ผู้ช่วยจอนห์ที่อยู่ข้างๆเห็นเขานิ่งเงียบอยู่นาน สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก ก็จึงเอ่ยพูดขึ้นว่า“ผมก็ไม่คิดว่าคุณผู้หญิงเธอ——”
เมื่อจอนห์พูดมาถึงตรงนี้ก็รีบกลับคำ“คุณหลินจือ เธอจะเป็นนักเขียนฟิลคูลไปได้ หากคุณไม่ต้องการจะร่วมงานกับเธอผมจะติดต่อไปหาประธานเจเทาวน์ให้ครับ”
จอนห์ติดตามเทาเท่มานาน ดังนั้นก็จึงรู้เป็นอย่างดีว่าเทาเท่ เกลียดชังหลินจือมากแค่ไหน
แม้จอนห์จะรู้สึกว่าหลินจือนั้นน่าคบหากว่าซูซีอยู่มาก แต่เรื่องของความรู้สึกคนนอกอย่างพวกเขาก็พูดอะไรมากไม่ได้
ใครจะไปคิดว่าเทาเท่จะห้ามเขาไว้ “ไม่เป็นไร”
ขาที่ก้าวเดินของจอนห์ก็หยุดลงด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าเทาเท่คงไม่อยากจะเจอหลินจืออีกเลยแม้แต่น้อย ต้องรู้ด้วยว่าหากหลินจือเป็นคนเขียนบท มีเรื่องอีกมากที่พวกเขาต้องพูดคุยกัน ถึงตอนนั้นเจ้านายของเขาก็ต้องเจอหน้าหลินจือบ่อยๆ
เทาเท่อธิบายว่า“ในเมื่อเป็นคนที่ประธานเจเทาวน์แนะนำมา เราก็ต้องเชื่อในความสามารถของเธอ อีกอย่าง งานก็ส่วนงาน ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องส่วนตัว”
ความหมายก็คือเขาแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่เปลี่ยนตัวของหลินจือออกจากโปรเจกต์นี้เพราะอคติส่วนตัวของเขา
จอนห์พยักหน้ารับ“ครับ ผมทราบแล้ว ”
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “พรุ่งนี้เป็นการประชุมใหญ่นัดแรกของโปรเจกต์นี้ คุณจะเข้าร่วมด้วยไหมครับ?”
“อืม”เทาเท่ได้หันไปสนใจเรื่องอื่นแล้ว ในความยุ่งเขาตอบกลับจอนห์เพียงสั้นๆ จอนห์รับคำหันหลังแล้วออกไปดำเนินการ
แววตาที่หลุบลงของเทาเท่มีอารมณ์อื่นแฝงอยู่ พรุ่งนี้เขาจะรอดู ว่าเธอจะวางโครงเรื่องให้ออกมาหน้าตายังไง
เทาเท่เพิ่งจะจดจ่อกับการทำงานได้ไม่นาน ซูซีก็โทรเข้ามา
ซูซีที่อยู่ปลายสายทักท้วงเขา“เทาเท่ คุณไม่มีเวลาให้ฉันเลยนะคะ ”
เทาเท่ยกมือขึ้นแล้วคลึงไปที่หน้าผาก“ช่วงนี้งานยุ่งมาก”
“ก็ได้”ท่าทีซูซีราวกับจะเข้าใจ “พรุ่งนี้คุณไปไหนหรือเปล่า ?”
เทาเท่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ตอบอย่างนิ่งเฉย “พรุ่งนี้มีประชุมโปรเจกต์ละครใหม่”
“โปรเจกต์ละคร?” ซูซีอุทานออกมาอย่างพอใจ จากนั้นเธอก็พูดอย่างปรารถนาว่า“เยี่ยมไปเลย ฉันขอไปกับคุณด้วยนะ แม้ว่าตอนนี้ฉันจะไม่ได้รับงานแสดงอะไรแล้ว แต่ฉันก็ยังมีความสนใจในเรื่องพวกนี้อยู่มาก”
เทาเท่เงียบไปสักพัก แต่แล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า“ซูซี หากคุณยังอยากจะรับงานแสดง คุณรับได้นะ”
เทาเท่ไม่เคยห้ามซูซีให้หยุดรับงานแสดงและไม่เคยขอให้เธอถอนตัวออกจากวงการ เป็นซูซีเองที่บอกว่าเริ่มเบื่อหน่าย และอยากจะถอนตัวออกจากวงการเอง
ซูซีมักจะแสดงท่าทีเสียใจที่ถอนตัวจากวงการเพราะเขาอยู่บ่อยๆ และเขาก็ไม่เคยรู้สึกซาบซึ้งใจกับมันเลย
ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกรำคาญมากกว่า ตอนนั้นเพราะเธออยากจะพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถมากพอที่จะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงได้จึงบอกเลิกเขา ส่วนตอนนี้บอกว่าจะถอนตัวออกจากวงการก็เธออีกเหมือนกัน
การพูดกลับไปกลับมาของซูซีทำเอาเทาเท่รู้สึกเหนื่อยหน่ายมาก เพราะการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวของเธอในครั้งนั้น ทำให้ชะตาชีวิตของคนจำนวนมากถูกขีดเขียนขึ้นใหม่
จู่ๆซูซีก็จุกกับคำพูดของเทาเท่ แต่แล้วเธอก็ยกยิ้มและเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างชาญฉลาด“คุณก็บอกมาซิว่าให้ฉันไปด้วยได้หรือเปล่า”
แววตาเทาเท่มีความเบื่อหน่ายผาดผ่าน ซูซีกลายเป็นคนที่ชอบลองใจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ไม่ใช่ว่าเขาจะฟังไม่ออกถึงคำถามลองใจแบบนี้ และเขาก็เชื่อว่าในเมื่อพินอินรู้แล้วว่าหลินจือกลับมาซูซีก็ต้องรู้ด้วยเช่นกัน
ซูซียืนกรานที่จะไปประชุมกับเขาในวันพรุ่งนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อจะไปเจอหลินจือหรือก็เพื่อไปดูว่าเขากับหลินจือยังมีเยื่อใยอะไรต่อกันหรือเปล่า
และแล้ว ในที่สุดเทาเท่ก็ตอบตกลง“ก็ได้”
ทำไมเขาถึงตอบตกลง แน่นอนว่าเพราะเขาอยากจะเห็นอาการของหลินจืออยากรู้ว่าเธอตัดใจจากเขาได้แล้วจริงๆเหรอ