ยันต์สื่อสารปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน

เขาเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ได้ยินลงในยันต์สื่อสารอย่างละเอียด จากนั้นค่อยกระตุ้นพลังวิญญาณ ปล่อยตัวยันต์ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า

นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนนัก ฉะนั้นต้องแจ้งให้ท่านอาจารย์ทราบในทันที!

ยันต์สื่อสารลุกไหม้ และบินออกไป

ใช้เวลาไม่นานนัก

จุดสีดำก็ผุดขึ้นบนเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกล

ในพริบตา จุดสีดำก็หายไป พร้อมกับเซี่ยกู่หงส์ที่มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

โดยเบื้องหลังของเขา ปรากฏดาบยาว เจ็ดดาบ ลอยล่องอยู่ ตามตัวสวมทับไว้ด้วยเกราะรบที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

นี่เหมือนกับว่าเขาจะเร่งปลีกตัวมาจากสนามรบโดยตรง

เซี่ยกู่หงส์มองกู่ฉิงซาน ในแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยห้วงอารมณ์

“ท่านอาจารย์ เรื่องที่ข้ารายงานผ่านยันต์สื่อสารเป็นความจริง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าทราบดี” เซี่ยกู่หงส์ตอบกลับ

กู่ฉิงซานมองท่าทีสงบของอีกฝ่าย และเอ่ยถาม “ที่แท้ ท่านก็รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว?”

เซี่ยกู่หงส์พยักหน้า หันหลัง ก้าวออกไป หยุดฝีเท้าลงก่อนจะถึงขอบหน้าผา

มองไปยังภูเขากว้างใหญ่ที่ทอดยาวไกลออกไป ปากอ้าถอนหายใจ “เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อสู้กับมอนสเตอร์บรรพกาลเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อรับใช้และได้รับการสนับสนุนจากเทพวิญญาณ  สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมานานปี ทว่าสงครามมันกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย ดังนั้นยิ่งนาน พวกเราก็เลยยิ่งบังเกิดความสงสัย”

“และข้าไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าข้อมูลที่พวกเราทุ่มเวลาไปมากมายกว่าจะค้นพบ แท้จริงแล้วกลับดันมาตกอยู่ในมือเจ้าอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจากเจ้ามันยังสมบูรณ์แบบ และกระจ่างยิ่งกว่าที่พวกเราล่วงรู้เสียอีก”

เซี่ยกู่หงส์หันกลับมา เฝ้ามองกู่ฉิงซาน ในแววตาฟุ้งไปด้วยความชื่นชม

“ฉิงซาน เจ้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นจงจดจำในสิ่งที่ข้ากำลังจะอธิบายต่อไปนี้ให้ดี”

“ท่านอาจารย์…” กู่ฉิงซานไม่เข้าใจ

เซี่ยกู่หงส์ พึมพำกับตัวเอง “พวกเราได้ตระหนักถึงร่องรอยความจริงของเรื่องนี้ แต่เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ดังนั้น ก่อนที่โลกยุคโบราณจะถูกทำลายลง พวกเราจึงได้เตรียมการรับมือกับมันเอาไว้สองทาง”

กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินถึงจุดนี้ คิ้วของเขาก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว

เซี่ยกู่หงส์กล่าวว่า ‘ก่อนที่โลกยุคโบราณจะถูกทำลาย’ ประโยคนี้มิใช่เป็นการสื่อกลายๆ ว่าตัวเขาแท้จริงแล้วสามารถหลุดพ้นจากภาพทับซ้อนในยุคนี้ และมองเห็นถึงผลลัพธ์ของประวัติศาสตร์ที่แท้จริงได้ ใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ก็ถูกเซี่ยกู่หงส์โบกมือหยุดเอาไว้ก่อน

“เวลามีไม่มากแล้ว พวกเราจะต้องเร่งคุยกัน”

ชั่วเวลานี้เอง ในระยะไกลออกไป ผืนฟ้าพลันเบิกออกขึ้นทันใด พร้อมกันกับเสียงที่ยิ่งใหญ่ กวาดกระจายไปทั่วทั้งโลก

“ผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ จางเสี่ยวหยุน ทรยศต่อเทพวิญญาณ หันไปพึ่งพาโลกบรรพกาล นับว่าเป็นสาวกที่ชั่วร้ายเกินกว่าจักให้อภัย เหล่าผู้ฝึกยุทธจงรีบออกไล่ล่าและสังหารคนผู้นี้ลงในทันที! หากได้รับข่าวแล้วจงเร่งเดินทางมาโดยเร็ว!”

“โดยเทพวิญญาณจะลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองเช่นกัน!”

เซี่ยกู่หงส์ถอนสายตาและส่ายหัว

เขาเริ่มอธิบายต่อ “ฉิงซาน สถานการณ์ในเวลานี้สำคัญยิ่ง ไม่เพียงแต่เทพวิญญาณจะเริ่มต้นออกไล่ล่าเจ้า แต่กระทั่งภายในวังสวรรค์เมฆาวิเวก ก็ยังมี ‘บางสิ่งบางอย่าง’ จากห้วงกาลเวลาอื่นแอบลอบเข้าไป ดังนั้นเจ้าไม่ว่าจักหนีไปที่ใด ก็ไม่สามารถใช้มันหลบซ่อนตัวในโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากของเขา แต่ก็ถูกเซี่ยกู่หงส์หยุดเอาไว้อีกครั้ง

บนท้องฟ้าที่ไกลออกไป เสียงของเทพวิญญาณดังขึ้นอีกครา “เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงทั้งหมด จงเร่งมาหาข้าโดยเร็ว!”

เห็นแค่เพียงกระแสแสง กระแสแล้ว กระแสเล่าพุ่งพรวดตรงไปยังทิศทางตำแหน่งของเทพวิญญาณ

เซี่ยกู่หงส์หาได้สนใจการเรียกขานของเทพวิญญาณไม่ ตรงกันข้าม เขากลับวาดมือออกไป เพื่อจัดวางค่ายกลเก็บเสียง

จากนั้นก็เร่งพูดอธิบายเนื้อหาให้กระชับและเร็วขึ้นกว่าเดิม

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของยุคโบราณ ในบรรดาเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีเพียงราชาอมตะคนเดียวเท่านั้นที่ได้จัดเตรียมวิธีการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า แต่หลังจากที่พวกเราเหล่าผู้ฝึกยุทธเข้ามาช่วยเหลือ และทุ่มเทพยายามร่วมกัน ในที่สุดพวกเราก็ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลวงตาของโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ สามารถรังสรรค์ห้วงกาลเวลาที่ทับซ้อนขึ้นมาจนได้”

“เมื่อเวลาผ่านไป ภาพลวงตาในช่วงเวลาทับซ้อนนี้จะถูกแบ่งแยกออกไปไม่มีที่สิ้นสุด มันถูกนำมาเพื่อใช้ให้เทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลรู้สึกสับสนโดยเฉพาะ”

“แน่นอน ว่าเทพวิญญาณกับมอนสเตอร์ย่อมมีโอกาสที่จะรับรู้ถึงภาพทับซ้อนเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ภาพทับซ้อนน่ะมันมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเขาจึงย่อมไม่สามารถเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วในช่วงนาทีสุดท้ายก่อนตาย พวกเราจงใจสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร”

“ฉิงซาน ส่วนตัวเจ้า เจ้าจะต้องท่องไปในยุคภาพทับซ้อนอันไร้ที่สิ้นสุดเหล่านี้…ไปยังสถานที่สุดท้ายที่กุมความลับเอาไว้”

เซี่ยกู่หงส์หยุดลงพักหนึ่ง สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม

“พวกเราได้ซ่อนช่วงเวลาสุดท้ายของยุคโบราณเอาไว้ท่ามกลางภาพทับซ้อนอันไร้ที่สิ้นสุดเหล่านี้ และเจ้าจะต้องหามันให้เจอ”

“เมื่อเจ้าค้นพบมัน เจ้าจึงจะได้กลับไปยังช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณได้พินาศลงไปแล้ว”

กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “แล้วข้าจะต้องไปทำสิ่งใดในช่วงเวลานั้น?”

เซี่ยกู่หงส์มองเขาอย่างเงียบๆ เนิ่นนานค่อยเอ่ยปาก “ดาบนภาถูกหลอมขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเวลาสุดท้ายของการล่มสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเจ้าจะต้องไปนำมันมา”

“ท่านอาจารย์…”

“เจ้ามีดาบพิภพอยู่กับตัว ข้าสามารถรู้สึกถึงมันได้”

ว่าจบ เซี่ยกู่หงส์ก็หยิบใบหยกออกจากอกเสื้อ และวางมันลงบนมือของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานก้มลงมองมัน

ใบหยกแผ่ความอบอุ่นอันอ่อนโยน และดูเหมือนว่าจะเปี่ยมไปด้วยพลังที่ไม่สามารถคาดคำนวณได้

บนผิวของใบหยก ถูกสลักเอาไว้ด้วยตัวอักษรเขียนว่า ‘กัน เก้า’

เซี่ยกู่หงส์กล่าว “ท่ามกลางยุคภาพทับซ้อนนับไม่ถ้วน มีเพียงใบหยกนี้เท่านั้นจึงจะสามารถนำเจ้าไปยังยุคภาพทับซ้อนที่พิเศษออกไป และเจ้าจะต้องรอดชีวิตข้ามผ่านยุคภาพทับซ้อนที่ว่านั่น จนกว่าจะได้รับใบหยกแผ่นต่อไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถไปถึงยุคโบราณในช่วงเวลาสุดท้าย และได้รับดาบนภามาในที่สุด”

กู่ฉิงซานกุมใบหยกในมือ เนิ่นนานมิอาจกล่าวคำใดได้

ท่ามกลางช่วงเวลาที่ทั้งเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บุกโจมตี ในช่วงสุดท้าย เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังคงสามารถคิดหาหนทางที่จะส่งผ่าน ‘ความหวัง’ มาสู่เหล่าคนรุ่นหลังได้

กู่ฉิงซานกัดฟัน กุมใบหยกในมือแน่น

“ท่านอาจารย์ แท้จริงแล้วท่านเป็นภาพทับซ้อนหรือว่า…”

“ก่อนที่ข้าจะตกตายลง ข้าได้แยกเศษเสี้ยวจิตวิญญาณทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง เฝ้ารอมานานปี นานเหลือเกิน เพื่อช่วงเวลานี้”

ร่างของเซี่ยกู่หงส์ค่อยๆ จางลง กลายเป็นภาพลวงตา

“ข้าจักทำลายยุคภาพทับซ้อนนี้ เพื่อลบล้างร่องรอยทั้งหมดของเจ้า ป้องกันมิให้สิ่งมีชีวิตใดสามารถรับรู้หรือตรวจพบได้”

เขายิ้มออกมาในที่สุด “ช่างอิ่มเอมใจจริงๆ ที่ข้าได้รับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถทำในสิ่งที่คนในยุคของพวกเราไม่สามารถทำได้นะ”

ปัง

แล้วร่างของเซี่ยกู่หงส์ก็กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ สลายเป็นเมฆหมอก

โลกทั้งใบบิดเบี้ยว สาดแสงและเงา ค่อยๆ สลายหายไป

ขณะเดียวกัน ใบหยกในมือของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น

มันเปล่งแสงจรัสต่อเนื่อง คล้ายกับกำลังเรียกขานอะไรบางอย่าง

กู่ฉิงซานจึงหยิบใบหยกสาวกซึ่งได้รับมาจากเต่ายักษ์ออกมา ทันใดนั้นมันก็ประกบรวมเข้าด้วยกันกับใบหยกที่เซี่ยกู่หงส์มอบให้

สองใบหยกรวมกันเป็นหนึ่ง สาดชั้นแสงหลากสีขึ้นอย่างกะทันหัน โอบล้อมตัวกู่ฉิงซานเอาไว้

ใบหยกกำหนดทิศทาง ชักนำกู่ฉิงซานข้ามผ่านหมอกเหลืออนันต์ หายวับไปอย่างรวดเร็ว

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

อีกด้านหนึ่ง

ณ บนขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งได้ปรากฏกายขึ้นมาจากใต้ดินอย่างเงียบๆ

เขาสามารถข้ามผ่านค่ายกลป้องกันทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย และตรงเข้าสู่ขุนเขาหลัก

แน่นอน ว่าไม่มีใครสังเกตหรือตระหนักถึงเรื่องนี้

เขาหันไปมองรอบๆ หลับตาลง เพ่งการรับรู้ไปยังขุนเขา

“จากข้อมูลที่ได้รับมา ในเวลานี้ กู่ฉิงซานสมควรซุ่มซ่อนอยู่ในหุบเหวแห่งดาบ…” เขาพึมพำเสียงกระซิบ

แต่เหมือนกับว่าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ผู้ฝึกยุทธพลันลืมตาขึ้น และพยายามรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างระมัดระวัง

แต่ทว่าทุกอย่างก็ยังคงดูปกติ

เขางุนงงสงสัยเล็กน้อย ไม่นานก็สงบใจลง เริ่มมุ่งหน้าตรงเข้าไปในขุนเขา พลางเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตน

ยามเมื่อเขามาหยุดยืนอยู่หน้าขุนเขา ทั้งคนทั้งร่างของชายผู้นี้ก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์

ร่างที่บนหน้าผากลุกโชนไปด้วยแสงจรัส ตามร่างกายสาดไปด้วยแสงและเงาสดใส

หลังจากเฝ้าเดินทางมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่

เทพวิญญาณเอื้อมมือออกไป และสัมผัสลงในความว่างเปล่าเบาๆ

เปรี๊ยะ!

ค่ายกลป้องกันขุนเขาถูกทำลายลงทันที

ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งชายผู้นี้ได้ เขาทะยานตัวขึ้นไปอีกครั้ง ในจิตใจหมายมั่นสังหารกู่ฉิงซาน

ในตอนนั้นเอง ร่างหนึ่งก็บินขึ้นมาจากใต้ขุนเขา เฝ้ามองผู้มาเยือนด้วยความประหลาดใจ

เป็นกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น

“เจ้าเป็นใครกัน? แล้วเข้ามาในที่แห่งนี้ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เทพวิญญาณมองเด็กหนุ่ม มุมปากยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“กู่ฉิงซาน ทุกอย่างจบลงแล้ว และในอนาคตจากนี้ไปมันจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเจ้า!”

เทพวิญญาณประกาศกร้าวอย่างสง่างาม

พลางวาดมือออกไป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะโจมตี ทุกสิ่งในโลกพลันบิดเบี้ยวพลิกผันอย่างกะทันหัน

ร่างของกู่ฉิงซานเองก็พร่ามัว และกลายเป็นหมอกสีขาว

พริบตานั้นทั้งโลกก็กลายเป็นหมอกสีขาว และหายวับไปจากสายตาของเทพวิญญาณ

ภาพทับซ้อนของยุคโบราณได้สลายไป!

แต่เทพวิญญาณหาได้ตื่นตระหนกไม่ เขายังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

“จู่ๆ โลกทั้งใบหายไปได้อย่างไร? แล้วกู่ฉิงซานเล่ามันหายหัวไปไหน?”

ขณะกำลังใช้สมอง ทันใดนั้น ร่างมนุษย์แสงก็เริ่มก่อตัวขึ้นในความว่างเปล่า

“เจ้าเป็นใครกัน?” เทพวิญญาณเอ่ยถาม

“สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของข้าแล้ว เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าข้าเป็นใคร?” มนุษย์แสงเอ่ยอย่างเฉื่อยชา

“เจ้า…อย่าบอกนะว่าเป็น ‘ร่างความปรารถนา’ ของเผ่าพันธุ์เรา!” เทพวิญญาณอุทาน

“ถูกต้อง ข้าเฝ้ารออยู่ที่นี่มาเนิ่นนานเหลือเกิน แต่ในที่สุดก็มาพบกับวันนี้” ร่างมนุษย์แสงกล่าว

“เจ้ากำลังเฝ้ารออะไรอยู่?” เทพวิญญาณถามต่อ

“เฝ้ารอการมาถึงของคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกมันได้ทิ้งยุคภาพทับซ้อนยุคโบราณเอาไว้ในช่วงเวลาสุดท้าย ซึ่งทางเราเองก็ไม่ทราบว่าพวกมันคิดกระทำสิ่งใด แต่ก่อนที่พวกมันจะตาย พวกมันได้ปลดปล่อยลางมรณะออกมา ติดตรึงอยู่กับตัวเราตลอดเวลา ส่งผลให้เราไม่สบายใจยิ่งนัก”

เทพวิญญาณเอ่ยตอบ “ข้าทราบว่าพวกมันทิ้งส่งใดเอาไว้”

“งั้นก็ดี” ร่างมนุษย์แสงโยนเหรียญออกไป

“จงรับสิ่งนี้เอาไว้ มันคือ ‘เหรียญบรรพกาล’ ของจริง สิ่งนี้จะช่วยชักจูงให้เจ้ารับรู้ได้ถึงเป้าหมาย แต่ปัญหาเดียวก็คือ มันมีโอกาสบ้างที่ตำแหน่งจะเกิดการเบี่ยงเบน”

เทพวิญญาณรับเหรียญบรรพกาลมา และเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด

“อืม…มันเป็นของแท้จริงๆ” ปากบ่นพึมพำ

เทพวิญญาณเก็บเหรียญ เผยรอยยิ้มออกมา “ตำแหน่งเบี่ยงเบนหาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพราะตราบใดที่สามารถหาตัว ‘มัน’ พบ สุดท้ายมันก็หนีไปไหนไม่รอด”

“คราวนี้ล่ะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต ความหวังทั้งหมดของพวกมันจะต้องถูกข้าพังทลายลง!!”

………………………