดงามราวดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน

หลายวันนี้ เป็นหลายวันที่หวงเซิ่งอี้มีหน้ามีตาที่สุด

เขาย่ามใจอย่างไร้ใดเปรียบจริงๆ

กล่าวตามจริง กระทั่งตัวเขาเองยังไม่กล้าฝันว่าในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีกว่า ตนเองจะสามารถนั่งบนบัลลังก์สูงสุดของทุ่งปิดภูผาได้อย่างมั่นคง และกุมอำนาจหนึ่งในเก้าสำนักเทพใต้หล้านี้ได้จริง ครึ่งปีก่อนหน้า ขณะที่ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยยังอยู่ เขาไม่เคยกล้าแม้แต่จะคิดเลย

ทว่าตอนนี้ ฝันกลายเป็นจริงแล้ว

“เจ้าสำนัก คนของสำนักขุนคีรีตอนนี้หดหัวเข้าไปอยู่ในค่ายกลคุ้มกันภูเขาแล้ว ยามนี้ยังไม่อาจตีแตก คนของพวกเราล้มตายไปมากอยู่” คนหัวล้านตัวสูงกำยำที่สะพายขวานยักษ์สีดำเหมือนบานประตูสองบานไว้กลางหลังทะยานเข้ามาเอ่ย “ให้โจมตีต่อไปหรือไม่ เจ้าสำนักโปรดสั่งการ”

หวงเซิ่งอี้พยักหน้า เอ่ยด้วยความน่าเกรงขาม “ถึงอย่างไรสำนักขุนคีรีก็เป็นสำนักชั้นหนึ่ง สืบทอดมากว่าพันปี ในปีนั้นก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ได้ด้อยไปกว่าเก้าสำนักเทพเลย ถ้าไม่ใช่เพราะ…”

พูดถึงจุดนี้ เขาก็ราวกับนึกถึงอะไรได้ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวพร้อมยิ้มเย็น “ค่ายกลคุ้มกันภูเขาของสำนักขุนคีรีมีนามว่าค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล เป็นถึงสิ่งที่สืบทอดมาจากราชวงศ์ต้าเยวี่ยเมื่อปีนั้น ร้ายกาจอย่างมาก ต่อให้เป็นขั้นเทวะยังทำลายได้ยากในเวลาอันสั้น เจ้าให้ยอดฝีมือคนสนิทของพวกเราถอยออกมา แล้วให้คนของสำนักวายุเมฆา สำนักอัสนี สำนักหงส์ระบำ และพรรคขุนเขาแม่น้ำบุกเข้าไป ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาลนี้สิ้นเปลืองพลังฟ้าดินมากที่สุด เหอะๆ ข้าจะดูว่าสำนักขุนคีรีมีดีเพียงใด จะทนได้นานสักแค่ไหน”

นี่คือการใช้ชีวิตคนเติมเต็มสิ่งที่เสียไป

และสำนักที่เขาพูดถึงล้วนเป็นสำนักในจักรวรรดิฉินตะวันตกที่ถูกบีบให้มาโจมตีสำนักขุนคีรี ในกลุ่มนี้ส่วนมาก ภักดีต่อทุ่งปิดภูผามาแต่กาลก่อน จงรักภักดีต่อยอดฝีมือ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย แต่ถูกหวงเซิ่งอี้ใช้ชื่อสำนักปิดภูผา บีบบังคับให้มาโจมตีสำนักขุนคีรี

หลายวันนี้เขาปล่อยข่าวออกไปภายนอกว่าชิวอิ่นสมคบคิดกับสวีเซิ่ง หักหลังหลี่พั่วเยวี่ยเจ้าสำนักคนเก่า โทษผิดร้ายแรง ถึงตายทุกคน

เนื่องจากควบคุมเมืองปิดภูผาได้แล้ว เขาจึงกุมจุดสูงสุดของศีลธรรมและอำนาจไว้

มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายคือ วันนั้นในทุ่งปิดภูผาไม่สามารถสังหารสวีเซิ่งและชิวอิ่นให้สิ้นซากลงได้ ซ้ำพวกเขายังหนีออกไป ตลอดการหนีไปสำนักขุนคีรี เขาประเมินกำลังของชิวอิ่นต่ำเกิน วันนั้นชิวอิ่นที่ไม่เจอหน้ามาแปดเดือนปะทุพลังที่ก้าวผ่านพลังดั้งเดิมไปไกล และใช้ดาบประหลาดสีแดงชาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนฟาดฟันสังหารเลือดสาดตลอดทาง…ถ้าวันนั้นจัดการสวีเซิ่งและชิวอิ่นในทุ่งปิดภูผาได้ละก็ ตอนนี้แผนการทั้งหมดดำเนินอย่างราบรื่นไปแล้ว

เสียงโห่ร้องสังหารดังขึ้นต่อเนื่อง

ใบหน้าของหวงเซิ่งอี้โหดเหี้ยมเย็นชา

ศิษย์จากยี่สิบกว่าสำนักเช่นสำนักวายุเมฆาเหมือนปศุสัตว์รับกระสุน ถูกไล่ให้ไปโจมตียอดเขาหลักขุนคีรี สั่นคลอนค่ายกลใหญ่คุ้มกันภูเขาของสำนักขุนคีรีไม่หยุด และลดพลังของค่ายกลลงอย่างต่อเนื่อง เทียบกับหนึ่งวันก่อนหน้า ขอบเขตคุ้มกันของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ หดลงมาถึงเท่าตัว ตอนนี้ปกป้องได้เพียงสำนักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหลักเท่านั้น

สองชั่วยามต่อมา

ลำแสงหลายสายสว่างขึ้น

พวกเจ้าสำนักต่างๆ เช่นสำนักวายุเมฆามาถึงแล้ว

“รองเจ้าสำนักหวง โจมตีต่อไม่ได้แล้ว ศิษย์สำนักพวกเราใกล้จะตายกันหมดแล้ว” เจ้าสำนักวายุเมฆาเอ่ยขึ้น

เขาคือยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่หนึ่ง ใบหน้าชราซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง

“หือ?” หวงเซิ่งอี้มองแวบหนึ่ง ยิ้มเย็นชาเอ่ยว่า “ปีนั้น เจ้ากับจอมยุทธ์ดาบชิวอิ่นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สุด ผูกพันฉันท์มิตร เจ้าพูดมาเช่นนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าจะปกป้องเจ้ากบฏล้างครูล้างบรรพบุรุษชิวอิ่นคนนี้? ตายเสีย!”

เขาลงมือทันใด ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพันมัดเจ้าสำนักวายุเมฆาไว้

“อ๊าก…” เจ้าสำนักวายุเมฆาถูกเปลวเพลิงสีชาดเผาไหม้จนสลายกลายเป็นฝุ่นท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

สายตาหวงเซิ่งอี้คมกริบดุจมีด กวาดตาผ่านร่างเจ้าสำนักคนอื่นๆ จิตสังหารดุจน้ำแข็ง ก่อนกล่าวอย่างน่าขนลุกว่า “หากยังมีคนเกียจคร้าน ก็จะพบจุดจบอย่างเขา…ทหาร สังหารศิษย์สำนักวายุเมฆาให้สิ้น นับจากนี้จะไม่มีสำนักวายุเมฆาอีก” เพียงประโยคเดียว ทำลายหนึ่งสำนักจนสิ้น

……

“เป็นข้าที่ทำให้สำนักขุนคีรีต้องมาเดือดร้อนด้วย”

ชิวอิ่นหน้าขาวซีดดุจหิมะ ลมหายใจอ่อนแรง

เขายืนอยู่หน้าประตูตำหนักใหญ่ของสำนัก ทอดสายตามองออกไปนอกค่ายกลคุ้มกัน จากประตูสำนักตรงตีนเขา ผู้บุกรุกโจมตีมากมายบุกเข้ามาราวตั๊กแตนบินว่อนเต็มท้องฟ้า

ข่าวร้ายกระหน่ำเข้ามาดั่งเม็ดฝน

วันนี้ตอนเที่ยงวัน ข่าวที่แย่ยิ่งกว่าถูกส่งมา

ทัพใหญ่ของราชสำนักปรากฏตัวขึ้นที่ตีนเขาเช่นกัน และเข้าร่วมโจมตีสำนักขุนคีรีด้วย

นี่ก็หมายความว่าระหว่างราชวงศ์ฉินตะวันตกและหวงเซิ่งอี้มีข้อตกลงบางอย่าง หรือไม่ก็จับมือเป็นพันธมิตรกันแล้ว คล้อยหลังกองกำลังศรทะยานจากทหารรักษาวังแห่งราชสำนัก ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์จากกลุ่มก้งเฟิ่งของราชวงศ์และผู้แข็งแกร่งสำนักตรวจการมากมายก็ทยอยปรากฏตัวตาม กองกำลังพันธมิตรที่โจมตีสำนักขุนคีรีแข็งแกร่งจนถึงระดับน่าพรั่นพรึง นี่คือการรวมตัวของกำลังจากหลายฝ่าย ต่อให้เป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของสำนักขุนคีรี ก็ยังไม่สามารถรับมือการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งมากเช่นนี้ได้ในเวลาเดียวกัน

ดูจากที่สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป อย่างมากสุดสำนักขุนคีรีก็ยืนหยัดได้อีกหนึ่งวันหนึ่งคืน จากนั้นจะแตกพ่าย

ใจของชิวอิ่นระทมทุกข์เพราะละอาย

เป็นเพราะเขา สำนักขุนคีรีถึงต้องมาตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้

ยามนี้ศิษย์ในสำนักล้มตายไปกว่าครึ่ง รากฐานกว่าพันปี ในตอนนี้รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว

วันนั้นสถานการณ์เร่งด่วนจริงๆ เขากับสวีเซิ่งไม่มีทางเลือกอื่น จำต้องหนีมายังสำนักขุนคีรีที่อยู่ใกล้กับสำนักปิดภูผามากที่สุด เดิมทีคิดจะพักเพียงชั่วคราว เมื่อฟื้นพลังก็จะตรงไปยังที่ราบทุ่งหญ้า ไปหาพี่ใหญ่กัวอวี่ชิง เพราะชิวอิ่นเข้าใจดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงพี่ใหญ่กัวอวี่ชิงที่ดูแลวิหารเทพหมาป่าเท่านั้นถึงจะปกป้องเขาได้ น่าเสียดายที่หน่วยไล่ล่าของหวงเซิ่งอี้ว่องไวมาก พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาถึงสำนักขุนคีรี ทหารที่ไล่มาก็ตามทันแล้ว และล้อมสำนักขุนคีรีไว้แน่นหนา บุกสังหารหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่อาจฝ่าออกจากภูเขาได้ ซ้ำยังสูญเสียคนไปอีกไม่น้อย

ยามนี้ ปกป้องขุนเขาเดียวดายที่โดนปิดล้อม ความพ่ายแพ้กำลังย่างกรายมา

สวีเซิ่งแขนขาดทั้งสองข้าง ถูกคนประคองไว้ สูญพลังไปมาก แต่สีหน้ากลับไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เขามองไปยังทิศทางที่หวงเซิ่งอี้อยู่ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโมโห “เจ้าสารเลวหวง กล้าก่อเรื่องเช่นนี้ เบื้องหลังมันต้องมีคนหนุนหลังอยู่แน่ ลำพังกำลังของมันไม่มีทางเคลื่อนพลทหารรักษาวัง กลุ่มก้งเฟิ่งของราชวงศ์ และคนจากสำนักตรวจการได้พร้อมกันแน่นอน ใครกันแน่ที่มีกำลังมากขนาดนี้?”

ชิวอิ่นกล่าว “เรื่องนี้ข้าก็เคยคิดไว้ หวงเซิ่งอี้ถึงแม้จะมีพลังฝึกขั้นครึ่งเทวะ แต่ก่อนหน้านี้ถูกหลี่มู่น้องสามของข้าข่มขวัญ ปกติก็เป็นเพียงคนที่มีใจแต่ไร้ความกล้า ถึงกล้าก็ไร้สมองเท่านั้น ไม่มีทางก่อเรื่องขนาดนี้ได้ และยังไม่กล้าก่อกบฏในเมืองปิดภูผาด้วย ต่อให้สมคบคิดกับปีศาจร้ายนอกดินแดน ก็ไม่มีทางควบคุมทหารรักษาวังและสำนักตรวจการได้ แน่นอนว่ามีคนในราชวงศ์แอบบงการเรื่องทั้งหมดอยู่”

ข้างกายพวกเขาทั้งสองคนมีสวีเยวี่ยเจ้าสำนักขุนคีรีคนปัจจุบัน ผู้คุ้มกฎซ้ายขวา และผู้อาวุโสนับสิบอยู่ด้วยกัน ทุกคนมีสีหน้าโกรธแค้น

“ศพของท่านอาจารย์จะตกอยู่ในมือคนเลวพวกนี้ไม่ได้” ชิวอิ่นทอดสายตามองไกล ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนหันหลังกลับกะทันหัน คำนับต่อสวีเยวี่ยและคนสำนักขุนคีรี “เจ้าสำนักสวี ข้านำภัยพิบัติมาให้ เดือดร้อนถึงยอดคนของสำนักขุนคีรีมากมายเพียงนี้ ใจข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก ขอให้ท่านบั่นศีรษะข้า นำไปมอบให้เจ้าชาติชั่วหวงเสีย อาจจะละเว้นสำนักขุนคีรีก็เป็นได้”

สวีเยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนทันที เอ่ยด้วยโทสะ “ชิวอิ่น เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”

ชิวอิ่นอ้าปากจะอธิบาย

สวีเยวี่ยขัดขึ้นตรงๆ พูดด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว “คำนี้อย่าได้พูดออกมาอีก สำนักขุนคีรีของข้าถึงแม้ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้ แต่ก็ไม่ยอมซ้ำเติมใครเด็ดขาด พันปีมานี้หลังของสำนักขุนคีรีไม่เคยคดงอ เรื่องนี้ต่อให้สำนักต้องล่มสลาย ก็จะสู้จนถึงท้ายที่สุด ตอนนี้บนแผ่นดินใหญ่มีคลื่นภัยพิบัติสูงเทียมฟ้า หากแต่ละสำนักเอาแต่กวาดหิมะหน้าประตู ไม่สนใจน้ำค้างแข็งบนกระเบื้องผู้อื่น น่ากลัวว่าไม่นานนักกลียุคจะมาถึงอีกครา ครั้งนี้จะใช้เลือดของพวกเราสำนักขุนคีรีมากระตุ้นคุณธรรมในจิตใจของเหล่าจอมยุทธ์ที่ความดียังไม่ดับสูญเหล่านั้น และบอกกับคนอย่างหวงเซิ่งอี้ว่า ใต้ฟ้านี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะก้มหัวให้กับอำนาจที่แข็งแกร่ง”

คำพูดนี้กล่าวออกมาอย่างเด็ดขาดยิ่ง

“จอมยุทธ์ชิวพูดเช่นนี้ กำลังดูถูกพวกข้าสำนักขุนคีรีหรือ?”

“ต่อให้เลือดไหลหมดจนหยดสุดท้าย สำนักขุนคีรีก็จะไม่มีทางคุกเข่าให้คนอย่างหวงเซิ่งอี้เด็ดขาด”

“ขุนคีรีอันสูงส่ง ไม่เคยเพาะบ่มพวกขี้ขลาด”

ผู้แข็งแกร่งสำนักขุนคีรีคนอื่นล้วนมีสีหน้าโกรธแค้นและท่าทีเช่นนี้

สำนักที่เก็บตัวและข้องเกี่ยวกับยุทธจักรน้อยมากในยามปกติ ในศึกใหญ่ครั้งนี้กลับแสดงความสามัคคีและความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเห็น

ชิวอิ่นปลงอนิจจังอย่างมาก

ในเก้าสำนักเทพ คนในของเขาเมืองมรกต คนในของทุ่งปิดภูผา ยังเทียบกับสำนักขุนคีรีไม่ได้เลย

เขาค่อยๆ เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ที่ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่ดูหมิ่นพวกท่าน และไม่ใช่การถอยเพื่อรุก แต่หากเขาเขียวยังคงอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวจะไร้ฟืนเผา วันนี้เจ้าชั่วหวงมากอำนาจ พุ่งเข้าชนอย่างไร้สติ ต้องรู้จักยืดหยุ่นถึงจะเป็นยอดคนที่มีความสามารถ บางครั้งการมีชีวิตอยู่ต้องอาศัยความกล้ายิ่งกว่ารบจนตัวตาย บั่นศีรษะข้าไป รักษาสำนักขุนคีรีไว้ ยังปกป้องกระดูกของท่านอาจารย์ข้าได้ พี่น้องร่วมสาบานของข้าอีกสองคน พี่ใหญ่ดูแลวิหารเทพหมาป่าอยู่ที่ราบทุ่งหญ้า น้องสามเป็นอ๋องแห่งเขาขาวพิสุทธิ์ พวกเขาคือผู้ร่วมเป็นร่วมตายของข้า เมื่อข่าวนี้ส่งไปถึงพวกเขา จะต้องมาสะสางความแค้นให้ข้าได้แน่ และยังรักษาสำนักขุนคีรีให้สืบทอดต่อไปได้ด้วย”

เขาพูดอย่างตั้งใจยิ่ง ไม่มีอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ได้ใจฝ่อตาขาว วิเคราะห์ออกมาอย่างมีเหตุผลมาก

สวีเซิ่งที่อยู่อีกด้านก็พยักหน้าเอ่ยตาม “จอมยุทธ์ดาบชิวอิ่น หาญกล้าจริงๆ…มีแค่ศีรษะของเจ้าคงยังไม่พอ เจ้าชั่วหวงก็มีความแค้นกับข้าด้วย เอาอย่างนี้ เอาศีรษะของข้าไปด้วย ถึงจะลดโทสะของเจ้าสารเลวนั่นได้ และรักษาสำนักขุนคีรีไว้…”

“ผู้อาวุโส ไม่ได้นะ”

“ท่านอาจารย์ นี่ไม่ได้…”

พวกของเจ้าสำนักสวีเยวี่ยทยอยกันหน้าซีด

สวีเซิ่งหัวเราะอย่างเบิกบาน กล่าวขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “เหอะๆ ถึงอย่างไรคนแก่อย่างข้า แขนทั้งสองก็ถูกเด็ดออกไปแล้ว เมื่อไม่มีกำปั้นอีก จะยังใช้ชื่อ ‘หมัดเทพทลายฟ้า’ ได้อย่างไร หากคนไร้ค่านี้ปกป้องสำนักขุนคีรีไว้ได้ ก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?” เขามองข้ามความเป็นความตายไปแล้ว ไม่ใส่ใจอีกต่อไป

ทั้งหน้าตำหนักใหญ่ของสำนักเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าสลดแต่ฮึกเหิม

ชิวอิ่นกระตุ้นกลางฝ่ามือ ดาบยาวสีเลือดเล่มหนึ่งปรากฏ เอ่ยว่า “ดาบเทพโลหิตเล่มนี้ข้าได้รับมาจากฟ้านิจนิรันดร์ในที่ราบทุ่งหญ้า หลี่มู่น้องสามของข้าถนัดวิชาดาบ หลังจากข้าตายโปรดมอบดาบเล่มนี้ให้เขาด้วย เขาจะเข้าใจความลำบากใจในวันนี้ และจะไม่ถือโทษพวกท่านทุกคน…” พูดจบ เขาพลิกมือวางดาบแนวนอน เตรียมปาดเพื่อเชือดคอตนเอง

ทุกคนหน้าถอดสี ขัดขวางเขาไม่ทัน

แต่ตอนนี้เอง การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

ตรงขอบฟ้าไกล ลำแสงสายหนึ่งราวกับกระบี่เทพมารพุ่งแหวกอากาศมา

“หลี่มู่อยู่นี่แล้ว ชิวอิ่นพี่ข้าอยู่ที่ไหน?”

เสียงตะโกนก้องลากยาว ประหนึ่งเสียงอัสนีสร้างโลก กึกก้องมาจากจุดที่ห่างไกล กระเพื่อมระหว่างฟ้าและดิน กระตุ้นให้ทะเลเมฆเกิดคลื่น

บรรดาทหารที่กำลังโจมตีสำนักขุนคีรีตรงตีนเขา รวมไปถึงยอดฝีมือและผู้แข็งแกร่งจากหลายฝ่ายที่ล้อมโจมตีอยู่กลางอากาศ ทุกคนรู้สึกเวียนหัวตาลายทันใด ทยอยกันหันไปมอง ก็เห็นเพียงบนเส้นขอบฟ้ามีแสงดาบสีขาวสายหนึ่งผ่าอากาศเข้ามา เจิดจ้าบาดตา ผ่าฟ้าออกเป็นรอยยาวกว่าสองลี้ คงอยู่นานไม่จางหาย ปราณดาบทะลวงความว่างเปล่า ราวกับเทพบันดาลโทสะในยมโลกผ่าท้องฟ้าออก ฟันเอาผู้แข็งแกร่งฝ่ายหวงเซิ่งอี้ที่ล้อมอยู่บนอากาศรอบนอกจนเป็นผุยผงเสมือนลงเคียวเกี่ยวข้าวสาลี

ใครกัน?

ผู้แข็งแกร่งมากมายรู้สึกว่าวิญญาณสั่นสะท้านในพริบตานี้

มีบางคนตั้งสติกลับมา และได้ยินประโยคนั้น

หลี่มู่มาแล้ว

เซียนกวีเทพยุทธ์แห่งฉางอัน ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่?

ขั้นปฐมเทวะที่อายุน้อยที่สุดแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ผู้โหดเหี้ยมที่ก่อนหน้าเคยจับกุม ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ไว้

ลือกันว่ากระทั่งบุตรของจักรพรรดิก็ยังถูกเขาสังหาร

ไม่นึกว่าคนโหดเหี้ยมผู้นี้จะมา ซ้ำยังเป็นพี่น้องกับจอมยุทธ์ดาบชิวอิ่นอีกด้วย? นี่เป็นเรื่องเมื่อตอนไหนกัน?

หน้าประตูตำหนักของสำนักขุนคีรี ชิวอิ่นที่ดาบเทพโลหิตพาดอยู่บนคอแล้ว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ก็อึ้งเล็กน้อย มือลังเลอยู่หลายส่วน รอจนมองเห็นลำแสงเจิดจ้าดั่งแสงตะวันกระทบแม่น้ำบนท้องฟ้าสายนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แรงกดดันที่กดอยู่ในใจสลายหายไปหมดสิ้นในพริบตา

ถึงแม้อายุจะน้อยกว่าเขา แต่ความยอดเยี่ยมของหลี่มู่กลับทำให้ชิวอิ่นละอายใจที่เทียบไม่ได้

“มาเร็วขนาดนี้?” สวีเซิ่งก็ตกตะลึงเช่นกัน ก่อนจะดีใจเป็นล้นพ้น

เมื่อคืนเพิ่งส่งจดหมายเลือดขอกำลังเสริมไป ตอนที่ถึงเขาขาวพิสุทธิ์ก็น่าจะเป็นเช้าวันนี้ เพียงเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม หลี่มู่กลับตามมาทัน ความเร็วระดับนี้…ต่อให้ขั้นเทวะทุ่มสุดกำลังก็ยังทำไม่ได้กระมัง?

เจ้าสำนักขุนคีรีสวีเยวี่ยรวมถึงคนระดับสูงในสำนักคนอื่นๆ ดีอกดีใจกันทันที

เพียงแค่ชื่อของหลี่มู่ ก็เพียงพอจะทำให้ศิษย์ทั้งหมดของสำนักขุนคีรีเหมือนได้ฉีดยากระตุ้นหัวใจแล้ว

เพราะหลี่มู่เป็นถึงคนที่เคยจับกุมหวงเซิ่งอี้ทีเดียว

ในที่สุดกองหนุนสำคัญก็มาถึงแล้ว

……

“หลี่มู่!”

หลังจากหวงเซิ่งอี้ตะลึงงันไปชั่วครู่ ในดวงตาก็มีไฟแห่งโทสะที่ยากจะยับยั้งลุกโชนขึ้นมา

ชื่อนี้ ชั่วเวลาหนึ่งได้กลายเป็นฝันร้ายของเขา ทำเอาเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ

นี่ไม่ใช่เพียงแค่หลี่มู่เคยเอาชนะเขาได้ซึ่งหน้า แต่เพราะตอนเขาถูกหลี่มู่คุมขังไว้ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้เห็นสิ่งที่หลี่มู่แสดงออกมาจนตกตะลึงไป ยิ่งไปกว่านั้น ต่อมากระทั่ง ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยก็ยังปกป้องหลี่มู่ หลังจากที่หวงเซิ่งอี้กลับไปเมืองปิดภูผา จึงไม่กล้าเผยความคิดหรือเจตนาที่จะแก้แค้นหลี่มู่เลย

แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว

อำนาจอิทธิพลอยู่บนอาวุธในมือ แล้วจะไม่แก้แค้นได้อย่างไร?

เดิมทีเขาตัดสินใจว่า หลังจากจัดการชิวอิ่น ทำให้เมืองปิดภูผามีเสถียรภาพขึ้นมาแล้ว ต่อไปก็จะลงดาบหลี่มู่

ไม่คิดเลยว่าหลี่มู่จะมาถึงหน้าประตูเองในตอนนี้

“ใครจะจัดการคนผู้นี้ร่วมกับข้า” หวงเซิ่งอี้หันมองซ้ายขวา

ทว่าชั่วขณะนี้ ผู้แข็งแกร่งคนสนิทรอบกายเขารวมถึงชายหัวล้านร่างสูงใหญ่ที่แบกขวานยักษ์สีดำไว้กลางหลังล้วนหน้าถอดสี ไม่กล้าตอบรับ

สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงคนนั้นสำคัญอย่างยิ่ง

ชื่อของไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่ ในจักรวรรดิฉินตะวันตกใครเล่าจะไม่รู้จัก?

ชายโหดเหี้ยมผู้สามารถจับกุมครึ่งเทวะ!

พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งอัจฉริยะด้านยุทธ์เช่นนี้ได้

“ฮึ” หวงเซิ่งอี้แค่นเสียง ทั้งผิดหวังและไม่พอใจอย่างมาก

รอบข้างเงียบลงราวจักจั่นจำศีลในฤดูหนาว

“ข้าจะไปจับเอง เพื่อลบล้างความอับอายในวันนั้น” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

เขาในวันนี้ไม่ใช่ครึ่งเทวะในวันวานอีกแล้ว

วันนี้แหละที่จะลบล้างความอัปยศ

เขาหัวเราะหยัน ทั่วร่างมีปราณแท้เปลวเพลิงไหลเวียน ร่างแปรเปลี่ยนเป็นเสาเพลิงหมุนขึ้นฟ้า ทะเลเพลิงที่สะเทือนแผ่นฟ้าม้วนตรงไปยังแสงดาบสายนั้น

สีแดงของเปลวเพลิงมีพลังปีศาจที่ยากจะสังเกตเห็นไหลเวียนอยู่ด้วย

“หลี่มู่ ในวันนี้ ใต้เขาขุนคีรีคือสถานที่ฝังร่างของเจ้า” หวงเซิ่งอี้เชิดหน้าอย่างฮึกเหิมแน่วแน่ ความมุ่งมาดต่อสู้ดั่งพายุ เสียงดุจอัสนีดังขึ้น

เปลวไฟไหลวนทั่วร่างเขา ราวกับเทพเพลิงมาเยือน กลิ่นอายปั่นป่วนปกคลุมฟ้าสะเทือนดิน ดุจจุดไฟเผาไหม้แผ่นฟ้าก็ไม่ปาน ในพริบตานั้นทุกคนรู้สึกคล้ายกำลังยืนอยู่ท่ามกลางนรกเพลิง ความร้อนแผดเผาม้วนกวาดพื้นดิน เหมือนกับอาทิตย์สิบดวงลุกไหม้พร้อมกัน บนยอดเขาที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเล็กน้อย ป่าไม้ทั้งผืนมีไฟโหมไหม้ เปลวไฟหอบเอาพลังฟ้าดินเข้าไปล้อมสี่ด้านของแสงดาบนั้นไว้ หมายจะแผดเผาให้กลายเป็นเถ้าธุลีทั้งเป็น

พลังของขั้นเทวะทำเอาผู้คนประหวั่นพรั่งพรึง

“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าใครที่กล้ามาก่อเรื่อง ที่แท้ก็เจ้านี่เอง” เสียงของหลี่มู่ดังขึ้น เจือความหยิ่งยโสและดูถูกอย่างไม่ปิดบัง “พ่ายแพ้มาแล้ว ยังจะปากกล้าอีกหรือ?”

แสงดาบขาวผ่าฟ้า คมกริบหาใดเปรียบ ฟาดฟันลงไปยังจุดที่เปลวเพลิงโหมแรงที่สุด

“ระวัง เจ้าชั่วหวงมีพลังปีศาจอยู่…” จากที่ไกลๆ ชิวอิ่นอดตะโกนเตือนเสียงดังไม่ได้

หวงเซิ่งอี้ในตอนนี้ เทียบกับวันวานแล้วแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า พึ่งพาปีศาจร้ายนอกพิภพและผสานเข้ากับพลังปีศาจ จึงน่ากลัวเป็นอย่างมาก

แต่การเตือนนี้ไม่ทันกาลเสียแล้ว

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมากมาย แสงดาบฟาดฟันลงไป แยกทะเลเพลิงท่วมฟ้าออกทันที เปลวเพลิงแบ่งเป็นสองฝั่งเหมือนผิวน้ำ รอยแยกขนาดยักษ์สายหนึ่งปรากฏขึ้น ทิศที่ปลายดาบชี้คือร่างของ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ที่อยู่ตรงใจกลาง

เปลวเพลิงที่ปิดฟ้าคลุมดินไม่สามารถต้านแสงดาบสีขาวเงินอันเจิดจ้าไร้เทียมทานสายนี้ไว้ได้

แต่ว่าหวงเซิ่งอี้กลับระเบิดเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆ ติดกับข้าแล้ว”

เสียงยังไม่สิ้น ในดวงตาทั้งคู่ของหวงเซิ่งอี้พลันมีประกายสีดำไหลวน

ชั่วพริบตา ดวงตาของเขาไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์อีกต่อไป แต่เหมือนสัตว์ป่าชั่วร้าย แผ่เจตนาที่โหดเหี้ยมอำมหิตออกมา ครั้นมือทั้งคู่ทำปางมือแปลกประหลาด หมอกดำหนาทึบก็พุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองราวกับหนวดนับหมื่นพัน ก่อนกระจายเข้าไปในทะเลเพลิง ฉับพลันนั้นประหนึ่งหยดหมึกดำลงในน้ำ ทะเลเพลิงสีแดงชาดทั่วแผ่นฟ้ากลายเป็นสีดำที่ประหลาดและน่ากลัว กระแสคลื่นทะลักขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งกลางทะเลเพลิงสีดำนั้น

หากทะเลเพลิงสีแดงชาดก่อนหน้านี้แผ่ความร้อนอันน่ากลัวดุจคลื่นซัดสาด ทะเลเพลิงสีดำสนิทในตอนนี้ก็นำเอาความเย็นเยือกไร้ซุ่มเสียงราวกับความตายมาให้

เพียงพริบตา ท้องฟ้าดำสนิท เหมือนมีคนโจมตีอาทิตย์ทั้งสองดวงร่วงลงมา

ระหว่างฟ้าดินมีเพียงความมืด

“หลี่มู่ ตายเสียเถอะ” เสียงของหวงเซิ่งอี้ดุจเสียงเพรียกแห่งความตายของยมทูตในความมืด

แสงดาบที่ผ่าฟ้าแหวกอากาศ ชั่วขณะนี้เหลือเพียงแสงสว่างเส้นเล็กๆ สายหนึ่ง ไม่ต่างจากเปลวเทียนเล็กจ้อยท่ามกลางสายลมคลั่ง พร้อมที่จะดับได้ทุกเมื่อ และอ่อนแอเหมือนเส้นผมที่ถ่วงด้วยของหนักพันจิน ขาดสะบั้นได้ตลอดเวลา

ชั่วขณะนั้นเหมือนจะตัดสินแพ้ชนะแล้ว

“ฮ่าๆๆ หลี่มู่ วันนี้เจ้าถูกกำหนดให้ตายด้วยน้ำมือของข้า” หวงเซิ่งอี้หัวเราะโอหังอย่างอดไม่ได้ เต็มไปด้วยความสุขหลังการล้างแค้น เปี่ยมด้วยอำนาจที่ไร้ผู้ต่อกร “การสังหารหลี่มู่ ทำลายสำนักขุนคีรีในวันนี้ คือการผงาดง้ำของข้า ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ พวกเจ้าถูกกำหนดให้เป็นบันไดให้ข้าเหยียบขึ้นไปทั้งสิ้น ”

ไม่ทันสิ้นเสียง

“เช่นนั้นหรือ?”

เสียงที่สื่อนัยถากถางของหลี่มู่ก็ดังขึ้น

จุดเพลิงสีแดงจุดหนึ่งเปล่งแสงวูบวาบท่ามกลางเพลิงสีดำสนิทเต็มท้องฟ้า

จากนั้นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็บังเกิดขึ้น

เหมือนกับโยนเชื้อไฟลงไปในน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างไรอย่างนั้น เสียงตูมดังขึ้น ราวกับทั้งท้องฟ้าถูกจุดไฟเผา เปลวเพลิงสีดำถูกเปลวเพลิงสีแดงเข้ามาแทนที่ในพริบตา แสงสว่างกลับคืนสู่ฟ้าดินทันใด และไม่เหมือนกับเปลวเพลิงม้วนแผ่นฟ้าที่ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ควบคุม เปลวเพลิงสีแดงนี้มีเพียงแสงสว่าง ไม่ได้มีพลังแผดเผาน่ากลัวเช่นนั้น

ทว่าเสียงกรีดร้องอย่างทำอะไรไม่ถูกของหวงเซิ่งอี้กลับดังขึ้นข้างหูของคนทุกคนในรัศมีร้อยลี้

“อ๊าก…เป็นไปไม่ได้ เจ้า…ควบคุมเพลิงได้ด้วย?” ร่างที่ถูกไฟสีแดงพันรัดดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางทะเลเพลิง เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่หวงเซิ่งอี้แล้วจะเป็นใครได้ ครึ่งเทวะที่เล่นกับไฟจนวันสุดท้าย ตอนนี้ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ถูกเผาไหม้จนดิ้นรนครวญคราง เสียงร้องน่าเวทนา

กลางทะเลเพลิงมีแสงดาบสายหนึ่ง

บนแสงดาบ ร่างของเด็กหนุ่มผมสั้นสง่างามในชุดขาวยืดตัวตรงประดุจหอก

“ตกใจมากหรือ? ไม่ควรนะ เพราะก่อนหน้านี้ที่เมืองขาวพิสุทธิ์ เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นหลายอย่างอยู่”

หลี่มู่ยิ้มบางๆ

“อ๊าก ทำไมเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ยอม…” หวงเซิ่งอี้ดิ้นพรวดพราดอยู่กลางเปลวเพลิงสีแดง

เขากระตุ้นพลังครึ่งเทวะ พยายามควบคุมไฟ ทว่าทำอะไรไม่ได้ วิชาลับควบคุมวัตถุที่คุ้นเคยอย่างมากตามปกติ เมื่ออยู่ต่อหน้าเพลิงสีแดงชาดเช่นนี้กลับทำอะไรไม่ได้เลย งูเพลิงพันรัดรอบตัวเขา ดูดกลืนพลังชีวิตอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดแสนสาหัสราวแมลงนับหมื่นกัดกินหัวใจจมเขาหายไปในทันที

หวงเซิ่งอี้ฉายา ‘เทพมารเพลิง’ ถนัดเล่นแร่แปรธาตุ ควบคุมวัตถุ แม้แต่ไฟพิเศษใต้ฟ้าก็ยังสามารถควบคุมได้ เขาฝึกฝนเพลิงชาดที่เป็นหนึ่งในสิบไฟพิเศษ ใครเล่าจะไปคิดว่าสุดท้ายจะถูกหลี่มู่ใช้ไฟจัดการ

นี่ก็เป็นเพราะเขาถึงคราวเคราะห์ มาพบกับหลี่มู่ที่ได้คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะมาจากฟ้านิจนิรันดร์

ไฟแท้เต๋าจากพลังจักรพรรดิเพลิงแดนใต้เป็นไฟวิชาเต๋าในจักรวาลทางช้างเผือก แม้ขั้นเทวะสัมผัสก็ยังต้องพินาศ นับประสาอะไรกับหวงเซิ่งอี้ที่ฝืนใช้พลังปีศาจจนอยู่ในระดับสามส่วนสี่ของขั้นเทวะ? อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือไฟแท้เต๋าโดดเด่นเรื่องการกำราบพลังปีศาจร้ายที่สุด เหมือนน้ำมันเชื้อเพลิงมาเจอกับลูกไฟ เพียงแตะก็ลุกพรึ่บขึ้นมา

ภายในร่างหวงเซิ่งอี้ไม่รู้ว่าสะสมพลังปีศาจไว้มากเท่าไร

เมื่ออยู่ต่อหน้าไฟแท้เต๋า เขาก็คือถังน้ำมันที่ใส่น้ำมันเชื้อเพลิงไว้เต็ม จะรอดไปได้อย่างไร?

……………………………………….