ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 362 ราชนิกุลออกศึก

จอมศาสตราพลิกดารา

หนังและกระดูกของหวงเซิ่งอี้ใกล้จะถูกเผาไหม้เป็นเถ้าธุลี

ร่างวิญญาณของเขาเปิดเผยออกมา

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ ร่างวิญญาณของหวงเซิ่งอี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ในนั้นมีหมอกดำเป็นเส้นสายแฝงอยู่ ราวกับหนอนงูแทรกตัวเข้าไปภายใน แผ่ซ่านกลิ่นอายที่ชั่วร้ายชวนขนลุก มีกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ ติดมา ทั้งยังถูกห่อหุ้มไว้ด้วยไฟแท้แห่งเต๋า ถูกหล่อหลอมเผาไหม้ เสียงคำรามของเขามีสองเสียง หนึ่งคือเสียงโหยหวนของหวงเซิ่งอี้ อีกหนึ่งกลับเป็นเสียงแหลมดุร้ายของสัตว์ป่าภูตผี เสียงที่คำรามแสบแก้วหู น่ากลัวถึงขีดสุด…

“กระทั่งวิญญาณของตัวเขาเอง ก็ยังขายให้กับปีศาจร้ายนอกพิภพ…”

เมื่อเห็นฉากนี้ คนทั้งหมดเข้าใจแล้ว

ช่วงสุดท้ายเมื่อครู่ หวงเซิ่งอี้เรียกทะเลเพลิงสีดำออกมา เกือบจะทัดเทียมได้กับขั้นเทวะที่แท้จริง ที่มาของพลังนั้น มาจากสิ่งนี้นี่เอง

“อ๊าก…ท่านเซียน ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…” ร่างวิญญาณของหวงเซิ่งอี้ยังคงอ้อนวอนในช่วงเวลาสุดท้าย แต่พลังมืดทึมน่ากลัวที่แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของเขาทำให้รักษาตัวเองไว้ได้ยาก ถูกไฟแท้เต๋าเผาไหม้หล่อหลอม ขณะที่ดิ้นรนใบหน้าดุร้ายก็ปรากฏออกมา ส่งเสียงคำราม ก่อนสลายไปราวฝุ่นควัน

วิญญาณของหวงเซิ่งอี้กับปีศาจร้ายนอกพิภพที่กัดกร่อนวิญญาณเขา สลายกลายเป็นฝุ่นไปพร้อมกัน

ครึ่งเทวะที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ก่อนหน้านี้ คุณูปการที่สร้างไว้ถูกลมฝนกาลเวลาซัดสาด ดับสูญไปจากโลกเช่นนี้เอง

ความดุเดือดของการเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังทำเอาผู้คนตะลึงงัน

หลี่มู่ยืนอยู่บนดาบวัฏจักร ในใจรู้สึกว่าเรื่องในวันนี้ง่ายดายเกินไปแล้วกระมัง

เดิมทีเขาเตรียมตัวที่จะทำศึกยืดเยื้อหรือไม่ก็สงครามกองโจรแล้ว

แต่ทว่า…

หวงเซิ่งอี้คนนี้ก็ซวยเสียเหลือเกิน

ศึกในวันนี้ หากเขาพบกับคนอื่น ต่อให้เป็นขั้นเทวะอย่างมากสุดก็สู้แพ้ ไม่ถึงกับหนีเอาตัวรอดไม่ได้ ถึงอย่างไรการแลกเปลี่ยนระหว่างเขากับปีศาจร้ายนอกพิภพก็ยังคงอยู่ กลวิธีของปีศาจร้ายที่แท้จริงอีกมากมายล้วนยังไม่ถูกงัดออกมาใช้ นั่นเป็นพลังที่สามารถต่อกรกับขั้นเทวะที่แท้จริงได้เลย แต่ผลลัพธ์คือถูกไฟแท้เต๋าของหลี่มู่แผดเผาเสียจนไร้ซาก

นี่เป็นชะตากรรม

ฟ้ากำหนดไว้ให้ข้าเป็นผู้พิชิตเจ้า

หลี่มู่ยืนสงบไว้อาลัยไปทางทิศที่หวงเซิ่งอี้สลายกลายเป็นฝุ่นครู่หนึ่ง

หลังจากนั้น…

“ภายในสิบลมหายใจ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้”

หลี่มู่มองผู้แข็งแกร่งฝั่งหวงเซิ่งอี้ที่อยู่บนอากาศไกลๆ มองยอดฝีมือจากหลายสำนักที่ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอยด้านล่าง รวมถึงทัพทหารของราชสำนัก และตะโกนขึ้นอย่างไม่มีความเกรงใจ

ฟิ้วๆๆ

รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งหัวล้านร่างใหญ่ที่แบกขวานนั่นด้วย ยอดฝีมือที่สาบานตัวจงรักภักดีกับหวงเซิ่งอี้ก่อนหน้านี้เหมือนกระต่ายตื่นตกใจ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร หมุนตัวกลับหนีไปทันที ด้วยกลัวว่าหลี่มู่จะตามมาฟันสังหาร

บนพื้นดิน ยอดฝีมือสำนักใหญ่ต่างๆ ที่ถูกบังคับให้มาโจมตีสำนักขุนคีรีเลิกคิดที่จะต่อสู้นานแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้กลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำไป โยนอาวุธทำศึกทั้งหลายทิ้ง ถอยหนีไปราวกับกระแสน้ำลงเช่นกัน

มีเพียงทหารรักษาวังที่ได้รับคำสั่งให้มาโจมตีเท่านั้นที่ยังไม่ถอย

แสงดาบสว่างวาบ

ร่างของหลี่มู่ไปปรากฏอยู่ด้านหน้ากองกำลังศรทะยานของทหารรักษาวัง

ฟึ่บๆๆ

เสียงง้างสายหน้าไม้นับไม่ถ้วนดังขึ้น

ปลายธนูมากมายหันเล็งเข้าหาหลี่มู่ที่ลอยอยู่ห่างจากพื้นราวสามจั้ง

“ยังไม่ยอมถอยหรือ?” หลี่มู่กวาดตามองขุนพลนำทัพที่อยู่หน้าขบวน เอ่ยขึ้นว่า “มือธนูหกพัน พลโล่สองพัน พลหอกอีกสองพันของกองกำลังศรทะยาน ภายใต้การเตรียมพร้อมป้องกันของยุทโธปกรณ์ทั้งหมด จะต้านข้าได้สักกี่ดาบกัน?” ใต้เท้าของเขา ดาบวัฏจักรแผ่แสงดาบโปร่งใสทะลักออกมาหนาแน่น จนคล้ายจะทำให้แสงในอากาศรอบๆ บิดเบี้ยวไป

พลังกดดันอันน่ากลัวแผ่กระจาย

ขุนพลคนนั้นมีเหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งไหลลงมาจากจอนผม

คุณงามความดีและชื่อเสียงของเซียนกวีวิถียุทธ์ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่แห่งฉางอัน ทหารฉินตะวันตกมีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยิน?

จอมยุทธ์ดาบชิวอิ่นก็เคยเป็นยอดยุทธ์ชื่อเสียงโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ว่าชื่อเสียงนี้ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับทุ่งปิดภูผา ยิ่งไปกว่านั้นชิวอิ่นเป็นผู้กล้าหาญรักคุณธรรม ไม่เคยทำเรื่องนอกรีต ประพฤติอยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ท่านอ๋องตรงหน้านี้ไม่เหมือนกัน เป็นผู้กำเริบเสิบสาน อาศัยเพียงความชอบและไม่ชอบของตนเอง เอ่ยไม่ถูกหูประโยคเดียวก็บั่นศีรษะของบุตรผู้สืบทอดเจิ้นซีอ๋องและองค์ชายมาแล้ว ปู่หลานหวงเซิ่งอี้ทั้งสองคนยังกลายเป็นผีใต้คมดาบตามกันไปอีก

คนเช่นนี้ คิดว่าจะเกรงกลัวความน่าเกรงขามของทหารรักษาวังหรือ?

ผู้บังคับบัญชากองกำลังศรทะยานต่อให้สมองถูกลาเตะ ก็คงไม่เห็นเป็นเช่นนั้น

ก็จริง กองกำลังศรทะยานหนึ่งหมื่นนายจะต้านได้สักกี่ดาบกัน?

สองดาบ?

หรืออาจจะสาม?

ท้ายที่สุด ผู้บังคับบัญชากองกำลังศรทะยานถอนหายใจยาว ประสานมือขึ้นเอ่ย “ในเมื่อท่านอ๋องสั่งการเช่นนี้ ข้าขุนพลจะกล้าขัดหรือ? ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ถอยทัพ”

เขาโบกมือ กองกำลังศรทะยานในทหารรักษาวังถอยทัพกลับไปดุจกระแสน้ำลง

หลี่มู่ยังมีอีกฐานะหนึ่ง คืออ๋องแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ถึงแม้เป็นเพียงชื่อเสียง แต่นำมาใช้ตอนนี้เพื่อเป็นข้ออ้างสั่งถอยทัพก็ใช่ว่าจะพูดออกมาไม่ได้

ไม่จำเป็นต้องสู้รบกันอย่างไร้ความหมาย

ชั่วพริบตา กำลังคนจากขั้วอำนาจแต่ละฝ่ายที่ล้อมโจมตีสำนักขุนคีรีถอยออกไปไม่มีเหลือ

หลี่มู่ใช้วิชาดาบเหินหาว วาดเป็นแสงเส้นโค้งเส้นหนึ่ง บินมาถึงยอดเขาขุนคีรี

ค่ายกลเปิดออก

พวกของเจ้าสำนักขุนคีรีสวีเยวี่ยพร้อมด้วยชิวอิ่นและสวีเซิ่งล้วนออกมาต้อนรับ

“คารวะไท่ไป๋อ๋อง”

“น้องสาม เจ้ามาไวจริง”

“ฮ่าๆ หลานชาย ดาบเดียวฟันทหารนับหมื่นถอยร่นเช่นนี้ สาแก่ใจจริงๆ”

ทุกคนทยอยเข้ามาทักทายหลี่มู่

สำนักขุนคีรีทั้งสำนัก เส้นที่ขึงตึงอยู่ในใจผ่อนคลายลงในที่สุด

นี่คือชื่อเสียงโด่งดังของผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์กระมัง สำหรับสำนักขุนคีรีแล้วแทบจะเป็นภัยพิบัติทำลายล้าง แต่สำหรับหลี่มู่กลับเป็นปัญหาที่แก้ได้ด้วยดาบเดียว กอบกู้ช่วยเหลือให้รอดพ้นจากวิกฤต ยืนตระหง่านเหนือยอดคลื่น ต้านกระแสน้ำย้อนกลับ ดาบเดียวพิฆาตเทวะ ประโยคเดียวไล่ศัตรู…

นี่…ถึงจะเป็นพลังและเสน่ห์ของอัจฉริยะแห่งยุคที่แท้จริงกระมัง

ศิษย์มากมายของสำนักขุนคีรีใช้สายตาเลื่อมใสและเคารพมองไปที่หลี่มู่

“ท่านสวี นี่มัน…” เมื่อเห็นแขนทั้งสองของสวีเซิ่ง หลี่มู่ทั้งตกใจและโกรธแค้น

พลังฝึกของ ‘หมัดเทพทลายฟ้า’ สวีเซิ่งทั้งหมดอยู่ที่หมัดทั้งสอง เมื่อแขนทั้งสองขาดไป จะใช้วิชาหมัดได้อย่างไรกัน

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ใช้สองแขนไม่ได้ ข้าก็ยังหัดใช้ขาได้” สภาพจิตใจของสวีเซิ่งไม่เลวเลย เดิมทีเขาก็เป็นคนที่ร่าเริงอยู่แล้ว สำนักขุนคีรีรอดพ้นจากวิกฤตได้ เขาเป็นคนที่ดีใจมากกว่าใครๆ

“น้องสาม ครั้งนี้ดึงเจ้าเข้ามาพัวพันในวังวนนี้เสียแล้ว” ชิวอิ่นเผยสีหน้าละอายใจ

ความวุ่นวายภายในของทุ่งปิดภูผา การปรากฏตัวของทหารรักษาวังและกลุ่มก้งเฟิ่ง นี่ไม่ใช่เพียงการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเทพแล้ว ความคิดสังหารเบื้องหลังพวกนั้น คิดๆ แล้วล้วนทำให้คนเสียวสันหลังวาบ วังวนนี้ต่อให้เป็นขั้นเทวะ หากไม่ระวังเล็กน้อยก็อาจได้รับผลกรรมและถูกดูดกลืนลงไปก็เป็นได้

“พี่รองอย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องของพี่น้องมีความชอบธรรมอยู่ ท่านกับข้าสาบานเป็นพี่น้องกัน จะบอกว่าเพียงเพื่อร่วมสุขเท่านั้นหรือ” หลี่มู่พูดอย่างจริงจัง

ทั้งสำนักขุนคีรีต่างเฉลิมฉลองยินดี

สวีเซิ่งเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาดีใจ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเหมือนกับที่เห็นเปลือกนอก ข้ากังวลว่าทุ่งปิดภูผากับราชวงศ์น่าจะบุกเข้ามาอีกเร็วๆ นี้ มือมืดที่เตรียมจะควบคุมทั้งหมดไม่มีทางรามือไปง่ายๆ เพียงนี้แน่”

ชิวอิ่นหยักหน้า เอ่ยตามว่า “ถูกต้อง ต้องรีบวางแผน จะรั้งอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว”

หลี่มู่ได้ยินจึงถามขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หากเป็นแค่ความแตกแยกภายในของทุ่งปิดภูผา ทำไมกองกำลังก้งเฟิ่งของราชวงศ์กับทหารรักษาวังแห่งจักรวรรดิจึงออกโรงด้วย?”

เขามาอย่างเร่งร้อน ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ชิวอิ่นเล่าเรื่องราวมูลเหตุผลลัพธ์ให้ฟังรอบหนึ่ง “ปีศาจร้ายอาละวาดแล้ว น่ากลัวว่าก่อนหน้านี้พวกเราไม่ทันได้สังเกตเห็น ปีศาจร้ายนอกพิภพลงมาเยือนอย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว แทรกซึมเข้ามาในหลายๆ ฝ่าย สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้มาก”

หลี่มู่นิ่งลง หันกายตะโกนลงไปยังตีนเขาว่า “หยวนโห่ว ไปสำรวจความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายด้านนอกที”

ตีนเขามีเสียงกังวานลากยาวของวานรดังขึ้น จากนั้นก็เห็นแสงสีทองเส้นหนึ่งวาดผ่านอากาศ ตรงไปยังทิศที่กองกำลังศรทะยานทหารรักษาวังถอยกลับไป

ก่อนหน้านี้ วานรภูเขาขนทองหยวนโห่วไม่ได้ปรากฏตัวเลย เพราะหลี่มู่ให้มันอยู่ด้านล่างคอยสนับสนุนพวกตนเองเวลาหนี ไม่คิดว่าพอขึ้นมาถึงก็จะจัดการหวงเซิ่งอี้จนตาย ไล่ฝูงชนกลับไปอีกฝูง ดังนั้นจึงยังไม่ต้องหนีตอนนี้ ให้มันออกไปสำรวจลู่ทางก็แล้วกัน

ทว่า สถานการณ์ลุกลามไปไกลเกินกว่าที่พวกหลี่มู่คาดการณ์ไว้

เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม วานรภูเขาก็กลับมาพร้อมบาดแผล

ไม่ต้องให้มันรายงานอะไร ทุกคนก็เข้าใจถึงสาเหตุ

กองกำลังศรทะยานในทหารรักษาวังที่ถอยกลับไปย้อนกลับมา และผู้ที่มาด้วยกันยังมีกองกำลังชั้นยอดของทหารรักษาวังอีกหกกอง

กลางอากาศ กองกำลังปีกถลาลมปรากฏกายขึ้น ทหารเกราะขี่เหยี่ยวราวห้าพันนายดุจฝูงตั๊กแตนบิน ล้อมป้องกันเรือเหาะยักษ์ยาวสามสิบจั้งสามลำ บนเรือเหาะที่นำขบวนปักธงยักษ์รูปวิหคเก้าหัวสีดำผืนหนึ่ง โบกสะบัดโต้ลม ความเคร่งขรึม น่าเกรงขาม และวังเวงเย็นชาแผ่ซ่านออกมา นี่คือธงที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก มีเฉพาะยามที่ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในบรรดาราชนิกุลออกศึกด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะใช้ธงเช่นนี้

เมื่อเห็นธงวิหคเก้าหัว ยอดฝีมืออาวุโสมากมายของสำนักขุนคีรีล้วนเปลี่ยนสีหน้า

ราชนิกุลออกศึกเอง หากไม่ตายจะไม่เลิกรา

อีกทั้งไม่ได้มีเพียงเท่านี้

บรรดาสำนักที่เคยล่าถอยไป ผู้แข็งแกร่งฝั่งหวงเซิ่งอี้ คนจากทุ่งปิดภูผา รวมไปถึงกลุ่มก้งเฟิ่งของราชสำนัก ยอดฝีมือจากสำนักตรวจการ ก็มากกว่าก่อนหน้าหลายสิบเท่า หนาแน่นประหนึ่งกระแสน้ำสีดำอย่างไรอย่างนั้น ล้อมกรอบโจมตีเข้ามาจากทุกทิศ เทียบกับที่หวงเซิ่งอี้นำคนมาล้อมโจมตีก่อนหน้าแล้ว ภาพนี้ไม่รู้ว่าน่ากลัวกว่ากี่เท่า…ไม่ว่าจะเป็นจำนวนศัตรูหรือว่าคุณภาพล้วนทำให้คนสิ้นหวัง

สำนักขุนคีรีเปิดใช้งาน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ เพื่อปกป้องสำนักก่อนเป็นอันดับแรก

เสียงแตรทหารลากยาว เสียงกลองรบดังสนั่นไม่หยุด กึกก้องระหว่างฟ้าและดิน

ไอสังหารตลบทั่วและกำลังเดือดพล่าน

ด้านในเทือกเขาขุนคีรี สัตว์ป่าสัตว์ปีกทั้งหมดตื่นตระหนกตกใจ หนีตายอย่างบ้าคลั่ง

ด้านหน้าประตูตำหนักของสำนัก ใบหน้าศิษย์สำนักขุนคีรีนับไม่ถ้วนเผยความสิ้นหวังออกมา

ภาพเหตุการณ์ที่ปะทะเข้ามานี้เกินกว่าระดับวิกฤตสูงสุดที่สำนักหนึ่งจะต้านทานไว้ได้

และมากเกินกว่าที่ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่จะต้านทานได้เช่นกัน

เพราะบนเรือเหาะยักษ์สามลำนั้นมีกลิ่นอายของเทวะที่ไม่ด้อยไปกว่าหวงเซิ่งอี้อีกสามกลุ่มกระจายอยู่ ไอมารสีดำพันรอบ ราวกับเมฆดำที่กระตุ้นแผ่นฟ้า ทำให้แผ่นดินผืนนี้มีเพียงความมืดมิดนิจนิรันดร์ นี่คือการระเบิดพลังแห่งจักรวรรดิหนึ่ง ไม่เพียงแค่เทวะหนึ่งคน แต่ยังมีเทพปีศาจอยู่ด้านในด้วย

“ประกาศราชโองการ สำนักขุนคีรีก่อกบฏ โทษมหันต์ถึงขั้นประหาร ทุกชีวิตในสำนัก ไม่เว้นสุนัขหรือไก่ ทำลายทิ้งให้สิ้นซาก ลบจากแผ่นดินไปตลอดกาล”

เสียงเย็นเยียบโหดเหี้ยมดั่งคำตัดสินของเทพมรณะดังขึ้นจากเรือเหาะที่นำหน้า ก้องกังวานระหว่างฟ้าดิน

………………………………………….