“ดังนั้นถ้าคุณอยากจะดูหนังดีๆ ก็ควรเลิกทำร้ายเธอได้แล้วนะครับ รับปากกับผมได้ไหมล่ะ”
บางทีอาจเป็นเพราะคำขอร้องที่นุ่มนวลของโจนส์ นักข่าวรอบตัวเขาจึงพยักหน้าให้อย่างยอมจำนน
โจนส์เผยรอยยิ้มยินดีออกมาทันที ราวกับพ่อที่ปกป้องลูกสาวของตัวเองได้สำเร็จ
จากสิ่งที่เขาพูดกับนักข่าว เห็นได้ชัดว่าโจนส์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับถังหนิงมาก อย่างน้อยถังหนิงก็เป็นคนที่มีความสามารถจนกูรูแห่งโลกไซไฟอย่างเขายอมรับว่าเธอเป็นลูกศิษย์
นี่มันบ้าไปแล้ว!
“เธออาจไม่ได้เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุด แต่เธอจะใช้ความจริงใจของเธอสร้างหนังที่ดีขึ้นมาได้อย่างแน่นอนครับ เชื่อผมเถอะ”
พูดจบ โจนส์ทำสัญลักษณ์โอเคส่งให้นักข่าวขณะที่เดินผ่านเข้าไปในส่วนคัดกรองความปลอดภัย
ชายสูงวัยคนนี้สมควรเป็นที่รักจริงๆ
หลังจากโจนส์หายลับไปจากสายตาของพวกเขา นักข่าวก็ถอนหายใจออกมา “ที่แท้ถังหนิงก็เป็นลูกศิษย์ของโจนส์ ถึงทุกคนจะสบประมาทเธอขนาดไหน เธอก็ยังยืนหยัดที่จะสร้างหนังไซไฟขึ้นมาสินะ”
“เธอเคยมีประสบการณ์ในการถ่ายทำตอนที่เฉียวเซินยังอยู่ ฉันแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเธอจะยังไม่ยอมแพ้ ครั้งนี้ฉันพูดเลยว่ายอมใจเธอแล้ว”
“ถังหนิงเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ที่มีอาจารย์ที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ออกมาพูดเพื่อปกป้องเธอ”
“ฉันว่ามีโจนส์คอยสนับสนุนทั้งที การกลับมาและสร้างบางอย่างที่ยิ่งใหญ่คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับถัง หนิงหรอก มาดูกันสิว่าหม่าเวยเวยจะสู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“คนหนึ่งเป็นตัวจริงมาตลอดในขณะที่อีกคนเป็นแค่เงาไร้ราคา เธอจะคาดหวังอะไรกับยัยตัวปลอมนั่นล่ะ”
เรื่องที่ถกเถียงกันในหมู่นักข่าวเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่วิดีโอการสัมภาษณ์ในวันนั้นถูกปล่อยลงในโลกออนไลน์ แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับถังหนิง แต่ก็ตกเป็นข่าวใหญ่ในทันที ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปถึงหม่าเวยเวยจะพยายามเลียนแบบเธอมากขึ้นทุกวัน ก็ไม่มีทางที่จะตามทันได้อย่างแน่นอน
ยิ่งในตอนนี้ที่เจ้าแห่งวงการออกมาบอกเองว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของเขาด้วย ลำพังแค่เรื่องความสัมพันธ์อย่างเดียว นักข่าวก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำดีกับถังหนิงให้มากขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าหลังจากปะทะกับนักข่าวมาหลายครั้ง ถังหนิงเรียนรู้จากโจนส์ว่ามันไม่มีผู้ชนะ ในขณะที่สื่อได้ทบทวนตัวเองหลังจากตกเป็นพาดหัวข่าวในอเมริกาและถูกตบหน้า ถังหนิงรู้ว่าควรใช้เวลาไปกับการทำภาพยนตร์ของเธอให้สมบูรณ์แบบมากกว่าจะมาโต้เถียงกับสื่อ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เธอได้รับการยอมรับจากโจนส์พร้อมทั้งการสนับสนุนจากเขา เป็นธรรมดาที่คุณค่าในตัวเธอจะเปลี่ยนไป…
คนที่คอยติดตามเรื่องนี้อยู่สัมผัสได้ถึงความพึงพอใจ
อย่างไรเสียการเห็นถังหนิงถูกหม่าเวยเวยกดขี่ก็ทำให้พวกเขาโกรธ เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายควรเป็นฝ่ายที่ถูกกดขี่เสียเองมากกว่า ตอนนี้ถังหนิงจึงได้พลิกกระดานและตอกกลับหม่าเวยเวยกลับไป ชวนให้พวกเขารู้สึกสะใจราวกับได้ลงมือเอง
แน่นอนว่าในฐานะตัวหลักของเรื่อง ถังหนิงไม่รู้ว่าโจนส์จะทำในสิ่งที่เขาทำลงไป ความจริงแล้วเธอตัดสินใจว่าจะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยซ้ำ
“คุณควรจะมีความสุขที่โจนส์มอบของขวัญใหญ่ขนาดนี้ให้ไม่ใช่เหรอคะ
“คุณเองก็รู้ว่ากระแสตอบรับจะต่างออกไปมาก ถ้าคำพูดพวกนี้ออกมาจากปากเขาแทนที่จะเป็นคุณ”
นี่เป็นเรื่องแรกที่หลงเจี่ยเอ่ยกับถังหนิงที่มีท่าทีจริงจังหลังจากกลับมาทำงาน
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ถังหนิงกังวลก็มีส่วนถูก “การเป็นลูกศิษย์ของโจนส์อาจจะเป็นเรื่องที่มีศักดิ์ศรี แต่มันย่อมหมายความว่าคนอื่นจะต้องคาดหวังในตัวเธอต่างไปจากเดิม มันยิ่งทำให้ฉันยิ่งกดดันมากขึ้นไปอีก”
“จริงค่ะ ยังไงโจนส์เองก็เป็นถึงเจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟถ้าผลงานของคุณไม่ดีขึ้นมา ในฐานะลูกศิษย์ของเขา คุณเองจะต้องได้รับผลตอบรับอย่างรุนแรง แต่ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณนะคะ” หลงเจี่ยเชื่อในตัวถังหนิงอย่างไม่มีข้อแม้ “ดูตอนที่คุณย้ายทีมงานฝ่ายผลิตของมดราชินีไปมาระหว่างอเมริกากับจีนแล้ว ฉันมั่นใจว่าคุณจะต้องได้รับการยอมรับจากคอหนังแน่นอนค่ะ”
“การตัดต่อมดราชินีเริ่มขึ้นแล้ว ฉันมั่นใจว่าทุกคนจะได้เห็นมันในไม่ช้านี้แหละ อีกอย่างตอนนี้โจนส์ก็กลับไปแล้ว ฉันว่าถึงเวลาที่ฉันต้องจัดการกับเรื่องของจู้ซิงมีเดียสักที แต่ก่อนอื่นถิงกับฉันต้องพาจื่อเฉินไปทดสอบก่อน”
“ทุกคนดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเจ้าตัวแสบคนนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ” หลงเจี่ยพูดขณะที่มองโม่จื่อเฉินที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา
น่าเสียดายที่หลังจากเลิกงาน หลงเจี่ยยังต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบากที่บ้าน
แม้ว่าคุณนายลู่จะมาหาเพียงครั้งเดียวและหลงเจี่ยก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ หากแต่เมื่อคิดถึงใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาก็ยังพาให้เธอไม่สบายใจ
ลู่เช่อบอกให้เธอรอเวลาที่สมควร แต่เธอกลับอยากให้เวลานั้นมาถึงเต็มที ไม่อย่างนั้นไม่นานเธอคงได้พาลเกลียดบ้านตัวเองจนไม่อยากกลับแน่ อย่างไรเธอเองก็กังวลว่าอยู่ๆ คุณนายลู่จะโผล่มาอีกครั้ง…
ในขณะเดียวกัน ผลการตรวจของเธอที่ลู่เช่อบอกให้เธอไปตรวจร่างกายยังไม่ออกมา
…
ในช่วงนี้เองที่ข่าวเรื่องถังหนิงเป็นลูกศิษย์ของโจนส์แพร่สะพัดไปทั่วปักกิ่งอย่างรวดเร็ว ผู้ชมต่างรู้ว่าถัง หนิงได้รับการยอมรับในงานแสดง ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะถากถางเธอที่ต้องการสร้างภาพยนตร์ไซไฟขึ้นมา แต่ตอนนี้เธอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของ เจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟแล้ว มันไม่ได้หมายความว่าเธอมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับมันหรอกหรือ
ดูเหมือนว่าเธอจะชอบความท้าทายเสียจริง
และยิ่งชอบการตบหน้าเป็นพิเศษด้วย
ครั้งนี้ข่าวของถังหนิงทำให้หม่าเวยเวยไม่มีทางตามเธอได้ทันต่อให้เธอจะขี่จรวดก็ตาม ถึงอย่างไรพอเป็นเรื่องภาพยนตร์และโทรทัศน์เธอเองก็ไม่ใช่คนที่มีบทบาทสำคัญอยู่แล้ว แม้ว่าจะทุ่มเทเรียนรู้มันมากเพียงใด เธอก็ไม่อาจเข้าใจได้ลึกซึ้งและมีความสามารถที่จะทำได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นได้อย่างถังหนิง
ด้วยเหตุนี้สาธารณชนจึงเปรียบเทียบระหว่างถังหนิงกับหม่าเวยเวยในท้ายที่สุด
ทำให้หม่าเวยเวยยิ่งถูกเยาะเย้ย ต่อว่า และสูญเสียผลประโยชน์
ในเวลาเดียวกันสิ่งที่เธอทำนั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับมูลค่าในตัวเธอ
ดังนั้นหม่าเวยเวยจึงตกอยู่ในอาการหดหู่ใจ
ผู้จัดการที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปลอบเธอ “เวยเวย อย่าปล่อยให้มันทำให้เสียกำลังใจสิ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือการคว้าโอกาสต่อไปในการสร้างกระแสนะ”
“ฉันเป็นแค่ปรสิตบนตัวถังหนิง”
“อย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทางต้นสังกัดจะพาเธอไปคัดตัวกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวระดับนานาชาติยี่ห้อหนึ่ง ถึงถังหนิงจะก้าวขึ้นไปอีกระดับแล้วเธอเองก็ไม่ได้แย่เหมือนกันแหละน่า” ผู้จัดการของหม่าเวยเวยปลอบใจ “ไปพักผ่อนแล้วก็เลิกคิดได้แล้ว”
หม่าเวยเวยได้ประกาศสงครามกับถังหนิงหลายครั้งแต่ถังหนิงกลับไม่สนใจแต่อย่างใด
แล้วหม่าเวยเวยจะทำอะไรได้ล่ะ ถังหนิงเป็นถึงลูกศิษย์ของโจนส์ไปแล้ว!
เพราะเรื่องนี้เธอจึงโทรหาหันซิวเช่อ “ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดี ทำไมไม่ไปดื่มสักหน่อยล่ะ”
“เพราะถังหนิงเหรอ” หันซิวเช่อถามทันที “ผมได้ยินมาว่าเธอนำคุณไปอยู่ชั้นแนวหน้า คนละชั้นกับคุณเลยนี่ เอาน่า ก็แค่รอเวลาที่ตัวเองจะโดนตบหน้าเท่านั้นแหละครับ…”
“เลิกพูดจาอวดดีสักที คุณเองก็คงมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไหร่หรอก” หม่าเวยเวยสวนเข้าให้ “ถึงยังไงคุณก็มองถังหนิงเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา คุณไม่ทรมานที่เห็นฝ่ายตรงข้ามดีขึ้นบ้างเลยเหรอ”