แดนนิรมิตเทพ บทที่ 388
มู่หรงเค่อเหลือบมองลูกสาวสุดที่รักของตนเอง จากนั้นค่อยเลื่อนสายตาไปเล็กน้อยแล้วมองไปที่เฉินโม่

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่หรงเค่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ไอ้หนุ่ม นายไม่เลว นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรก เพื่อเห็นแก่ยานเอ๋อร์ ฉันขอมอบประโยคนี้ให้นาย”

“คนหนุ่มสามารถมีบุคลิกลักษณะได้ แต่อย่าจองหองเกินไป!”

“ยานเอ๋อร์ ไปกับพ่อ”

หลังจากล่าวจบมู่หรงเค่อมองเฉินโม่ด้วยสายตาลึกซึ้ง หันหลังแล้วเดินจากไป

มู่หรงยานเอ๋อร์ขมวดคิ้ว และมองพ่อตนเองด้วยความสงสัย รู้สึกว่าทัศนคติของเขาที่มีต่อเฉินโม่นั้นเย็นชาเล็กน้อย

“เฉินโม่ คำพูดของพ่อฉันมักจะคาดเดาไม่ได้ แต่เขาเป็นคนที่มีความเมตตา นายอย่าถือสาเลยน่ะ” มู่หรงยานเอ๋อร์ยิ้มด้วยความอึดอัด

เฉินโม่ยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร คุณอาหวังดี ผมเข้าใจ”

มู่หรงยานเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมีความสุข “ฉันไม่สามารถอยู่กับนายได้อีกต่อไปแล้ว พวกเราค่อยติดต่อกันภายหลัง”

“ครับ”

มองมู่หรงยานเอ๋อร์รีบเดินไปหามู่หรงเค่ออย่างมีความสุข รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินโม่ก็ค่อย ๆ สงบลง

อานเข่อเยว่มองการเปลี่ยนแปลงของเฉินโม่ กล่าวเยาะเย้ยอยู่ในใจ “เฉินโม่ ตอนนี้นายก็รู้สถานะตัวตนของยานเอ๋อร์แล้วใช่ไหม? นายรู้สึกว่าเมื่อก่อนสิ่งที่ทำให้นายจองหองกลายเป็นเรื่องตลกอย่างกะทันหันไปแล้วใช่ไหม? เมื่ออยู่ต่อหน้าคนใหญ่คนโตที่แท้จริงแล้ว ฝีมือการต่อสู้ของนาย เพื่อนของนาย ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง มีเพียงตนเองแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะเป็นความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”

เมื่อเฉินโม่มองด้านหลังที่สูงใหญ่ของ มู่หรงเค่อแล้ว สีหน้าของเฉินโม่ราบเรียบ ดวงตาเป็นประกาย “สำหรับคุณแล้ว พฤติกรรมของผมอาจจะเย่อหยิ่งเล็กน้อย แต่คุณรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนที่แท้จริงของผมคืออะไร? ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ยานเอ๋อร์แล้ว คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ผมทักทายด้วยซ้ำ”

ฝูงชนค่อย ๆ แยกย้ายกลับไปนั่งที่เดิม เฉินโม่เดินตามจินเพ่ยอวิ๋นและฟางหยู่ฉิงไปนั่งตรงที่นั่งวีไอพีแถวแรก และรอการประมูลอย่างเงียบ ๆ

ไม่นาน พิธีกรสาวสวยสวมชุดสีแดงก็เดินขึ้นไปบนเวที

หลังจากกล่าวเปิดงานแล้ว พนักงานก็นำรายการประมูลชิ้นแรกขึ้นมา

ภาพวาดของศิลปินดังคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นของแท้ แต่ตอนนี้ศิลปินก็ยังมีชีวิต และเป็นภาพที่ไม่มีค่าอะไรมากนัก

อย่างที่ทราบกันดีว่าภาพวาดโบราณนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อศิลปินที่วาดภาพเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นภาพวาดนี้จึงประมูลได้เพียงไม่กี่แสนท่านั้น ซึ่งถือว่าราคาสูงขึ้นหลายเท่าแล้ว

สุดท้าย พิธีกรประกาศบริจาคเงินพวกนี้ให้กับโรงเรียนบางแห่งในพื้นที่ยากจน

การประมูลเพื่อการกุศลส่วนใหญ่มักจะทำเป็นพิธีเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วมักจะไม่มีของดีอะไร ซึ่งทำให้เฉินโม่ไม่สนใจ เขากลับรู้สึกว่าคนพวกนี้จอมปลอมมาก ถ้าอยากบริจาคเงิน ก็บริจาคแบบไม่เปิดเผยตัวตน จะมาประมูลทำไม กลัวคนอื่นไม่รู้ใช่ไหม?

จนกระทั่งของประมูลชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้น ทำให้เฉินโม่ใจเต้นแรง ความรู้สึกคุ้นเคยที่หายไปนาน ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาอีกครั้ง

พิธีกรยิ้มอย่างลึกลับ “ของประมูลชิ้นสุดท้ายนี้ กล่าวกันว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าที่สาวสวยคนหนึ่งในสมัยโบราณเคยใช้ สิ่งสำคัญที่สุดคือว่าสาวงามนี้คือเทพธิดาลั่วเสิน เป็นสาวงามที่ฉลาดหลักแหลมในสมัยก่อนราชวงศ์จิ๋น!”

ลั่วหลี……เทพธิดาลั่วเสิน

เฉินโม่รู้สึกว่าสมองของเขาว่างเปล่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าพลังบำเพ็ญที่ทรงพลังและจิตวิญญาณหายไปแล้ว ในดวงตา ในหัวใจ ในความคิด มีเพียงดวงตาสีฟ้าของเธอเท่านั้น และใบหน้าที่สวยงามที่แสดงความไม่เต็มใจและความรักเมื่อแยกกัน!

บนเวที พิธีกรยังคงอธิบายต่อไปว่า “ช่วงสามก๊ก โจสิดคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมาก เขาแต่งบทกวีเทพธิดาลั่วเสิน เพื่อชื่นชมเทพธิดาลั่วเสิน :สง่างามราวกับห่านฟ้า อ่อนละมุนราวกับมังกรร่ายรำ เปล่งประกายดุจดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง เขียวชอุ่มเหมือนต้นสนสีเขียวในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าดวงจันทร์ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ ล่องลอยราวกับหิมะที่หวนคืนสู่สายลม……..”

ฉินโม่ไม่ได้ยินคำพูดของพิธีกรแล้ว พลังที่อยู่ในกล่องไม้ที่อยู่ในมือของพนักงาน เป็นพลังของวิชาระดับสูงสุดของสำนักเสวียนเต๋า วิชาเต๋าเทียนเสวียน

พลังที่คุ้นเคยที่อยู่ในจิตวิญญาณของเฉินโม่มายาวนานกว่า 600 ปี ถึงแม้ว่าโลกจะถล่มทลาย และกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง เฉินโม่ก็จะไม่มีวันลืม

ดวงตาของเฉินโม่เผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนที่ไม่สิ้นสุด เขากล่าวอยู่ในใจว่า “ศิษย์น้องหญิง เธอจริง ๆ หรือเปล่า?”