เวลานี้อวี๋หมิงหลางอยากจะบีบไข่เฉียวเจิ้นให้ระเบิด มันน่าโมโหนัก เมียเฉียวเจิ้นบังอาจกินเต้าหู้เมียเขา!

เสี่ยวเชี่ยนสร้างความสะเทือนใจให้อวี๋หมิงหลางเสร็จก็ถีบเขาออกไป “ไปๆๆ ไปทำมื้อดึกนู่น คืนนี้เราสองคนจะนอนห้องนอนแขก นายนอนห้องไปคนเดียวเลย”

เปรี้ยง!

ฟ้าผ่ากลางหัวอีกรอบ!

ไม่ใช่แค่จะอาบน้ำด้วยกัน ยังจะนอนเตียงเดียวกันด้วย?

“เมียจ๋า จริงจังป้ะ?” เขายังคงมีความหวังเพียงน้อยนิด เมียจ๋าคงไม่ใช่คนใจดำแบบนั้นหรอกเนอะ?

“จริงจังกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! หัดทำตัวโตได้แล้ว! เราสองคนไม่ได้นอนด้วยกันมาตั้งนานก็อยากมีเรื่องแบบผู้หญิงๆคุยกันบ้าง นายอย่ามาก่อกวน ทำตัวอย่างกับเด็กยังไม่หย่านม!”

พูดถึงเรื่องหย่านม อวี๋หมิงหลางหันไปมองหน้าอกเสี่ยวเชี่ยนอย่างเงียบๆแล้วกลืนน้ำลาย เขายังไม่อยากหย่านมเลยจริงๆนะ…

“ออกไป!” เสี่ยวเชี่ยนหน้าแดงเพราะสายตาของเขาจึงยื่นมือไปผลักเขาออกไปทางห้องครัว

สถานะในครอบครัวนี้ก็เป็นแบบนี้นี่แหละ เสี่ยวเฉียงแอบน้อยใจ จำต้องปล่อยให้สืออวี้เอาตัวเมียเขาไป สามีอย่างเขายังต้องไปนั่งทำมื้อดึกให้อีก ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน!

เขาจับมือเสี่ยวเชี่ยนแล้วพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ “เมียจ๋า! รับปากผมนะ คืนนี้คุยกันเสร็จแล้วต้องกลับห้องของเรา ไม่มีคุณผมนอนไม่หลับ นอนไม่หลับจริงๆนะ! พรุ่งนี้ผมยังต้องพาลูกน้องไปฝึกวิบาก ถ้านอนไม่พอเป็นลมไปกลางทางจะทำไง?”

เพื่อช่วงชิงเมียกลับมาให้ได้ ข้ออ้างที่หน้าไม่อายแบบนี้เขาก็ยังคิดออกมาได้

“เอาล่ะ ฉันจะพยายาม นายรีบไปทำมื้อดึกเถอะ”

เสี่ยวเฉียงยอมรับชะตากรรมหยิบผ้ากันเปื้อนมาผูกเข้าครัวไปทำอาหาร เสี่ยวเชี่ยนอาบน้ำกับสืออวี้ สองคนยังมาร์คหน้าในห้องน้ำกันด้วย ถ้าข้างนอกไม่มีผู้ชายขี้บ่นกำลังทำอาหารอยู่ล่ะก็ ช่วงเวลาแบบนี้คล้ายกับตอนอยู่หอ ทั้งสองคนยืนหน้ากระจกช่วยกันทำมาร์คหน้า

“หนีออกไปตากฝนสมองคิดได้ขึ้นมาหรือยัง?” เสี่ยวเชี่ยนมาร์คหน้าพลางถาม

“คิดได้แล้ว ฉันรู้แล้วว่าควรทำไงต่อไป” สืออวี้ทำท่าทางคล้ายเสี่ยวเชี่ยน เอาโคลนมาร์คหน้าขึ้นมาทาหน้าทีละนิด

สนิทกันมาสี่ปี แม้แต่ท่าทางตอนมาร์คหน้ายังเหมือนกัน

“ประธานเชี่ยน” สืออวี้เรียกเสี่ยวเชี่ยน

“มีอะไรเหรอ?”

“ถ้าฉันทำอะไรลงไปเธอก็จะให้อภัยใช่ไหม ต่อให้เป็นการหักหลัง ต่อให้เป็นการโกหกหลอกลวง?”

“ทำให้เสียใจไปแล้วจะไม่มีการให้อภัยอีก ครั้งนี้เธอหนีฉันไปตากฝนฉันจะไม่ถือสาหาความอีก ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะบีบหมั่นโถวสองลูกของเธอให้แตก!” เสี่ยวเชี่ยนทำมือขย้ำ สืออวี้ร้องเสียงหลงออกมา

อวี๋หมิงหลางยกเกี๊ยวน้ำที่ทำเสร็จแล้วเตรียมเอามาให้ พอได้ยินสองสาวส่งเสียงคิกคักดังมาจากห้องน้ำก็อดทนไม่เอานิ้วลงไปคนในชามของสืออวี้

เก่งมาก บังอาจมาแย่งเมียของเขาไป! ต้องรีบจัดการเรื่องของผู้หญิงคนนี้ให้เสร็จแล้วไล่กลับบ้านไป ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่ต่อไปเสียวเหม่ยก็ไม่รักเขาแล้ว!

ประตูห้องน้ำเปิดออก เสี่ยวเฉียงรีบปรับสีหน้าจากบูดบึ้งเป็นยิ้มแย้ม “เมียจ๋าดูสิผมเอาเกี๊ยวน้ำมาเสิร์ฟ—จ๊าก!”

มนุษย์หน้าเขียวสองคนนี่มันอะไรกัน! เสี่ยวเฉียงตกใจเกือบปล่อยชามทิ้ง

นี่เมียเขามีมาร์คหน้ากี่สีกันเนี่ย…น่ากลัวเหลือเกิน!

เขาแยกเมียออกมาได้จากสองใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน ยังไม่ทันได้อ้อนขอคำชมก็ถูกประธานเชี่ยนโบกมือไล่อย่างไม่ใยดี

“ออกไป พวกเราจะกิน—มองอะไร ยังอยากอยู่รอล้างชาม?”

รอก่อนเถอะผู้หญิงใจร้าย…เสี่ยวเฉียงกัดฟัน รอสืออวี้กลับไปก่อนเขาจะใช้ลูกบอลโยคะประกอบกิจกรรมกลิ้งให้ทั่วบ้านเลย ตอนนี้ลงบัญชีเอาไว้ก่อน ไม่รู้ซะแล้วว่าบ้านนี้ใครใหญ่!

กินเกี๊ยวเสร็จก็ล้างหน้า สืออวี้กับเสี่ยวเชี่ยนนอนข้างกันบนเตียงในห้องนอนเล็ก อวี๋หมิงหลางนอนกอดผ้าห่มอย่างเดียวดายในห้องนอนใหญ่พลางเงี่ยหูฟัง อยากรู้ว่าสองคนในห้องข้างๆคุยอะไรกัน แต่น่าเสียดายที่เมียเขาทำห้องได้เก็บเสียงดีเหลือเกิน พอปิดประตูก็ไม่ได้ยินอะไรเท่าไรแล้ว

“ประธานเชี่ยน ฉันคิดถึงบ้าน” สืออวี้มองเพดาน คิดถึงแม่ที่ไม่รู้ตอนนี้ถูกคนงานล้อมบ้านไว้หรือเปล่า คิดถึงพ่อที่ไม่รู้ตอนนี้อยู่ไหน ในใจเธอเศร้ามาก

“บ้านก็แค่คำที่ใช้เรียกแทน อยู่บ้านแบบไหน อยู่ที่ไหน อยู่ด้วยกันหรือเปล่าอันที่จริงไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือ หัวใจอยู่คนก็อยู่”

เสี่ยวเชี่ยนจับมือสืออวี้ ทั้งสองคนไม่ได้คุยเรื่องวิกฤติของบ้านสืออวี้ แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับเข้าใจความรู้สึกแย่ๆของสืออวี้ในเวลานี้

“ถ้าวันหนึ่งฉันไม่ใช่ฉันอีกต่อไป กลายเป็นอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เธอเจอฉันจะทักทายฉันหรือเปล่า?”

“ไม่”

…นั่นสิ ประธานเชี่ยนรักเกลียดแบ่งแยกอย่างชัดเจน ใครกล้าทำให้ประธานเชี่ยนเสียใจก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกตลอดกาล เธอยังหวังอยากจะได้คำตอบแบบไหนอีกเหรอ

“ฉันจะเข้าไปตบหน้าเธอแรงๆสองที แล้วลากเธอกลับมาเป็นอย่างตอนนี้”

“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าทำให้เสียใจจะไม่มีการให้อภัยอีก?”

“แต่พวกเธอไม่เหมือนกัน”

ในสายตาของเสี่ยวเชี่ยน ความอดทนที่มีให้เพื่อนสนิทย่อมมากกว่าคนอื่น

ทั้งสองคนคุยกันจนดึกดื่นจนกระทั่งสืออวี้หลับไปเสี่ยวเชี่ยนถึงได้หาวเดินไปเข้าห้องน้ำ

จัดการธุระเสร็จเดินสะลึมสะลือจะกลับห้องนอนเล็ก อยู่ๆประตูห้องนอนใหญ่ก็เปิดขึ้น มีสองมือมาดึงเธอเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“ว้าย!” เธอตกใจ เสียงร้องของเธอถูกอุดด้วยจูบอันหนักหน่วงของเขา ไอ้คนบ้าฉุดเธอมาแนบกับประตูแล้วกระหน่ำจูบเธอ มือก็อยู่ไม่สุข

“สาวน้อย กลางคืนไม่หลับไม่นอน จะไปไหนเหรอ?” เขาพูดอย่างร้ายๆ จงใจทำตัวเหมือนนักเลง

“จะกลับไปนอนน่ะสิ”

“นอนก็เป็นเรื่องดีนะ นอนกับพี่ดีกว่า มาเถอะ!”

ไม่ว่าเธอจะยอมหรือไม่ก็ถูกจับโยนลงเตียงไปแล้ว!

ห้องหนึ่งกำลังครึกครื้น ส่วนอีกห้องบรรยากาศอึมครึมก็มาเยือนอีกครา

เสี่ยวเชี่ยนออกไปยังไม่กลับมา สักพักดวงตาที่ปิดสนิทของสืออวี้ก็เปิดขึ้น ผ้าม่านบังแสงไฟจากภายนอกได้ไม่หมด แสงที่ส่องเข้ามาทำให้เห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอ

ที่ข้อมือเธอมีสายสร้อยลูกประคำถูกสวมไว้ อันเล็กน่ารัก มีกลิ่นหอมอ่อนๆลอยมา น่าจะเป็นไม้จันทน์แดงของแท้

เสี่ยวเชี่ยนเอามาใส่ให้ตอนเธอหลับ เป็นหนึ่งในของล้ำค่าที่เสี่ยวเฉียงปล้นมาจากน้าฉีเยี่ย

ลูกประคำไม้มันวาวใส่แล้วสบาย ถูกพันเอาไว้สี่ทบ น่าจะทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเม็ด

เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้มีความเลื่อมใสในศาสนาไหนเป็นพิเศษ แต่เธอรู้ว่าสืออวี้เชื่อเรื่องพวกนี้มาก ตระกูลสือเกิดเรื่อง ถือจึงให้ของสิ่งนี้กับสืออวี้เพื่อทำให้สบายใจขึ้น

ก็เหมือนตอนนั้นที่สืออวี้ให้สร้อยคริสตัลดอกไอริสกับประธานเชี่ยน

ของที่ดูไม่อะไรเปล่านั้นกลับเป็นตัวสร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้น กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้วจริงๆเหรอ?

ในสมองปรากฏเงาของพ่อซ้อนทับกับเสี่ยวเชี่ยน มิตรภาพที่เท่าเทียมกันถ้าทำให้ขาดสะบั้นลง ต่อไปก็คงไม่มีโอกาสกลับไปเหมือนเดิมแล้วหรือเปล่า

สืออวี้เอามือลูบสร้อยพลางนับทีละเม็ด ไม่รู้ว่านับไปนานเท่าไร แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลง

ฟ้าเพิ่งจะสาง เสี่ยวเชี่ยนคงนอนกับอวี๋หมิงหลางไปแล้ว สืออวี้ลุกขึ้น

เธอเปิดประตูพยายามทำเสียงเบาที่สุด พอเห็นประตูห้องนอนใหญ่ปิดสนิทก็ยิ้มออกมา