และชาตินี้…
ทุกอย่างกลับตาลปัตร นางช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่งด้วยความบังเอิญ ทุกอย่างได้รับผลกระทบ เปลี่ยนแปลงดวงชะตาของพ่อเขา
จึงไม่แปลกอันใดที่เขาจะมีจิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ กลับติดตามอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด
หากยังเป็นเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว ความแค้นอันยิ่งใหญ่ที่เขาแบกรับอยู่
ทุกๆ ครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ที่ลานประหาร คมหอกคมดาบที่จะประหารชายหนุ่ม ในใจของฉู่สวินหยางได้แต่ป้องกันและเตรียมรับ
ความแค้น สามารถทำให้คนๆ หนึ่งบ้าคลั่งจนถึงที่สุด
โชคดีที่ชาตินี้พวกเขาต่างได้มาพบกัน ได้ก้าวผ่านทั้งกลิ่นคาวเลือดและความโศกเศร้า
“หลายปีมานี้ บิดาของท่านปกป้องคุ้มครองเจ้าเป็นอย่างดี เพื่อไม่ต้องการให้ท่านแปดเปื้อนดินโคลนเหล่านี้” ในใจนั้นมีความยินดี ฉู่สวินหยางยังคงมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ “ยามนี้ดูแล้วคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป”
“หลายปีก่อนบารมีและอำนาจของท่านพ่อมีมากเกินไป ต่อให้ปิดบังอำพรางตัวอย่างไร คนเหล่านั้นไม่เคยหยุดคิดคาดเดา ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน” เหยียนหลิงจวินกล่าว นิ้วมือตบลงบนผิวน้ำ ทำให้หยดน้ำกระเด็นออกไปไกล
“ดูเหมือนว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับราชวงศ์แล้วยากนักที่จะก้าวออกมาจากปลักโคลนนั้น การวางอุบายของคนในราชวงศ์กันเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยหยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปอยู่ในเรื่องนั้นอย่างเต็มใจหรือถูกบีบบังคับให้เข้าไปร่วมในเรื่องนั้นด้วย ล้วนยากนักที่จะถอนตัวออกมาได้” ฉู่สวินหยางกล่าว นางนั่งตัวตรง ปลายนิ้วลูบไล้บนใบหน้าของเขา “ครั้งที่แล้วเป็นบิดาของท่าน ครั้งนี้ก็เป็นท่าน นี่ไม่ใช่การขัดแย้งภายในจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างเพียงเดียวหรอก?”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินหัวเราะขึ้นช้าๆ ครั้งหนึ่ง สายตามองออกไปไกลผ่านเมฆหมอกที่ลอยอยู่ สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งรอยยิ้ม แต่ละคำที่เขาพูดออกมานั้นเรียบเรื่อย “แค่จวนเจิ้นกั๋วกงเล็กๆ นับเป็นอะไรได้เล่า?
ที่จริง…มันเริ่มตั้งแต่ท่านแม่ของข้าตายไป เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ถูกวางอุบายไว้เพื่อรอเวลา เจ้าคิดว่าหลายปีมานี้ท่านอาจารย์ได้แต่โทษตัวเองเพราะเหตุใดเล่า? ท่านแม่เป็นศิษย์ที่ท่านอาจารย์ภาคภูมิใจมาก แม้แต่หมอหลวงในวังยังเทียบนางไม่ติด ก็แค่ให้กำเนิดบุตรเท่านั้น นางกลับต้องมาเสียชีวิต และในเวลานั้นท่านอาจารย์ได้เร่งเดินทางมาแล้ว สุดท้ายยังคงทำได้แค่เพียงมองนางตายจากไป หึ…คำพูดเช่นนี้พูดออกไปใครจะเชื่อ?”
พูดถึงสุดท้ายเหยียนหลิงจวินหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งแต่น้ำตาคลอดวงตาของเขา ช่างเยียบเย็นจนน่าหวาดกลัว
เขาเกิดมาไม่เคยได้พบมารดาของตนเอง หากจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก เกือบจะพูดได้ว่าไม่มี
แต่หลายปีมานี้เขาเห็นด้วยตาตนเองว่าบิดาของตนเงียบขรึมและเจ็บปวด
พวกเขาเคยมี เจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ หรงเสี่ยนหยางเป็นคนบุคคลระดับแนวหน้าเลยทีเดียว เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นสอบผ่านเคอจวี่และจ้วงหยวน อายุสิบหกปีเป็นบัณฑิต ยี่สิบปีเข้าวังรับตำแหน่งรองแม่ทัพ ผลงานทางทหารเป็นที่ประจักษ์
แต่ในขณะที่ชีวิตของเขากำลังรุ่งโรจน์จนถึงขีดสุด เขากลับยินยอมที่จะถอยออกมา ถูกแต่งเข้ามาเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงหยางเซี่ยน
ด้วยกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ ราชบุตรเขยจะต้องไม่มีหน้าที่การงานใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่ประวัติศาสตร์มีมา
หรงเสี่ยนหยางผู้นี้นับได้ว่าเป็นบุคคลในตำนาน ฉู่สวินหยางไม่ค่อยเข้าใจคนผู้นี้นัก แต่เรื่องราวเกี่ยวกับเขานั้นฉู่สวินหยางพอจะรู้มาบ้าง
ผู้ชายในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่มีความทะเยอทะยานในใจ สามารถละทิ้งผลงานที่ตนสร้างกับมือ และมีชีวิตอยู่ใต้เงาของผู้หญิงคนหนึ่ง?
แต่หรงเสี่ยนหยางทำได้
และยังเป็นเวลาที่ชีวิตของเขารุ่งเรืองที่สุด
คิดดูแล้วเวลานั้นเขาต้องรักองค์หญิงหยางเซี่ยนอย่างยิ่ง และต้องรักเสียมากมาย
ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่มีความกล้าหาญที่จะตัดสินใจได้
แต่สุดท้าย…
พวกเขาแต่งงานอยู่ด้วยกันไม่ถึงสี่ปี องค์หญิงหยางเซี่ยนตายจากไป ตั้งแต่นั้นมาสองคนต้องยู่คนละภพ
เรื่องราวเช่นนี้มันหนักหนาสาหัสเกินไป นางยื่นมือไปโอบรอบลำคอของเหยียนหลิงจวินเกยคางบนลาดไหล่ของเขา พูดเนิบช้าว่า “ท่านพ่อของท่าน เขา…จะต้องรักท่านแม่ของท่านมาก”
เหยียนหลิงจวินไม่พูดจา
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงดึงแขนของฉู่สวินหยางออก มองดวงตานางตรงๆ กล่าวว่า “ซินเป่า เกิดมาในครอบครัวเชื้อพระวงศ์เป็นสิ่งที่มารดาข้าเลือกไม่ได้ และการไม่ได้ดูแลคุ้มครองมารดาของข้าอย่างรอบคอบทำให้เหลือบาดแผลไว้ในใจของบิดาข้าตลอดชีวิต แต่ชีวิตของข้าทั้งชีวิตนี้ ไม่อยากพานพบกับความเสียดายแบบเดียวกัน ต่อให้เจ้าจะพูดว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ดี นอกเสียจากว่าเจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าโดยปลอดภัยตลอดไป ไม่เช่นนั้น…ข้าไม่มีความอดทนและสติเหมือนท่านพ่อ ข้าไม่แน่ใจจริงๆ ว่าข้าจะทำเรื่องใดออกมาบ้าง?
หรือตาย หรือส่งคนอื่นไปตาย
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทุกอย่างแน่นอนแล้วว่าความเสียหายพินาศย่อยยับ
เมื่อท่านมีคนๆ หนึ่งอยู่ในใจแล้ว และเข้าไปอยู่ในกระแสเลือด เมื่อต้องการเอาออกมาอีกครั้ง อาจจะทำได้เพียงฝังตัวเองลงในภูเขาทะเลจึงจะสามารถปลดปล่อยออกมาได้
ระหว่างที่พูด สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งนัก ราวกับจะกลืนกินคนลงไปได้ทั้งคน
ฉู่สวินหยางโน้มกายเข้าไปจุมพิตดวงตาของเขา ราวกับจะลบล้างความรู้สึกที่ฉายชัดในดวงตาของเขาออกไป และพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ทำไมต้องพูดให้ดูร้ายแรงนักเล่า อย่างไรเสียข้ารับปากท่านแล้ว ต่อไปจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ไม่ให้ท่านต้องกังวลใจอีก ดีหรือไม่?”
ท่าทางและน้ำเสียงอันอ่อนโยนของนางนั้นราวกับนางกำลังปลอบประโลมเด็กน้อย
เหยียนหลิงจวินได้แต่ทอดถอนใจในลำคอ เอนกายไปด้านหลัง ลืมตาขึ้นประสานสายตากับนางอีกครั้ง ปลายนิ้ววาดผ่านใบหน้าและกรอบหน้าของนาง
“ข้าย่อมต้องกังวลแทนเจ้าตลอดเวลา และไม่อยากให้เจ้าไปทำอะไรตามลำพังลับหลังข้า”
เขาเข้าใจนางเกินไป ต่อให้ในเวลานี้เขาได้เข้ามายึดพื้นที่บางส่วนในหัวใจนางไปแล้ว ทว่ายังคงไม่สามารถเข้ามาแทนที่บิดาและพี่ชายได้ทั้งหมด
มีเรื่องราวมากมาย เมื่อดำเนินมาถึงที่สุด เวลานั้นก็ยังมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เราไม่สามารถทำตามใจตนเองได้
เรื่องนี้ ฉู่สวินหยางไม่ปฏิเสธ
แต่การพูดถึงเรื่องเช่นนี้หากยังพูดคุยกันต่อไปย่อมไม่จบไม่สิ้น
เพื่อหลบสายตาของเขา ฉู่สวินหยางจึงค่อยๆ ก้มหน้าลง สายตาตวัดกลับมาจึงคิดขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อสักครู่อีกฝ่ายนั่งแช่ยาสมุนไพรอยู่ในบ่อ ยามนี้นางกวาดสายตามองไป เห็นตุ่มแดงๆ สองจุดบนหน้าอกของเขา
ด้วยรู้สึกประหลาดใจ ฉู่สวินหยางจึงยื่นนิ้วชี้ไปลองสะกิดดู
เหยียนหลิงจวินคิดไม่ถึงว่านางจะมาไม้นี้ ลมหายใจของเขาตีขึ้นมา ติดอยู่ในช่องอก ต่อมาจึงไอโขลกขึ้น
ฉู่สวินหยางเห็นแล้วตระหนกตกใจยิ่ง รีบเข้าไปประคองเขาและลูบหน้าอกให้
กล้ามเนื้อบนร่างกายของชายหนุ่มเป็นมัดๆ ความรู้สึกที่มือได้สัมผัสนั้นทั้งเรียบลื่นและเด้งได้ แม้จะไม่ใช่กริยาที่ลวนลามอันใด แต่ปัญหาอยู่ที่เหยียนหลิงจวินไม่ได้สวมเสื้อผ้า หน้าอกของเขาถูกมือของนางนวดคลึง ยากยิ่งนักที่จะไม่คิดนอกลู่นอกทาง ท่ามกลางความอึดอัดใจนี้เหยียนหลิงจวินจับข้อมือของนางดึงออก
“เจ้าออกไปก่อน ให้ข้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สักครู่” เขาพยายามควบคุมการไอโขลกของตนเอง เหยียนหลิงจวินใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมสั่งการ
เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ ทว่าสีหน้ากลับแดงขึ้น
ฉู่สวินหยางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่คิดว่าเขาไอหนักจนหน้าแดง คิดได้เช่นนั้นนางจึงปีนขึ้นมา
ทันทีที่นางลุกขึ้น ทั้งสองคนก็พบว่ามีปัญหาใหม่เกิดขึ้น…
ก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางถูกเหยียนหลิงจวินอุ้มมาจากอีกบ่อหนึ่งข้ามมานั่งบนขาของเขา บ่อน้ำทางด้านนั้นเต็มไปด้วยใบไม้ยาสมุนไพรที่ลอยอยู่ แต่ทว่าบ่อน้ำทางนี้น้ำใสจนเห็นก้นบ่อ
มีฉู่สวินหยางนั่งอยู่ข้างหน้าบดบังเอาไว้ทั้งสองคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เมื่อลุกขึ้นมา ราวกับถูกคนเปลื้องผ้าออกอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมองต่ำลงไปอีก คนทั้งสองได้แต่ตกตะลึง
—————-