ตอนที่ 933 รู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่คนดี

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

“แต่เล็กจนโตคุณหนูเคยลำบากที่ไหนกัน? นึกถึงสิ่งที่พ่อคุณหนูให้กินให้ใช้สิคะ มีอย่างไหนบ้างที่ไม่ดีกว่าคนในวัยเดียวกัน? ถ้ากิจการครอบครัวล้มลง แล้วเด็กที่เคยถูกประคบประหงมมาอย่างดีแบบคุณหนูจะทำยังไงคะ…แค่คิดน้าก็เป็นห่วงแทนแล้วค่ะ”

น้าหวางพูดจบก็เอาผ้าขนหนูเช็ดน้ำตาที่หางตาพร้อมแอบมองท่าทีของสืออวี้

พอเห็นสืออวี้ตาแดงๆท่าทางเหมือนรับฟังทุกอย่าง น้าหวางก็วางผ้าขนหนูแล้วพูดต่อ

“ต่อให้ไม่ทำเพื่อครอบครัว คุณหนูก็ต้องคิดเผื่อตัวเองนะคะ เถ้าแก่คนนี้รวยไม่ธรรมดา คุณหนูถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แล้วจะทนความลำบากได้ยังไง? อีกอย่าง เพื่อนคนนั้นของคุณหนูก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว”

“คุณน้ารู้ได้ยังไงคะ?”

“เขาเก็บค่ารักษาแพงขนาดนั้น คนแบบนี้สมควรเป็นหมอเหรอ? คนอย่างเขาน่ะออกไปมีแต่จะเอาเปรียบคนอื่น ถ้าคุณหนูช่วยหาจุดอ่อนของเขาได้ก็เท่ากับได้ทำบุญกับคนนับพันนับหมื่นเลยนะคะ!”

“แต่ถ้าหนูคนเดียวออกไปยืนชี้หน้าบอกว่าเขาเก็บค่ารักษาแพงคงไม่มีคนเชื่อมั้งคะ?”

พอได้ยินสืออวี้พูดแบบนั้น น้าหวางก็รู้สึกว่ามีโอกาสแล้ว

“จะพูดอย่างเดียวไม่ได้ เขามีสมุดโน้ตประจำตัวด้วยใช่ไหมล่ะคะ? เขาชอบจดโน้ตเอาไว้ไม่ใช่เหรอ? คุณหนูก็ขโมยสมุดเล่มนั้นมา แล้วทางนั้นก็จะสืบจากเคสคนไข้ที่อยู่ในนั้น ยังไงก็ต้องเจอคนไข้ที่อยากทวงคืนความยุติธรรมบ้างแหละค่ะ”

“แต่เราสนิทกันมาตั้งสี่ปี หนู หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ”

“ไอ๊หยาเด็กโง่ นี่มันเวลาไหนแล้วยังคิดถึงเรื่องนี้อีก? ตอนคุณหนูไปขอร้องเขา เขาเคยนึกถึงความสัมพันธ์สี่ปีไหมล่ะคะ? เขายังไม่คิดจะช่วยคุณหนูเลย แล้วจะไปแคร์เขาทำไมกัน?”

น้าหวางเห็นสืออวี้เริ่มคล้อยตาม สายตาดูลังเล สุดท้ายน้าหวางจึงพูดแบบนี้ออกมา

“อย่าเชื่อใครทั้งนั้น มิตรภาพเจือจางได้หลังจากเรียนจบ ไม่เชื่อลองไปขอยืมเงินเพื่อนสนิททั้งสองคนก็รู้แล้วค่ะ สองคนนั้นหรอกถึงจะอยากเป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงคุณหนูก็เป็นแค่คนนอก!”

คำพูดนี้เดิมก็รบกวนอยู่ในสมองสืออวี้อยู่แล้ว อยู่ๆก็มาได้ยินจากปากคนอื่น สายตาของสืออวี้ก็ล่องลอยยิ่งกว่าเดิม ปากพูดพึมพำเหมือนหุ่นยนต์

“หนูเป็นคนนอก”

“ใช่ค่ะ คุณหนูเป็นคนนอก เป็นแค่คนนอก ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะไปแคร์ทำไมคะ? ต้องคิดให้ดีๆนะคะเพื่อตัวคุณหนูเอง”

“ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ หนูรับปาก พูดมาเลยว่าหนูต้องทำไงบ้าง”

บทสนทนาของทั้งสองคนถูกส่งผ่านเครื่องดักฟังไปหาสองคนที่อยู่อีกด้านอย่างชัดเจน มู่ฮวาหลีที่อยู่ในชุดขาวแบบราชวงศ์ถังกำลังเล่นสร้อยข้อมือแสนรัก เขาหลับตาส่วนมือก็หมุนลูกประคำเล่น

คนที่อยู่ข้างๆเขายื่นเช็คให้ด้วยสายตาที่เลื่อมใส

“หมอมู่ คุณนี่เก่งจริงๆนะครับ ล้างสมองคนได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้”

ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ใครจะไปเชื่อว่าจิตรู้สำนึกของคนจะถูกเปลี่ยนได้จริงๆ สืออวี้ถูกจับตาดูตั้งแต่เข้ามาในบ้านน้าหวาง คนๆนี้รู้สึกเลื่อมใสมาก

“สะกดจิต ไม่ใช่ล้างสมอง เงินจะปล่อยได้หรือยัง?”

“ครับๆๆ! เชิญรับไปครับ—แต่ว่าหมอมู่ครับ ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”

“หืม?”

“การสะกดจิตนี่ทำให้ทุกคนเชื่อฟังได้หมดเลยเหรอครับ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ยังจะมานั่งหาเงินทำไมล่ะครับ พวกคุณไปสะกดจิตคนให้หมดแล้วอยากได้เงินเท่าไรก็ได้ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

ถึงคนที่ให้เงินจะเป็นแค่ลูกน้องที่ถูกสั่งมาอีกที แต่ก็เป็นคนโลภมาก ถ้าเชิญหมอประสาทที่เก่งระดับนี้ไปสะกดจิตอภิมหาเศรษฐี แบบนั้นคงรวยไม่รู้เรื่องไปแล้วหรือเปล่า?

“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ ข้อแรก วิชาสะกดจิตของผมเป็นวิชาลับเฉพาะของสำนักผม ไม่ใช่ว่าใครก็เรียนได้ ข้อสอง ต่อให้เป็นคนอย่างพวกผมก็เปลี่ยนจิตรู้สำนึกของใครไม่ได้”

“แต่เห็นๆอยู่ว่าเขาทำตามที่คุณบอก ดูสิครับ พอท่องคำพูดตามที่คุณบอกไป เขาก็ดวงตามองตรง พูดอะไรก็ทำแบบนั้น มหัศจรรย์มาก!”

“ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่กำหนดเท่านั้นถึงจะได้ผลขนาดนี้ อันดับแรกเลยครอบครัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมองของเขาได้รับความสะเทือนใจจนทำให้เกิดความว่างเปล่า จึงค่อนข้างที่จะถูกชักจูงได้ง่าย ต่อมาสภาพร่างกายของเขาที่เอื้อต่อการถูกสะกดจิต คนทั่วไปไม่มีทางถูกสะกดจิตจนเป็นแบบเขา การแทรกซึมเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขาในช่วงที่สมองว่างเปล่าจะเป็นพลังมหาศาล”

“มหาศาล?”

“พลังของจิตใต้สำนึกมากกว่าพลังของจิตรู้สำนึกเกินสามหมื่นเท่า ถ้าใช้ให้ดีมันจะเล่นงานคนจำนวนหนึ่งได้ผลดีทีเดียว” มู่ฮวาหลีมองกล้องวงจรปิดแล้วยิ้มออกมา

หน้าที่ของเขาจบแล้ว กลับไปนับเงินได้แล้ว

เสี่ยวเชี่ยนร้อนใจดุจมีไฟแผดเผา เดินไปเดินมาอยู่ในบ้านเหมือนหนูติดจั่น

เสื้อผ้าเปียกบนตัวยังไม่ได้เปลี่ยนออก ไม่ว่าอวี๋หมิงหลางจะพูดยังไงเธอก็ไม่ยอมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เอาผ้าขนหนูคลุมไว้ที่ตัวเดินไปทั่วบ้าน สีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก

กริ๊ง~

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ทำลายความเงียบ อวี๋หมิงหลางรีบเข้าไปรับสาย

“ยามหน้าหมู่บ้านโทรมา”

เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกห่อเหี่ยวเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลม เธอนึกว่าจะมีข่าวสืออวี้เสียอีก

“อะไรนะ? รีบให้เขาเข้ามา—ไม่สิ เดี๋ยวผมลงไปเอง” เสี่ยวเฉียงวางสายอย่างตื่นเต้นแล้วหันไปพูดกับเสี่ยวเชี่ยนด้วยความดีใจ “เขากลับมาแล้ว!”

“ใคร?”

“สืออวี้กลับมาแล้ว!”

เสี่ยวเชี่ยนดวงตาเป็นประกาย ไม่รอให้อวี๋หมิงหลางได้ทำอะไรเธอวิ่งออกไปก่อนแล้ว

ข้างนอกยังมีฝนตกโปรยปราย แต่เบากว่าเมื่อครู่มาก เสี่ยวเชี่ยนรีบวิ่งไป พอเห็นสืออวี้ที่สภาพเปียกปอน เธอก็รีบพุ่งเข้าไปกอด

“เสียสติหรือเปล่า! ดึกป่านนี้หนีออกไปทำไม!”

“ฉันก็แค่อารมณ์ไม่ดีเลยออกไปเดินเล่น”

“ยัยบ้า ฉันตกใจหมดเลย!” เสี่ยวเชี่ยนอยากตบสืออวี้สักฉาด แต่พอนึกถึงเรื่องที่พี่ใหญ่บอกข่าวของทางบ้านสืออวี้เธอก็ตบไม่ลง ทำได้แค่ทำเหมือนตอนเรียนมหาวิทยาลัย เอามือไปหยิกแก้มสืออวี้

“ฝากไว้ก่อนเถอะ! ไป กลับไปอาบน้ำ!”

ไม่ว่าอย่างไร กลับมาก็ดีแล้ว

พอกลับถึงบ้าน เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าห้องนอนไปหาชุดอยู่บ้านมาสองชุดแล้วลากสืออวี้เข้าห้องอาบน้ำ

“เอ๊ะๆๆ เมียจ๋า ออกมานี่” เสี่ยวเฉียงลากเสี่ยวเชี่ยนออกมาพลางกระซิบ “คุณจะอาบน้ำกับเขาเหรอ?”

แบบนั้นร่างกายสะโอดสะองของเมียเขาก็ถูกคนอื่นเห็นหมดสิ?

เสี่ยวเชี่ยนเหมือนได้ยินว่า ‘ปิ๊งป่อง สามีของคุณจอมหึงแห่งเอเชียออนไลน์แล้วค่ะ’

“เราสองคนเป็นผู้หญิง จะช่วยขัดหลังให้กันมันก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

“คือ…ห้องน้ำบ้านเราเล็ก แยกกันอาบเถอะ เราไปห้องอาบน้ำแขกกัน! ไม่งั้นเอาแบบนี้ ผมในฐานะที่เป็นสามีขัดหลังให้คุณดีไหม?”

ผู้หญิงแล้วทำไมน่ะเหรอ? เป็นผู้หญิงก็ห้ามอาบน้ำด้วยกัน!

เสี่ยวเชี่ยนมองเหยียด “แค่นี้ก็ทนไม่ไหว? แล้วถ้าฉันบอกว่าตอนเรียนพวกเรายังแอบจับของกันและกันเพื่อนวัดขนาดด้วยนายไม่เป็นบ้าเลยเหรอ?”

อะ ไร นะ?!

เปรี้ยง!

ฟ้าผ่ากลางหัวอวี๋หมิงหลางจนตัวแข็งทื่อ นี่ทรวดทรงที่แสนน่ารักของเมียเขาเคยถูกสืออวี้จับมาก่อนแล้วเหรอ?