หลังจากได้ผลประโยชน์จากชื่อเสียง หม่าเวยเวยละทิ้งความไม่มั่นใจในตัวเองไปเป็นการชั่วคราว อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็ได้เข้าใจถึงข้อดีของการมีหน้าตาคล้ายถังหนิง และเหตุใดต้นสังกัดของเธอจึงเลือกให้เธอทำเช่นนี้
เพราะสิ่งที่หันซิวเช่อทำให้เห็นก่อนหน้านี้ หม่าเวยเวยเรียนรู้ที่จะกระทำการอุกอาจอย่างไรซึ่งความหวาดกลัว อย่างไรเสียหากเธอจะต้องซวย เธอก็สามารถโยนความผิดให้ถังหนิงได้อย่างง่ายดาย แล้วทำไมเธอจะไม่ทำล่ะ
งานล่าสุดของเธอคืองานเลี้ยงฉลองของเครื่องเพชรยี่ห้อหนึ่ง
ด้วยความบังเอิญที่ด้านในอาคารเดียวกันนั้นมีภาพถังหนิงในงานโฆษณานาฬิกาของยี่ห้อเดียวกัน ด้วยเหตุนี้นักข่าวจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับถังหนิง เธอยืนอย่างไม่สะทกสะท้านข้างๆ ป้ายของถังหนิงก่อนส่งยิ้มให้เป็นคำตอบ “ฉันเองก็หวังว่าถ้าถังหนิงกับฉันได้ยืนบนเวทีเดียวกัน เราคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่นอนค่ะ”
“คุณไม่ถือที่จะใช้เวทีร่วมกับเธอเหรอครับ”
“ทำไมฉันต้องถือด้วยล่ะคะ” หม่าเวยเวยไหวไหล่ก่อนเอ่ยสำทับ “พี่หนิงก่อตั้งจู้ซิงมีเดียมา แล้วมันก็ตกอยู่ในมือฉันแล้ว ฉันแค่หวังว่าฉันจะรักษาเจตนารมณ์เดิมของสังกัดไว้ได้ และยังหวังว่าจะใช้โอกาสนี้บอกพี่หนิงว่าฉันจะดูแลจู้ซิงมีเดียเป็นอย่างดีเลยค่ะ”
เธอพูดอย่างนั้นเพื่ออะไรกัน
มันเกือบจะเหมือนการคลอดลูกมาคนหนึ่งและถูกขโมยไป ในขณะที่คนร้ายกลับบอกทุกคนว่าพวกเขาจะดูแลลูกให้โดยไร้ซึ่งความรู้สึกผิดแต่อย่างใด
ใครๆ ก็คาดเดาได้ว่าหม่าเวยเวยจะร้ายกาจได้เพียงไหน
ทว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้หม่าเวยเวยจะเรียกร้องความสนใจและถังหนิงจะหลีกเลี่ยงเธอ บรรยากาศตึงเครียดระหว่างหญิงสาวสองคนก็เพียงพอให้สื่อบันเทิงเก็บภาพช่วงเวลาเด็ดๆ ไว้ได้
หม่าเวยเวยรับปากว่าจะดูแลจู้ซิงมีเดียจริงๆ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ยั่วโมโหที่สุดที่เธอเคยพูดมาก็เป็นได้
เธอกำลังจะประกาศสงครามกับถังหนิงหรือ
หากแต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมหวั่นใจที่สุดคือการที่ตัวหลักอีกคน ถังหนิง ยังคงไม่ได้ออกมาตอบโต้
เธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับหม่าเวยเวยแม้แต่น้อย
ทว่าเป็นเพราะถังหนิงกำลังยุ่งอยู่กับการพาโจนส์ไปเที่ยวให้เพลิดเพลินที่สุดในปักกิ่ง และดูแลเขาอย่างจริงใจราวกับเป็นคนในครอบครัว
อย่างไรก็ตามโจนส์ได้แต่มองข้ามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไป
ไม่กี่วันหลังจากนั้น โจนส์ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เขาต้องกลับอเมริกาแล้ว ปักกิ่งเป็นสถานที่พักผ่อนแรกหลังจากเขาเกษียณอายุ และเขารู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใจวัฒนธรรมที่นั่นเพียงพอแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปพร้อมภรรยาของตัวเอง
“ถังหนิง ฉันรู้ว่าถ้าเรายังอยู่ที่นี่ คุณจะต้องเอาแต่มาอยู่เป็นเพื่อนเราและไม่มีเวลาไปจัดการกับยัยตัวปลอมไร้ราคาของคุณ”
หลังได้ยินดังนั้น ถังหนิงส่ายหน้า “ฉันจัดการกับเรื่องนั้นได้ทุกเมื่อนั่นแหละค่ะ แต่การใช้เวลากับอาจารย์ของฉันไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้บ่อยๆ นี่คะ”
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปพร้อมกับคุณนายโจนส์”
“คุณไม่อยากอยู่ต่ออีกหน่อยเหรอคะ”
“ไม่ล่ะ ภรรยาของฉันเริ่มคิดถึงหลานของเธอแล้วน่ะสิ…” เขาว่าขึ้น “พรุ่งนี้เราจะไปสนามบินกันเอง คุณไม่ต้องมาส่งเราหรอก ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นข่าวใหญ่อีกแน่”
“อาจารย์คะ”
“สิ่งดีๆ มักมาในตอนสุดท้ายเสมอนั่นแหละ ภรรยากับฉันเองก็แก่แล้ว แต่คุณอายุยังน้อย ยังมีศักยภาพที่ไม่มีชีดจำกัด ฉันจะรอคอยผลงานหนังของคุณที่ออกมาจากที่อเมริกานะ” หลังจากเขาเก็บข้าวของเสร็จ โจนส์วางกระเป๋าเดินทางไว้ด้านข้างก่อนชี้ไปที่ลูกชายทั้งสองคนของเธอ “ลูกชายของคุณไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ”
ด้วยเธอกลัวว่าลื่อจะตามมาคุกคามโจนส์และภรรยา ถังหนิงจึงจัดการให้พวกเขาอยู่ที่ไฮแอทรีเจนซี
เมื่อทั้งคู่มาถึง พวกเขาระเบิดความตื่นเต้นออกมาเพราะได้เห็นหน้าเจ้าตัวแสบแสนน่ารักทั้งสามคน
โจนส์อยู่ในวัยที่มีความสุขกับการเลี้ยงหลาน ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเด็กๆ สายตาของเขาจึงฉายแววอ่อนโยนและเอ็นดูเต็มที่
“พ่อของเขากับฉันว่าจะพาเขาไปตรวจดูสักหน่อยว่าทำไมเขาถึงแตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ น่ะค่ะ”
“ถ้าได้ผลยังไงก็บอกให้ฉันรู้ด้วยแล้วกันนะ” โจนส์เอ่ยพลางเลิกคิ้ว “พวกคุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ น่ะ”
ถังหนิงหัวเราะ “ใช่ค่ะ ถูกของคุณ”
เช้าวันถัดมา…
…โจนส์ยืนกรานจะออกไปอย่างที่เขาว่าเอาไว้ ถังหนิงไม่อาจรั้งให้คนสูงวัยทั้งสองคนอยู่ต่อได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ต้องการไปส่งพวกเขาที่สนามบิน อย่างไรก็ตามโจนส์กลับบอกปัดข้อเสนอของเธอ
“ตอนนี้เราเป็นแค่คนแก่ทั่วไป คุณไม่ต้องดูแลพวกเราเป็นพิเศษหรอกนะ”
ในเมื่อทั้งสองว่าเช่นนั้น ถังหนิงจะทำอะไรได้อีก เธอได้แต่จัดการหารถให้พวกเขาเดินทางไปด้วยตัวเอง
ทว่าแน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าโจนส์ได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้เธอ
บางทีนี่อาจเป็นความตั้งใจที่โจนส์มาถึงสนามบินโดยที่ไม่ได้พรางตัวแต่อย่างใด แฟนๆ ของเขาเข้ามาล้อมเอาไว้ แน่นอนว่ามีคนปักกิ่งบางคนที่พูดอังกฤษได้คล่องแคล่วที่พยายามพูดกับเขา
“สวัสดีครับ คุณโจนส์ ดีใจที่ได้เจอคุณที่นี่นะครับ”
โจนส์เป็นคนที่เข้าถึงง่ายมาก เขาแทบจะทำตามคำขอของทุกคนที่เข้ามาหาเขา
ไม่นานนักข่าวที่อยู่แถวนั้นก็กรูกันเข้ามาล้อมเขาไว้ทันทีที่เห็นเขา ทว่าถึงกระนั้นโจนส์ก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดใจแม้แต่น้อย “ผมขอแค่อย่างเดียว ตราบใดที่คุณไม่ได้ทำตัวคุกคามอย่างในวันนั้น ผมก็ให้สัมภาษณ์กับคุณได้”
“ไม่แน่นอนครับ…”
“เราจะไม่ทำอย่างนั้นค่ะ…”
“ผมรู้ว่าคุณจะถามอะไร คุณอยากจะถามว่าทำไมถังหนิงถึงไม่ได้มาที่สนามบินใช่ไหมครับ” โจนส์พูดออกมาแทนนักข่าว “ผมเป็นคนออกปากขอมาด้วยตัวเองกับภรรยาเองครับ เพราะรู้ว่าหลายวันมานี้ตัวเองรบกวนเธอมามากพอแล้ว”
“โจนส์ ในสายตาของคุณ ถังหนิงเป็นคนยังไงเหรอครับ” นักข่าวถาม
“เธอเป็นคนดื้อและเด็ดเดี่ยว แต่แปลกที่ผมเห็นข่าวของพวกคุณมาเยอะแต่ดูเหมือนคุณไม่ได้บอกว่าเธอเป็นคนอย่างที่ผมรู้จักเธอเลยนะ ดูผิวเผิน เธออาจดูแข็งกร้าวแต่ความจริงเธอเป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนมากคนหนึ่งเลยล่ะ ภายนอกเธอดูเย็นชาแต่ในใจของเธออบอุ่น ผมเลยไม่เข้าใจว่าทำไมพวกคุณถึงต้องใส่ความเธอด้วย” โจนส์ตอบด้วยท่าทีขบขัน
“ฉันชอบหนังของคุณจริงๆ นะคะ โจนส์ ฉันรอผลงานชิ้นสุดท้ายของคุณอยู่นะคะ”
“ผลงานสุดท้ายเหรอ ต้องขอโทษด้วยนะ คุณผู้หญิง แต่ฉันเกษียณอายุแล้วล่ะ” เขาตอบอย่างรู้สึกผิด
“แต่ถ้าคุณยังอยากดูหนังดีๆ ผมคิดว่ามีบางคนที่ทำให้คุณพอใจได้นะ”
“ใครเหรอคะ บอกเราหน่อยสิคะ โจนส์…”
โจนส์กุมมือภรรยาของเขาไว้ขณะที่เริ่มตอบคำถามนักข่าว “นักเรียนของผม ถังหนิง ผมว่าพวกคุณน่าจะเรียกว่า ลูกศิษย์ ตามวัฒนธรรมของคุณล่ะมั้งครับ”
“ลูกศิษย์เหรอ”
“ใช่แล้วครับ ลูกศิษย์ของผม พวกคุณใช้คำว่า ศิษย์คนสุดท้าย ไม่ใช่เหรอครับ เธอเป็นศิษย์คนสุดท้ายและคนเดียวของผม แม้ว่าผมจะเลิกทำหนังไปแล้ว เธอก็จะตั้งใจกับผลงานต่อไปครับ”
โอ้ พระเจ้า!
นักข่าวถึงกับตกตะลึง พวกเขาเพิ่งได้ยินข่าวใหญ่อะไรไปกัน ที่แท้เหตุผลที่โจนส์อยู่ที่ปักกิ่งกับถังหนิงเป็นเพราะว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของเขา ลูกศิษย์เพียงคนเดียว และโจนส์เป็นคนที่ออกปากพูดออกมาเอง!
ความจริงแล้วเธอได้กลายเป็นลูกศิษย์ของ เจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟ แล้วนี่เอง
ถังหนิงทำอะไรกัน
เธอน่าทึ่งเป็นบ้า