ตอนที่ 42 - 3 ข้าเป็นเจ้าภาพงานสมรสให้เจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

สัตว์เกราะเงินที่อยู่ในทะเลสาบถูกยั่วยุหลายครั้ง โมโหถึงขีดสุดจนได้ ยืดตัวตรง เชิดศีรษะใหญ่โตขึ้น หนังเงินทั่วร่างเปล่งประกายแวววาวใต้แสงอาทิตย์

 

 

สามส่วนใต้คอสัตว์ เส้นสีขาวยักย้ายขึ้นลง เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ตามการเปล่งเสียงของสัตว์ยักษ์

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเห็น วาจาหนึ่งแล่นผ่านสมองทันที

 

 

“หากเป็นจุดที่สัตว์ทั่วไปซ่อนไว้ สีสันแตกต่างจากจุดอื่น ส่วนใหญ่เป็นจุดตายของมัน”

 

 

ปีนั้น ข้างลำธารในเขาลึก คนคนนั้นสาธิตวิธีถลกหนังแล่เนื้อให้นางดูด้วยตนเอง เคยเอ่ยวาจานี้อย่างเฉื่อยเนือย

 

 

ตำแหน่งซ่อนเร้นบนร่างสัตว์ป่าที่มีสีขนแตกต่างออกไปก็คือจุดตาย

 

 

“เฟยเฟย ทำให้มันอ้าปากกว้าง!” นางตะโกนลั่น

 

 

เงาร่างเฟยเฟยกะพริบวูบ ฉี่รดสัตว์นั้น สัตว์นั้นยิ่งโมโห อ้าปากคำราม เส้นสีขาวใต้ขากรรไกรเปิดกว้างเท่านิ้วมือ

 

 

ตอนนี้นี่ล่ะ!

 

 

นางกระโจนขึ้นมาทันที แสงเหน็บหนาวในมือกะพริบวูบ พุ่งสู่เส้นสีขาวนั้นแล้วออกแรงปาดขวาง

 

 

โลหิตสาดกระเซ็น สัตว์ยักษ์คำรามดั่งเสียงฟ้าผ่าสะเทือนทั่วป่าเขา ฝ่ามือสะบัดอย่างแรง ตรงหน้านางพลันมืดมิด ร่วงหล่นดังตู้ม เกิดเป็นละอองน้ำขนาดใหญ่

 

 

พริบตาต่อมาสัตว์เกราะเงินล้มลงดังตู้ม แต่นางไม่มีเรี่ยวแรงไปชั่วขณะ เห็นแค่หมอกโลหิตมัวสลัวตรงหน้า หลังหมอกโลหิตเงาดำใหญ่โตร่วงหล่นราวกับภูเขาถล่ม

 

 

เห็นนางใกล้จะถูกซากสัตว์กระแทกจมน้ำ เงาคนที่ป่าไม้ทางนั้นกะพริบวูบ เผยซูกับอีชีก้าวออกจากป่าไม้พร้อมกัน มุ่งไปสู่ข้างทะเลสาบ

 

 

สองคนเปื้อนโลหิตครึ่งร่าง ยังคงตะบึงตลอดทาง ก็ไม่รู้ว่ารีบแก้พิษหรือรีบแย่งคน

 

 

สองคนออกจากป่าไม้ พอเงยหน้าก็มองเห็นฉากที่จิ่งเหิงปัวทำสำเร็จทว่าจะถูกทับสิ้นชีพ

 

 

สองคนชะงักงัน อีชีคล้ายลังเลอยู่บ้าง เผยซูลงมือโดยพลัน

 

 

เขาฟาดฝ่ามือออกไปไกลโพ้น กระแสฝ่ามือปะทะอากาศทำให้ซากสัตว์ที่ใกล้จะร่วงลงมาหยุดนิ่ง

 

 

อีชีพลันได้สติ ฟาดฝ่ามือตามไปด้วย กระแสฝ่ามือทั้งสองเชื่อมกัน ซากสัตว์หนักอึ้งนั้นเปลี่ยนทิศทาง กระแทกลงข้างกายจิ่งเหิงปัวดังตู้ม ห่างจากเรือนร่างนางเพียงเสี้ยวเดียว

 

 

พริบตาหนึ่งนี้ตัวจิ่งเหิงปัวเองก็ย้ายออกไปครึ่งจั้งกะทันหัน ท่าทางคล้ายได้รับแรงสั่นสะเทือนออกไป แต่นางเบิกตากว้าง…เมื่อครู่คล้ายกับว่าหายตัว!

 

 

หายตัวในน้ำได้แล้วด้วย!

 

 

แรงสั่นสะเทือนขณะที่สัตว์ยักษ์จมน้ำทำให้เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวลอยสู่ผิวน้ำ เรือนร่างส่วนหนึ่งขาวนวลราวหยกราวหิมะ สองคนที่อยู่ไกลโพ้นนั้นเบิกตากว้าง หวังพุ่งขึ้นไปมอง ซ้ำยังเหยียบเท้าของอีกฝ่ายไว้ ปิดตาของอีกฝ่ายไว้ ทำให้ไม่มีผู้ใดได้มองเห็นชัดเจนเลย

 

 

เผยซูร้องด่า “เอามือสกปรกของเจ้าออกไป!”

 

 

เสียงอีชีหงุดหงิดยิ่งกว่า “หากเมื่อครู่ข้าไม่ช่วยนาง วิ่งเข้าไปเสียเลย นางก็เป็นของข้าแล้วอ๊ากๆ อ๊ากๆ…”

 

 

“ไอ้โง่! เจ้าไม่ช่วยนาง ยามนี้นางอาจกลายเป็นศพหรือคนพิการ เจ้าจะสมรสด้วย?”

 

 

“จริงด้วย…เช่นนั้นเร็วหน่อย นางยังไม่ทันได้ถลกหนัง! ไอ้ระยำเจ้ารีบปล่อยข้า!”

 

 

“เจ้าปล่อยก่อน”

 

 

“เจ้าก่อน!”

 

 

“เช่นนั้นปล่อยพร้อมกัน!”

 

 

“หนึ่งสองสาม!”

 

 

“โธ่เว้ยเผยซูไอ้ระยำเจ้าขี้โกง…”

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงสองคนนั้น ตื่นฟื้นทันที…ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้บ้ากามสองตัวมาถึงแล้ว!

 

 

หนึ่งเค่อ!

 

 

นางไม่กล้าลังเล ดำลงไปใต้น้ำทันที หาซากสัตว์เกราะเงิน ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว เริ่มถลกหนัง!

 

 

คมมีดดุจสายฟ้า เหินว่อนวนเวียน เข้าออกขึ้นลงดั่งร่ายรำ เฉี่ยวเอ็นเฉือนกระดูกไร้สรรพเสียง

 

 

ไม่เคยคล่องแคล่วเช่นนี้มาก่อน

 

 

นางใจจดใจจ่อเช่นนี้ หลับตาอยู่ใต้น้ำ ดุจดั่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง กลับสู่ป่าเขาในวันนั้น ซากกระต่ายกวางโรร้อยกว่าตัวกองพะเนิน เขาจับมือของนางไว้ ปาดกริชเข้าเนื้อใต้หนังของเสือดาวตัวหนึ่งอย่างแผ่วเบา

 

 

นิ้วมือที่เยือกเย็น ลมหายใจที่เหน็บหนาว คลื่นน้ำกระเพื่อมคล้ายแก้มเขา เสียงน้ำดังซ่าคล้ายลมหายใจเขา

 

 

ปาด ขึ้น ลง กด ฉีก แยก…ชำนาญเฉกเช่นความทรงจำ

 

 

นางหลับตา แก้มเปียกชื้นไม่รู้ว่าเป็นน้ำหรือเป็นของเหลวอื่นสักอย่าง

 

 

ชั่วครู่เดียว หนังทั้งผืนสยายออกไปในมือนาง กระจายทั่วผิวน้ำดั่งกระโปรงขาวตัวใหญ่

 

 

รวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งอีชีกับเผยซูยังไม่ทันได้มาถึงข้างทะเลสาบ

 

 

อีชีวิ่งพลางคร่ำครวญว่า “เสี่ยวปัวปัว เจ้าต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ? เจ้าจะลากสัตว์เกราะเงินขึ้นฝั่งมาถลกหนังไม่ได้หรือ? ถลกหนังโลหิตโชกใต้น้ำเช่นนี้ ย้อมครึ่งทะเลสาบเป็นสีแดงแล้วเจ้าไม่ขยะแขยงหรือ? ให้พวกเราเห็นสักปราดเดียวเองไม่ใช่หรือ? มองปราดเดียวเจ้าไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย…”

 

 

ตู้ม ดังลั่น เผยซูกระโจนลงในน้ำสีแดงแล้ว งมวัตถุคล้ายหินสีดำขึ้นมากลืนไปพลาง นั่นคือยาถอนพิษที่ท่านอาจารย์จื่อเวยเตรียมไว้ให้ ตะโกนไปพลางว่า “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง? เจ้าอยู่ที่ใด?”

 

 

เสียงน้ำดังซ่า แสงเงินกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวพุ่งออกจากน้ำ

 

 

บุรุษสองคนในน้ำ เงยหน้าเหม่อมองนาง

 

 

นางว่ายวนโผล่พ้นผิวน้ำ หนังสีเงินที่สยายบนผิวน้ำห่อหุ้มเรือนร่างเพรียวบางของนางตามการแหวกว่าย แนบแน่นเรียบเนียนทีละชุ่น เอวบางปานกิ่งหลิวกับชายกระโปรงสีเงินแผ่กว้างวนเวียนบนผิวน้ำระยิบระยับ หยดน้ำแดงอ่อนนับมิถ้วนกระเซ็นดุจหมอกผลึกแก้ว นางคือเทพธิดาที่เกิดจากความวุ่นวายกลางไอน้ำ จําแลงแปลงกาย สวมมงกุฎบนเศียร

 

 

นิ้วเท้ากับข้อเท้าขาวราวหิมะใต้ชายกระโปรงเทพธิดาดั่งหอยมุก แสงรุ่งโรจน์แวววาว ยิ่งเพิ่มเสน่ห์เพริศแพร้วท่วมท้น

 

 

เผยซูกับอีชีอดจะกลั้นหายใจไว้ไม่ได้ ยามนี้นัยน์ตาที่ไม่เคยสนใจไยดีของอีชีเปล่งประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยเรือนร่างสวรรค์สร้างของนาง

 

 

เทพธิดาสวมมงกุฎใหม่เอี่ยมหรูหรา ถือมีดเปื้อนโลหิตไว้ในมือ ท่ามกลางแววตาลุ่มหลงของบุรุษสองคนที่ศิโรราบต่อนาง โบกมือเพียงครั้งลากซากสัตว์เกราะเงินออกมา มีดเดียวแทงเข้าคอหอยของสัตว์เกราะเงิน จากนั้นใช้มือเพรียวบางขาวราวหิมะกับเล็บแวววาวของนาง สอดเข้าไปในปากแผลที่มีโลหิตแดงฉานชุ่มโชกนั้น ทั้งล้วงทั้งควานข้างใน…

 

 

บุรุษสองคนเปล่งเสียงถอนใจด้วยฝันสลายออกมา…

 

 

“วะฮ่าหาเจอแล้ว!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะลั่นทันที ชักมือกลับมา ฝ่ามือมีวัตถุสีเหลืองอ่อนขนาดเท่าไข่นกพิราบเม็ดหนึ่ง สั่นไหวเล็กน้อย

 

 

“เน่ยตาน” เผยซูแบะปาก ทว่าสายตาฉายแววดีใจ

 

 

จิ่งเหิงปัวหรี่ตามองเน่ยตานนี้ นี่เป็นถึงของล้ำค่าที่นางฆ่าสัตว์ได้มากับมือครั้งแรก เพิ่งคิดจะชื่นชมอีกสักพัก ข้างบนพลันแว่วเสียงหัวเราะเยาะ บางคนเอ่ยว่า “ของล้ำค่าย่อมมีผู้มีคุณธรรมเป็นเจ้าของ! ข้ายอมให้เจ้ามอบเน่ยตานให้ข้า!”

 

 

เหนือศีรษะดัง ฟิ้ว มือข้างหนึ่งเอื้อมลงมา ฟาดมือฉกฉวยเน่ยตานไป

 

 

เพื่อไม่ให้นางลงมือขัดขวาง ผู้มาเยือนใช้มือข้างหนึ่งยื้อแย่ง แขนเสื้ออีกข้างหนึ่งสะบัดเพียงครั้ง พัดพาคลื่นน้ำใหญ่ดังซ่า กระแทกทั่วศีรษะทั่วใบหน้าจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้เตรียมตัว โดนโจมตีจนเรือนร่างเอนไปข้างหลัง บนใบหน้าปวดแสบปวดร้อน เผยซูรีบพุ่งเข้ามาประคองไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำบนใบหน้า บนใบหน้ายังคงแสบร้อน เพลิงโทสะในใจนางลุกโชนดังฟึ่บ

 

 

อะไรวะ! มีคนกล้าฉกชิงของของนางซึ่งหน้าด้วย?

 

 

เสียงกรีดร้องด้วยความโมโหของนางดังทั่วป่าเขาว่า “แม่งเอ๊ยผู้ใดแย่งของของพี่!”

 

 

ฝั่งตรงข้าม บางคนพลันเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มอบเน่ยตานให้ข้า นับเป็นวาสนาของพวกเจ้า อีกเดี๋ยวมีรางวัล!”

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินสำเนียงดัดจริตนี้แล้วก็อยากจะอ้วก ขยี้ตาที่เจ็บปวด เห็นชัดว่ามีชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนฝั่ง หน้าตาพอได้ แต่สีหน้าโอหังอวดดี มองอย่างไรก็ทำให้คนอื่นไม่สบายตาอย่างนั้น

 

 

เห็นแล้วไม่สบายตายิ่งกว่าคือเสื้อผ้าของเขา

 

 

เขาใส่ชุดขาวด้วย!

 

 

คนใส่ชุดขาวไม่ใช่คนดีทั้งนั้น!

 

 

ใครก็ห้ามใส่!

 

 

นางเท้าคาง เช็ดมือบนร่างเผยซู จ้องมองเจ้าคนนั้นครู่ใหญ่ ยิ้มแย้มทันที

 

 

ยิ้มแย้มเสียจนสองคนนั้นสั่นสะท้านทั่วร่าง

 

 

จากนั้นนางก้าวหนึ่งพ้นผิวน้ำ อีกก้าวหนึ่งถึงริมฝั่ง

 

 

ชายชุดขาวนั้นกำลังพินิจเน่ยตานอย่างลำพองใจ คิดว่าไปกินที่ใดถึงเหมาะสม พอเชิดสายตาจิ่งเหิงปัวอยู่ตรงหน้าแล้ว อดจะตกใจในวิชาตัวเบาของนางไม่ได้ จากนั้นตรงหน้าจึงสว่างวาบ แววตาตื่นตะลึง

 

 

ขณะนี้จิ่งเหิงปัวกำลังนุ่งห่มหนังสัตว์เกราะเงินนั้น เวลาฉุกละหุกแน่นอนว่าตัดเป็นเสื้อผ้าไม่ได้ ได้แต่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมมานุ่งกระโจมอกไว้ โชคดีที่หนังสัตว์เกราะเงินนี้นุ่มนวลแนบเนื้อโดยกำเนิด หลังสวมแล้วพอดีร่างกายราวกับผิวอีกชั้น เช่นนี้นางจึงคล้ายสวมชุดราตรีเปิดไหล่ประกายเงิน ไหล่ขาวราวหิมะ กระดูกไหปลาร้างดงาม ทรวดทรงอวบอิ่มและวิจิตร หยดน้ำไหลรินจากบนเกราะอ่อนประกายเงิน ช่วงเอวโอ้อวดเสน่ห์และล่อลวงสายตานับไม่ถ้วน

 

 

ชายชุดขาวพลันลืมวาจาของตน ชี้จิ่งเหิงปัวพลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้มอบเน่ยตานนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะขอรางวัลอย่างงามให้เจ้า”

 

 

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้า “รีบมาขอบคุณ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มจ้องมองเขา เหยียบเท้าของเผยซูที่ใกล้สติแตกไว้ ทัดจอนผมพลางกล่าวว่า “คุณชายคิดจะขอรางวัลจากที่ใดให้ข้าเล่า?”

 

 

นางมองลักษณะการแต่งกายของคนคนนี้ ไม่เหมือนคนของสำนักในต้าฮวง รู้สึกตลอดว่าต้องถามที่มาให้ชัดเจนก่อน จากนั้นค่อยต้มผัดแกงทอด

 

 

คนผู้นั้นระมัดระวัง เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ยามนี้เจ้ายังไม่คู่ควรจะถาม” เอ่ยจบเงยหน้า กลืนเน่ยตานนั้นเข้าไป

 

 

ทั้งสามคนชะงักงัน

 

 

จิ่งเหิงปัวร้องว้ากโมโหจนถึงขีดสุดแล้ว

 

 

เน่ยตานที่นางแย่งมาอย่างยากลำบาก!

 

 

“ผู้ใดก็ห้ามลงมือ…” นางกรีดร้อง ขัดขวางการลงมือของอีชีกับเผยซู

 

 

เดิมทีชายชุดขาวเตรียมป้องกันเล็กน้อย ยามนี้ได้ยินวาจานี้พลันหัวเราะแล้ว กำลังจะชมว่ารู้สถานการณ์ ตรงหน้าพลันเลือนราง พริบตาต่อมาจึงได้ยินเสียง เพียะ หนักหน่วง บนแก้มปวดแสบปวดร้อน รสคาวพรั่งพรูในปาก เขาอ้าปากถุยฟันสามซี่ออกมาดังพรวด

 

 

ชายชุดขาวมีสีหน้าหวาดผวา…เขามองไม่เห็นเงาคนด้วยซ้ำ!

 

 

เขารีบถอยหลัง ทว่าแผ่นหลังชนกับวัตถุยืดหยุ่นกลุ่มหนึ่ง จากนั้นเสียงกรีดร้องแทบแทงทะลุแก้วหูเขา “เจ้ายังกล้าแทะโลมพี่!”

 

 

เพียะ ดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้ตบแก้มอีกฝั่งหนึ่ง หน้าฟกช้ำฟันร่วงกราว ศีรษะของเขาหันไปทางนั้น หันกลับมาไม่ได้แล้ว

 

 

“เอาของข้าไปหยิบออกมาให้ข้า! กินของข้าไปคายออกมาให้ข้า!” จิ่งเหิงปัวใช้เท้าถีบท้องเขาอย่างโหดเ**้ยม ออกแรงทั่วร่าง…เน่ยตานเม็ดแรกที่นางเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้มาอย่างยากลำบาก อยู่ในมือยังไม่ทันอุ่นเลย!

 

 

เจ้าผู้นั้นโดนเท้าถีบจนร่างงุ้มไปข้างหลัง ตัวงอเป็นกุ้งกระเด็นถอยไปหลายก้าว เขาสะดุ้งเงยหน้า สีหน้าที่มองจิ่งเหิงปัวไม่ใช่ความหยิ่งผยองกับความตื่นตะลึงที่เจือด้วยความเหยียดหยามเฉกเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

 

 

นี่มันวิชาตัวเบาแบบไหนกัน?

 

 

ภูตพรายยังเห็นเงาได้ ทว่าการปรากฏกายของนางไม่ทิ้งร่องรอยเลยแม้แต่น้อย

 

 

เดิมทีเขาไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ทว่าไม่เคยพบเห็น ‘วิชาตัวเบา’ ที่ภูตพรายยังเทียบไม่ได้เช่นนี้ มองเผยซูกับอีชีแสยะยิ้มเข้ามาใกล้ด้วยความหวาดกลัว พลันรู้ว่าวันนี้โชคร้ายเหลือเกิน เจอของแข็งอีกแล้ว ไม่กล้าแค่นเสียงด้วยซ้ำ หันหลังหนีไป