ตอนที่ 302 อาจารย์จะรับมือเอง
ชางกวนเหมี่ยวใช้วิชาเสือดำทะลวง เขาย่อตัวลงแล้วปล่อยกำปั้นไปยังทรวงอกของโหยวเหวินถูอย่างรุนแรง
โหยวเหวินถูยกมือขวาของเขาขึ้นมากำบัง และยกขาเตะชางกวนเหมี่ยวกลับ
ชางกวนเหมี่ยวเคยฝึกฝนวรยุทธ์จากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาบ้าง แต่ละท่าทางและลีลามองไปช่างงดงามตามสูตร และน่าเกรงขามดุจเสือดำ แต่วรยุทธ์เพียงเท่านี้ในสายตาของซูเจวี๋ยและชาวยุทธคนอื่น ๆ กลับไร้ซึ่งพลังทำลายล้าง
อีกทั้งชางกวนเหมี่ยวมิเคยฝึกฝนกำลังภายในมาก่อน เขามิได้แม้แต่ก้าวข้ามประตูวรยุทธ์ที่แท้จริง
โหยวเหวินถูต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาเคยฝึกกำลังภายในมาก่อน เนื่องจากคนในราชวงศ์อู๋โดยมากแล้วต่างก็ได้ฝึกฝนกำลังภายใน พวกเขาเทียบได้เพียงผู้มีความสามารถระดับสามเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับแปลกใจยิ่ง หมัดของชางกวนเหมี่ยวไม่รู้สึกถึงกำลังภายในใด ๆ เขาคิดว่าเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามให้ความเคารพ ดังนั้นเขาเองก็มิกล้าออกแรงมาก จึงได้กลายมาเป็นการต่อสู้แบบเด็ก ๆ
ข้าต่อยเข้าที่อกเจ้าหนึ่งหมัด เจ้าเตะข้าที่บ่าหนึ่งที เจ้าถูกเตะแล้วถอยออกไปสองก้าว ข้าถูกเตะกระเด็นไปสามก้าว เป็นอยู่เช่นนี้ คาดว่าคงมิจบในเร็ว ๆ นี้เป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนมองไม่ออก เขาคิดว่าชางกวนเหมี่ยวเก่งกาจ และบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋นั้นก็มิได้ฝีมือสักเท่าใด จึงมิได้อยู่ชมต่อไป เขาเดินกลับไปยังจวนที่พัก และหยุดลงตรงหน้าต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวิน
“ข้าคิดเช่นนี้ ท่านพ่อของข้าได้ซื้อจวนเสียนฉิงแห่งเมืองกวนหยุนไว้แล้วมิใช่หรือ ? พวกเราย้ายไปพักที่นั่นในตอนบ่ายกันเถอะ พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
แน่นอนว่านี่คือความคิดที่ดี สตรีทั้งสองนางมิได้ออกความเห็นใด เนื่องจากที่แห่งนี้มีคนของสถานทูตมากมาย แม้ห้องในเรือนหลังจะค่อนข้างมิดชิด แต่ที่ใดเล่าจะสุขใจเท่าบ้านเราเอง
“เกรงว่าจะต้องจัดซื้อสิ่งของอีก” ต่งชูหลานเอ่ยออกมา
“หาได้เป็นไรไม่ อย่างมากก็เป็นจำพวกเตียงนอนและของใช้ในครัวเรือน รอให้เรื่องบ้าบอนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยเดินทางไปที่นั่นกันเถิด”
“อืม จัดการเรื่องซื้อของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้ากับเวิ่นหวินจะไปเดินดูเมืองกวนหยุนเสียหน่อย ลองดูว่าสินค้าของเราหากวางจำหน่ายจะได้รับความนิยมหรือไม่”
ทั้งสามคนกำลังสนทนากันอยู่ นอกประตูของสถานทูตก็ส่งเสียงดังขึ้นราวกับระเบิด ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมอง
บัดนี้ ชางกวนเหมี่ยวนอนกองอยู่ที่ปากประตู และกำลังพยายามลุกขึ้นมา
แพ้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าเข้าไปดู ชางกวนเหมี่ยวเอ่ยอย่างละอายใจว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไร้ซึ่งความสามารถมากยิ่งนัก”
ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ รายล้อมกันเข้ามาดู แต่ละคนมีท่าทีขุ่นเคือง ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของชางกวนเหมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “มิเป็นไร แพ้ก็แพ้ไป อาจารย์จะแสดงฝีมือให้เจ้าดูเอง ! ”
บัณฑิตทั้งหลายมองมายังฟู่เสี่ยวกวน เขาเดินเข้าไปทีละก้าว ๆ และพับแขนเสื้อขึ้นมา ดวงตาอันนิ่งสงบนี้มองไปยังบรรดาบัณฑิตทั้งสองฝ่าย บัณฑิตราชวงศ์หยูมองว่านี่คือพฤติกรรมของปรมาจารย์ แต่บัณฑิตของราชวงศ์อู๋กลับมองว่าเขาแค่ทำเพื่อปกปิดความกลัวก็เท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงกลางลาน เขาเอามือไขว้หลัง สีหน้าเยือกเย็น สายตาของเขามองไปยังใบหน้าของนักเรียนบัณฑิตเหล่านี้ จากนั้นเอ่ยออกมาว่า “ผู้ใดจะประลองก่อน ! ”
“ไอหยา ! ฟู่เสี่ยวกวนหน้าตาดีมากยิ่งนัก ! ”
“อ่า…ข้าทนมิไหวแล้ว เขาคือชายหนุ่มที่ข้าต้องการ ! ”
“อย่าเบียดเข้ามาสิ พวกเจ้ารู้จักอับอายกันบ้างหรือไม่ ? ”
“ผู้ใดบังอาจจับหน้าอกข้า ! ”
“……”
สตรีกลุ่มนี้ ช่าง…อาจหาญเสียจริง !
มีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน ร่างกายกำยำ แววตาดุเดือด เขากำหมัดขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อย ซุนปู๋เอ้อ จากสำนักศึกษาหลีชาน ขอคำแนะนำจากท่านด้วย ! ”
“เชิญ ! ”
เมื่อสิ้นเสียงฟู่เสี่ยวกวน เขาก็ปล่อยหมัดไปทางซุนปู๋เอ้อ
ไร้ซึ่งกระบวนท่า แต่กลับหนักแน่นอีกทั้งแทรกมาพร้อมเสียงลม
คิ้วของซุนปู๋เอ้อขมวดขึ้นทันใด เขายกมือขึ้นปกป้องและนึกในใจว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นปัญญาชนมิใช่หรือ ? แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีวรยุทธ์ อีกทั้งกำลังภายในของเขาอยู่ในระดับสามแล้ว !
เจ้าหมอนี่ปิดบังได้ดีเสียจริง !
ซุนปู๋เอ้อนำพลังลมปราณไปยังจุดตันเถียน เขาเปลี่ยนความคิดในการป้องกัน เขาจะรับมือกับหมัดของฟู่เสี่ยวกวนเพื่อให้รู้ว่าพลังภายในของเขามากน้อยเพียงใด
ดังนั้นเขาจึงได้ปล่อยหมัดออกไปเช่นกัน
วินาทีที่หมัดนั้นกำลังจะถึงตัว ฟู่เสี่ยวกวนเก็บหมัดลงทันที แขนข้างซ้ายของเขาก็ยกขึ้น ปัดหมัดของซุนปู๋เอ้อได้พอดี จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงแล้วพุ่งไปข้างหน้า หมัดข้างซ้ายนั้นซัดเข้าที่ท้องของซุนปู๋เอ้อเข้าอย่างจัง
ซุนปู๋เอ้อตกตะลึง จากนั้นเขาจึงรีบกระโดดถอยออกไป คิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพุ่งเข้ามาอย่างไร้ร่องรอยถึงเพียงนี้
ซุนปู๋เอ้อยกขาขึ้นจากพื้น เขาเตะไปยังหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขานึกอยู่ในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนคงมิใช้หน้ารับลูกเตะนี่เป็นแน่
ร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนหมุนเป็นวง เขาเข้าใกล้ซุนปู๋เอ้อ กระบวนท่าสือปาเทียถูกร่ายรำออกมา
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังพลั่ก ๆ ! ทุกคนมองไปยังซุนปู๋เอ้อที่โอนเอนเซไปมา ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ปล่อยหมัดสุดท้ายไปยังท้องของซุนปู๋เอ้อ ร่างของเขากระเด็นลอยออกไปท่ามกลางฝูงชน เลือดสีแดงสดกระเซ็นออกมา !
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บหมัด กำมือขึ้นแล้วกล่าวออกมาว่า “ประทานอภัย ! คนต่อไปเชิญ ! ”
“ไอหยา…ฟู่เสี่ยวกวนชนะแล้ว !”
“เมื่อสักครู่เขาใช้ทักษะอันใดกัน ? มันช่างรวดเร็วเสียจริง ข้ามองมิทัน”
“เขาจะใช้ทักษะอันใดก็หาได้สำคัญไม่ เอาเป็นว่าเขาชนะก็แล้วกัน”
“มิใช่ เจ้าอยู่ฝ่ายใดกันแน่ ? ”
“อ่า แต่ว่า เขาชนะจริง ๆ นี่ ! ”
……
บัณฑิตจากสำนักศึกษาพากันตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงเปล่งร้องออกมาว่า “ท่านอาจารย์ชนะแล้ว ! ”
“ท่านอาจารย์คือผู้มีความสามารถทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้อย่างแท้จริง ! ”
“เก่งกาจเสียจริง พวกเราจะฝึกตนให้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับอาจารย์ได้เมื่อใดกัน ? ”
“……”
จากการต่อสู้เมื่อสักครู่ ไม่ว่าจะเป็น คว้าจับ มวยไทย คาราเต้รวมไปถึงทักษะการต่อสู้ต่าง ๆ เขาได้รวมมันไว้ด้วยกัน โดยประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม และได้ผลลัทธ์ที่ดีเสียทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกภาคภูมิใจ และประหลาดใจเช่นกัน
ยังมีอีกหนึ่งคน !
เรื่องราวเหล่านี้จะได้จบลงเสียที
บัณฑิตราชวงศ์หยูพากันตื่นเต้นดีใจ ส่วนบัณฑิตของราชวงศ์อู๋ล้วนรู้สึกขายหน้า แม้แต่กลุ่มสตรีผู้บ้าคลั่งทั้งหลายก็ส่งเสียงเบาลง
ชายหนุ่มผู้สะพายค้อนในตอนแรกเดินตรงมา เขาโยนค้อนไปให้สหายที่มาด้วยกัน จากนั้นยกมือกำขึ้นคารวะฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า “ข้าน้อยนามว่าถังเชียนจวิน กำลังจะเข้าสู่ขั้นที่สอง เพื่อมิให้ผู้ใดกล่าวหาว่าข้ารังแกท่าน ข้าจะต่อให้ท่าน 3 กระบวนท่า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาทันที “หากเจ้าพ่ายแพ้ จงอย่าได้มารังควานข้าอีก ข้ามีธุระมากมายที่ต้องจัดการ”
ถังเชียนจวินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “ต่อให้ข้าชนะท่าน ข้าก็จะมิมาตามรังควานท่านอีก เนื่องจากข้าเองก็มีธุระมากมายที่ต้องจัดการเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ดี เตรียมรับมือได้ ! ”
ในครานี้ฟู่เสี่ยวกวนใช้ทุกทักษะและกระบวนท่าในการต่อสู้ แต่ทว่าหลังจากสามกระบวนท่าผ่านไป แม้แต่ชายเสื้อของถังเชียนจวินเขายังมิได้แตะด้วยซ้ำ
“จงระวังให้ดี ! ”
ถังเชียนจวินเอ่ยออกมาจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้น เขามิได้กำหมัด แต่กลับแบมือทำเป็นรูปใบมีด
เขาใช้มือแทนมีด ปลายเท้าแตะลงเบา ๆ จากนั้นพุ่งตรงเข้ามายังฟู่เสี่ยวกวน ว่องไวราวกับลูกธนู !
ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตาลงมอง เขากวาดขาออกแล้วย่อตัว มือทั้งสองข้างตั้งท่าไทเก็ก
มือของถังเชียนจวินมาถึงตัวพร้อมกับเสียงลม พัดเสียจนผมด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเสียทรง
ซูโหรวกำเข็มปักผ้าไว้ในมือแน่น นางมองไปยังด้านนอกแล้วเอ่ยถามว่า “เขาจะสู้ได้หรือ ? ”