บทที่ 78.4 พบกันอีกครั้ง (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

การมีชีวิตอยู่ ที่จริงนั้นง่ายดายยิ่ง

ที่ยากก็คือจะมีชีวิตอยู่อย่างที่ใจตนเองต้องการ

แต่ไหนแต่ไรมาความปรารถนาของนางนั้นง่ายดาย นางไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นภาระของคนใกล้ชิดหรือญาติสนิท แต่ชาติกำเนิดของนางได้กำหนดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว…

ชาติที่แล้วคือบิดาและพี่ชาย ชาตินี้เพิ่มเหยียนหลิงจวินมาอีกคนหนึ่ง

พวกเขาปกป้องคุ้มครองนาง เฝ้าดูนาง เสมือน…

และกลายเป็นภาระของนางเช่นกัน ทำให้แต่ละย่างก้าวของนางต้องเดินอย่างระมัดระวังราวกับอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง

ภาระเหล่านี้ นางหักใจทิ้งไม่ได้ นางละโมบต่อผลลัพธ์ของมัน…

ระยะนี้นางกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นเริ่มอ่อนแอ

เพราะน้ำตาของนางเหยียนหลิงจวินจึงทำตัวไม่ถูก รีบยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นางพร้อมกับกล่าวว่า “ซินเป่า เจ้าอย่าร้องไห้ ต่อให้ข้าคิดอ่านไม่รอบคอบพอ ข้ารับรองว่าจะไม่มีครั้งต่อไปแล้วดีหรือไม่?”

นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเห็นนางร้องไห้สะอึกสะสะอื้นเช่นนี้ ครั้งที่แล้วคือเมื่อทั้งสองคนแขวนอยู่บนหน้าผาและต้องจากกัน ครั้งนี้…

เวลาผ่านไป เหยียนหลิงจวินคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของนางจะรุนแรงเช่นนี้

นางเสียน้ำตาเพราะเขา เช่นนั้นแสดงว่าในใจของนางมีเขาแล้ว

แต่ความรู้สึกในเวลานี้ นอกจากความหวานชื่น…

ที่มีมากกว่าคือความปวดใจ

ทำใจไม่ได้ที่เห็นนางต้องเสียน้ำตา ฉู่สวินหยางที่กระฉับกระเฉง สดใส ตรงไปตรงมาผู้นั้น จึงเหมาะกับเป็นนาง

“ท่านเอาคำพูดเช่นนี้มาหลอกลวงข้าอีกแล้ว” ฉู่สวินหยางพูดอึกอัก ทว่ากลับชัดเจนยิ่งว่าไม่ยอมถูกหลอกอีก “ท่านกับบิดาและท่านพี่ล้วนเหมือนกัน ทุกครั้งรับปากข้าอย่างคล่องปาก แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ กลับทำตามที่พวกท่านคิดตัดสินใจที่จะทำ ข้าไม่กลัวเจ็บและไม่กลัวตาย ข้ากลัวแต่ว่าพวกท่านคนใดคนหนึ่งจะทิ้งข้าไป”

“ซินเป่า…” เหยียนหลิงจวินถอนใจอย่างจนใจ ดูเหมือนไม่รู้จะทำเช่นใดดี “เหตุไฉนจึงร้องไห้จนเป็นเช่นนี้เล่า?เมื่อก่อนที่ข้าพบเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นข้าหรือไม่ที่ถูกหลอก”

ฉู่สวินหยางทนไม่ไหวหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งและผลักเขาไปครั้งหนึ่ง ดวงตาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

“ตอนนี้สุขภาพของท่านเป็นเช่นนี้ ข้าต่างหากเล่าที่ถูกหลอก”

 หางตาของนางยังมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ รอยยิ้มนี้ช่างเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ทำให้นางดูไปแล้วทั้งดื้อดึงและยังไร้เดียงสา

“เช่นนั้นคนละครั้ง ถือว่าเสมอกัน” หัวใจของเหยียนหลิงจวินพลันอ่อนยวบ เขามีรอยยิ้มเอ็นดู พร้อมกับเกลี่ยหยดน้ำตาของนางออก

นั่งอยู่ริมบ่อน้ำเป็นเวลานาน เสื้อผ้าอาภรณ์เปียกชุ่มไปกว่าครึ่ง แนบติดร่างกายทำให้รู้สึกไม่สบายตัวนัก

ฉู่สวินหยางกำลังจะไถลตัวลงไปเพื่อจะแช่อยู่ในน้ำเช่นกัน

“เจ้าอย่าลงมา” เหยียนหลิงจวินกล่าวพร้อมกับรีบประคองนางขึ้นมา “ในบ่อน้ำนี้ท่านอาจารย์ได้เติมสมุนไพรมากมายหลายอย่างนัก ไม่แน่ว่าเจ้าจะรับไหว”

ขณะที่กำลังพูดนั้นเขาได้ลุกขึ้นยืนและอุ้มนาง ก้าวข้ามไปบ่อน้ำที่อยู่ด้านข้างอีกบ่อหนึ่ง ให้นางนั่งลง

ฉู่สวินหยางโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขาเงียบๆ มองริมฝีปากซีดขาวของเขา คิ้วทั้งคู่ขมวดขึ้นกล่าวกว่า “คณะขององค์รัชทายาทหนานฮวาเดินทางถึงแคว้นฉู่วันนี้”

“อืม” เหยียนหลิงจวินเอาคางของตนวางไว้บนบ่าของนาง น้ำเสียงนั้นไม่แยแสอันใด

“กลับไปครั้งนี้ เป็นการพบหน้าอย่างเป็นทางการแล้วกระมัง?” ฉู่สวินหยางอ้อมมือไปจับเส้นผมที่เปียกชุ่มของเขาเอาไว้ในมือ “เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง ต้องพบหน้ากับเขา ท่านเตรียมจะทำอย่างไร?”

“เขาเป็นคนฉลาด ย่อมไม่ทำให้ข้าลำบากเป็นแน่” เหยียนหลิงจวินกล่าว ริมฝีปากปรากฏเป็นเส้นขนาน “พูดให้ถูกต้องแล้วคนที่พวกเขาต้องเกรงกลัวเป็นบิดาของข้าไม่ใช่ตัวข้า ครั้งก่อนที่ฉงหมิงตี้ยื่นมือเข้ามานั้น เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ จึงต้องการโจมตีบิดาข้าผ่านข้า ยามนี้เรื่องทุกอย่างล้มเหลว เขาย่อมไม่กล้าทำอะไรวู่วาม สำหรับเฟิงเหลียนเซิ่ง…”

เหยียนหลิงจวินพูดแล้ว น้ำเสียงกลับเย็นเยียบลงอย่างไม่รู้ตัว “ตำแหน่งฮ่องเต้ยังมาไม่ถึงเขา เขาจะมายุ่งเรื่องนี้ก่อนเวลาอันสมควรทำไมเล่า ต้องมาเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราพ่อลูก?”

แซ่เฟิงแห่งหนานฮวา ถูกเรียกให้เป็นเจ้าแผ่นดิน

เฟิ่งเหลียนเซิ่ง ที่เหยียนหลิงจวินเอ่ยถึงนั้นคือชื่อตัวขององค์รัชทายาทหนานฮวา

ที่จริงก่อนหน้านี้หลายปี โจวฮองเฮาในฉงหมิงตี้ยังมีชีวิตอยู่ ฉงหมิงตี้พระราชทานชื่อให้แก่เขาเป็นตัวอักษรตัวเดียวคือ เซิง (圣) มีเพียงอักษรตัวเดียว ได้กำหนดดวงชะตาการสืบทอดบัลลังก์ในตำแหน่งฮ่องเต้ของเขา

เพียงแต่ต่อมาสกุลโจวไม่ได้ตกต่ำ จึงมีขุนนางยกเรื่องนี้มาถกเถียงกัน กล่าวว่าตัวอักษร ‘เซิ่ง’ ตัวนี้นั้นหมายถึงโอรสสวรรค์ หากนำมาใช้กับองค์รัชทายาทแล้วจะเป็นการไม่เหมาะสม ดังนั้นฉงหมิงตี้จึงได้แต่ผลักเรือตามน้ำไปโดยพระราชทานชื่อใหม่ให้กับองค์รัชทายาทว่า ‘เหลียนเซิ่ง’ (连晟)

ส่วนเหยียนหลิงจวินนั้น เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวขององค์หญิงหยางเซี่ยน เฟิงชิงโม่ และเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ หรงเสี่ยนหยาง

เล่ากันมาว่าครั้งนั้นองค์หญิงหยางเซี่ยนมีประสูติกาลอย่างยากลำบากจึงเสียชีวิต เด็กน้อยที่ถือกำเนิดออกมาจึงมีสุขภาพอ่อนแอเป็นอย่างมาก หมอหลวงได้มาตรวจอาการแล้วได้บอกไว้ว่า เด็กน้อยคนนี้มีอายุอยู่ไม่ถึงวัยผู้ใหญ่

สถานการณ์ในจวนเจิ้นกั๋วกงยุ่งยากซับซ้อนอย่างยิ่ง ดังนั้นเจิ้นกั๋วกงจึงใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ เขาส่งบุตรชายออกไปอยู่หมู่บ้านนอกเมืองอย่างมิดชิด ใช้ข้ารับใช้เก่าแก่ แม่นมข้างกาย และนางกำนัลข้างกายขององค์หญิง

หยางเซี่ยนเป็นผู้ดูแล

หลังจากนั้นเป็นต้นมา นอกจากหรงเสี่ยนหยางแล้วคนที่ได้พบหน้าเขาจึงมีไม่มาก

ต่อให้มีคนพบเขาโดยบังเอิญ ล้วนแต่พูดว่าอาการเจ็บป่วยเด็กคนนี้มีมาก อ่อนแอยิ่งนัก

ก่อนหน้านี้หลายปี คนของฉงหมิงตี้และเจิ้นกั๋วกงต่างจับตามองการเคลื่อนไหว ต่อมาเมื่อพบว่าทางหมู่บ้านนั้นได้ทำการป้องกันอย่างแน่นหนา และเรื่องสุขภาพของเหยียนหลิงจวินก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น นานๆ เข้าจึงไม่ได้ส่งคนมาจับตามองอีก

ชาติที่แล้ว หรงเสี่ยนหยางถูกสังหารในค่ายทหารแคว้นฉู่ เหยียนหลิงจวินไปถึงช้าเพียงก้าวเดียว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

เช่นนั้นเพียงคิดย่อมรู้ว่า หากเหยียนหลิงจวินย้อนกลับมาได้จุดจบของฮ่องเต้หนานฮวาจะเป็นเช่นไร

ญาติสนิทเพียงคนเดียวต้องตายจาก ยังมีผู้คนอีกมากมายรอให้เขาตายตกตามกันไป ไม่แปลกที่เขาจะหันหลังให้กับบ้านเกิดของตนเองและทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หยิบยืมอำนาจจากฉู่หลิงอวิ้นสองพี่น้องเพื่อตั้งตัวขึ้นมาใหม่

ในเวลานั้นคนของฉู่ฉีเฟิงไปสืบหาประวัติความเป็นมาของเขา และเริ่มสืบจากหรงเสี่ยนหยาง ทว่ากลับไม่ได้หลักฐานที่จะพิสูจน์อันใดกลับมา…

ต้องการพิสูจน์ฐานะของเขาที่จริงนั้นไม่ยาก

ลองสอบถาม นอกจากหลานชายคนโตที่เจ็บป่วยจนถูกผู้คนหลงลืมผู้นั้นของสกุลหรง ยังมีใครอีกที่มีฐานะสูงส่ง ทั้งยังสามารถเข้าออกเมืองหลวงได้อย่างอำเภอใจโดยที่ไม่มีใครรู้การเคลื่อนไหว?

เพียงแต่เรื่องที่องค์หญิงหยางเซี่ยนเป็นศิษย์ของเจ้าหุบเขาปีศาจนั้นมีคนรู้น้อยยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วจากเบาะแสนี้ย่อมสืบหาฐานะที่แท้จริงของเขาได้แน่นอน

เหยียนหลิงจวินเองรู้ดี สำหรับฉู่อี้อันสองพ่อลูกที่ต้องการสืบหาเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาผ่านหรงเสี่ยนหยางนั้น ไม่ได้สร้างปัญหาอันใดให้กับเขา ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเขาจึงไม่ได้กระทำการใดๆ เพื่อทำการขัดขวางการสืบค้นของพวกเขา

และหลังจากที่แน่ใจในชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา ฉู่สวินหยางจึงได้เข้าใจและรู้ซึ้งในคำพูดของเขาที่ว่า ‘ความรักของเขา เขาและแคว้นของเขา’ ความหมายของประโยคนี้

ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ มีคนใดบ้างที่ไม่หัวใจสลายเพื่อผลประโยชน์ จึงต้องกุมอำนาจไว้ในมือให้ดี

ดังนั้นเมื่อชาติที่แล้ว เขาก่อสร้างฐานกำลังขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ล้มลุกคลุกคลานหลายครั้งเพื่อที่จะได้มาซึ่งกำลังอำนาจทางทหาร ก็เพื่อ…

ก็เพื่อจุดประสงค์นี้

ให้แคว้นฉู่เป็นประตูเพื่อหาโอกาส เข้าไปอยู่ในราชสำนักของหนานฮวา แก้แค้นให้บิดาของเขาที่ตายอย่างทุกข์ทรมาน

———————