ท่ามกลางความมืดมิดอันเงียบสงบ

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

และพบกับชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขา

เป็นใบหน้าที่แก่ชรา

 ปรากฏร่องรอยมากมายบนใบหน้าของเขา ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของใบหน้านี้ข้ามผ่านลมฝน และประสบการณ์มามากมายเพียงใด

ชายชรายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตน ส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานเงียบ

 กู่ฉิงซานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาไม่ขยับร่างกายหรือเอ่ยคำใด

นั่นเพราะใบหยกของเต่ายักษ์และเซี่ยกู่หงส์เป็นตัวชักนำเขามาที่นี่ ดังนั้น ไม่ว่าสภาพแวดล้อมเบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร กู่ฉิงซานย่อมบังเกิดความไว้วางใจเป็นธรรมดา

เขาเหลือบสายตามองอีกฝ่ายและส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ขอเรียนถามได้หรือไม่ ว่าท่านเป็นใคร?”

“ออกไปข้างนอกก่อน แล้วค่อยสนทนาเถอะ” ชายชราส่งเสียงกลับมาหาเขา

กู่ฉิงซานจึงค่อยกวาดมองรอบๆ และค้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในค่ายทหาร

ตลอดทั้งค่าย ผู้ฝึกยุทธทุกคนล้วนอยู่ในสภาพหลับใหล เว้นไว้แต่เพียงชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเขา ที่กำลังจ้องมองมาด้วยประกายตาสดใส

คล้ายกับว่าชายชรากำลังเฝ้ารอการมาถึงของเขา

กู่ฉิงซานติดตามชายชรา ข้ามผ่านค่ายทหารแล้ว ค่ายทหารเล่า

ภายใต้แสงสลัวยามค่ำคืน ทั้งสองบินข้ามผ่านผืนป่าอย่างรวดเร็ว

“นี่พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”

กู่ฉิงซานถามผ่านจิตสัมผัสเทวะ

“ออกจากค่ายทหาร พวกเราต้องเร่งยิ่งกว่านี้” ชายชราตอบ

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นท่านเป็นคนนำเถอะ ข้าจะตามหลังไปเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

ทันทีที่เขาพูดจบ ชายชราก็บินมาเบื้องหน้า และเริ่มนำทางไป

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย

นั่นเพราะเขาค้นพบว่าแรงดันวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายชรา มันมิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้

นี่มันคล้ายกันกับเซี่ยกู่หงส์

หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ชายคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงในยุคโบราณ

ทั้งสองคนบินไปตลอดทั้งเส้นทาง

เวลาผ่านพ้นไปราวๆ ครึ่งก้านธูป

ในที่สุด ทั้งสองก็ข้ามผ่านผืนป่าอันไร้ที่สิ้นสุด ข้ามผ่านภูเขา และมาถึงชายทะเล

มันเป็นทะเลที่งดงาม คลื่นกำลังม้วนซัดสาด

แสงจันทร์กระทบกับผิวทะเล ส่งผลให้บังเกิดแสงสะท้อนคล้ายประกายดาวระยิบระยับ

ชายชราตบลงในถุงสัมภาระ และนำเรือเหาะออกมา

“จงรับสิ่งนี้เอาไว้”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากโดยไม่ใช้จิตสัมผัสเทวะ

“ท่าน สิ่งนี้คือ…” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

“มันคือเรือที่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอยลำในทะเล และยังสามารถใช้เดินทางไปยังก้นทะเลได้อีกด้วย มันถูกจัดตั้งไว้ด้วยสามสิบหกค่ายกลปกปิดที่แตกต่างกันออกไป ตราบใดที่ศิลาวิญญาณไม่ขาด ก็รับประกันได้เลยว่าเจ้าจะไม่ถูกค้นพบในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน” ชายชรากล่าว

“นอกจากนี้ ภายในเรือเหาะยังเก็บวิธีการฝึกยุทธชั้นยอดนับไม่ถ้วนเอาไว้ เจ้าสามารถเรียนรู้จากพวกมันได้”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดข้าถึงต้องไปซ่อนตัวในใต้ทะเลด้วย?”

ชายชรากล่าว “เพราะในปัจจุบันนี้ คือยุคภาพทับซ้อนที่พวกเราออกแบบมาอย่างระมัดระวัง มันได้บันทึกช่วงเวลาที่ ‘มืดมนที่สุด’ ของการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับมอนสเตอร์บรรพกาลเอาไว้ ”

“ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มนุษยชาติทั้งหมดจะตกอยู่ในสภาวะถูกทำลายลงอย่างช้าๆ”

“อย่างไรก็ตาม นี่คือช่วงเวลาที่เทพวิญญาณกำลังเพ่งความสนใจมายังเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นย่อมไม่มีเวลาไปมัวสนใจทางฝั่งทะเล ด้วยเหตุนี้เอง ตราบใดที่เจ้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยห่างไกลจากผืนดิน มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ชายชราหยิบใบหยกออกมา และมอบให้กับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมัน และพบว่าบนใบหยกแกะสลักสองตัวอักษร ‘คุน หก’

ใบหยกนี้คล้ายกับว่าจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นมันก็มุดเข้าไปในอกเสื้อของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรีบคว้าจับมัน

เห็นแค่เพียงใบหยกประกบเข้าด้วยกันกับอีกสองใบหยกในอกเสื้อของเขา สาดแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ออกมา

ตอนนี้ในมือของเขามีใบหยกสาวก ‘กัน เก้าและ คุน หก’ ทั้งสิ้นสามแผ่น

สามารถได้รับใบหยกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ กู่ฉิงซานค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย

ชายชรามองไปยังสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม เขาก็สามารถเข้าใจความคิดของกู่ฉิงซานได้อย่างรวดเร็ว

ชายชราอธิบาย “ในสมัยโบราณ เราเคยใช้วิชาทำนายชะตา และสิ่งเดียวที่ค้นพบก็คือ ใครบางคนที่ผ่านการทดสอบของเต่ายักษ์และเซี่ยกู่หงส์ จักต้องพบเผชิญกับการลอบสังหารที่เสี่ยงอันตราย”

“เราจึงได้ทำการสร้างภาพทับซ้อนยุคโบราณขึ้นเพราะเหตุผลนี้”

“ในช่วงเวลานี้ (หมายถึงช่วงที่ชายชราอยู่) คือยุคที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งโลกกำลังล่มสลาย แต่เจ้าจักถูกซ่อนไว้ในทะเลโดยเรา และจะไม่มีใครสามารถตรวจสอบการดำรงอยู่ของเจ้าจากร่องรอยใดๆ ได้”

“สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือ รีบเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ จึงจักสามารถรอดชีวิตไปยังยุคภาพทับซ้อนต่อไปได้”

“อย่างน้อยเจ้าต้องทะยานไปให้ถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ ใบหยกที่ข้ามอบให้เจ้าถึงจะสามารถเปิดใช้งานได้ และชักนำไปสู่ยุคภาพทับซ้อนต่อไป”

“ลมปราณจิต -> ดาราโกลาหล -> หวนคืนสู่ศูนย์ -> กระจ่างจิตเทวะ …” กู่ฉิงซานทวนความจำ และอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แล้วหากเป็นในกรณีที่ข้ายังไม่สามารถบรรลุถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะเล่า?”

ชายชราส่ายหัว “หากเจ้ายังไม่บรรลุถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ เจ้าจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในยุคภาพทับซ้อนถัดไป  ดังนั้นเจ้าทำได้เพียงอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ตัดผ่านขอบเขตให้ถึง ไม่งั้นก็ถูกค้นพบโดยเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาล ตกตายลงในที่สุด”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มพูนขอบเขต”

ชายชราพยักหน้า จีบมือตน ประทับลวดลายที่สลับซับซ้อนลงอย่างรวดเร็ว

“โชคดีที่เจ้ามิได้พูดคุยกับใครนอกจากข้า ดังนั้นข้าย่อมสามารถปกปิดร่องรอยของเจ้าที่เหลือทิ้งไว้ในโลกใบนี้ได้โดยสมบูรณ์” เขากล่าว

“แค่กระบวนการนี้น่ะหรือ? มันจะถึงขั้นทำให้เทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลไม่สามารถหาข้าพบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

มือของชายชรายังคงวูบไหว ปากอ้ากล่าว “ถูกต้อง วิธีการนี้มันเรียกว่า การกักเก็บจิตวิญญาณ พวกเรามักจะใช้มัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เผยตำแหน่งของตนเองออกไป” “มีเพียงผู้ฝึกยุทธเช่นข้าที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้น จึงจักสามารถใช้อำนาจที่ว่าหลบลี้จากสวรรค์และโลก เผาผลาญชีวิตและจิตวิญญาณแห่งตนเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณให้ถึงขีดสุด และใช้งานมัน”

กู่ฉิงซานกล่าว “หากท่านมีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น ท่านก็น่าจะสมควรหลบเลี่ยงเทพวิญญาณและมอนสเตอร์ได้นี่นา เหตุใดจึงต้องคอยเฝ้ารออยู่เช่นนี้ด้วย?”

ชายชราเอ่ยเสียงกระซิบ “คนที่ข้ารักทั้งหมดล้วนถูกกลืนกินโดยมอนสเตอร์บรรพกาลไปสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะนิกาย หรือสหายที่ดีของข้าทั้งหมดล้วนตกตายลงโดยพวกมัน ดังนั้นเจ้าจะให้ข้าเดินทางไปที่ใดอีกเล่า?”

ว่าจบ มือของชายชราก็หยุดลง

เขาเงยหน้ามองกู่ฉิงซาน และกล่าวอย่างจริงจัง “ดาบนภาคือความหวังสุดท้ายของรุ่นเรา”

“เจ้าหนู อนาคตจากนี้ไปอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว ห้ามล้มเหลวโดยเด็ดขาด”

พริบตานั้นพลังวิญญาณจากทั้งร่างกายก็หลั่งไหลมารวมอยู่ในมือ วิชาลับถูกใช้ออกทันใด

เพล้ง…!

ชายชรากระอักหมอกเลือดออกมา และร่างของเขาก็ถูกพัดปลิวไปกับสายลม

อย่างไรก็ตาม บัดนี้ แสงสวรรค์ได้สาดแสง และไหลย้อนกลับไปยังทิศทางที่ทั้งสองจากมา

ในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน แสงสวรรค์ได้วิ่งไปตามทางที่พวกเขาเคยข้ามผ่าน มุ่งสู่ทิศทางค่ายทหาร

ตำนานว่าไว้ว่าเมื่อคนคนหนึ่งได้ตกตายลง ผู้นั้นจะจากไปพร้อมกับนำเอาร่องรอยทั้งหมดที่เคยเดินผ่านกลับไปด้วย โดยไม่เหลืออะไรทิ้งไว้

นี่คือการกักเก็บจิตวิญญาณที่เคยได้กล่าวไป

ชายชราเฝ้ารอคอยในห้วงกาลเวลาทับซ้อนมานับหลายหมื่นปี

เขาเฝ้ารออยู่ที่นี่เพียงเพื่อใช้ชีวิตของตนเอง ปกปิดร่องรอยของคนที่เขาฝากความหวังเอาไว้เบื้องหลัง

กู่ฉิงซานเงียบงันไปเป็นเวลานาน สุดท้ายประสานฝ่ามือคารวะ “อาวุโสโปรดมั่นใจ ข้าจะไม่มีวันล้มเหลวแน่นอน”

ว่าจบ เขาก็กระโดดขึ้นไปในเรือเหาะ จมลงไปในห้วงทะเลลึก

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

หลังจากนั้นยี่สิบลมหายใจ

ภายในค่ายทหาร

ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

ร่างที่บนหน้าผากลุกไหม้ไปด้วยแสงสีทองของเทพวิญญาณ

เขากางมือออก เบนสายลงมองเหรียญโบราณในมือตน

พบว่าเหรียญโบราณไม่ขยับไหว

เทพวิญญาณเผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่คาดคิด

เขาพึมพำครุ่นคิด สุดท้ายตัดสินใจบินเข้าไปในค่ายทหาร แล้วค่อยๆ ยื่นมือลงไปยังหน้าผากของผู้ฝึกยุทธที่ล้มตัวลงนอนอยู่กับพื้น

เขาค้นพบว่าผู้ฝึกยุทธเสียชีวิตแล้ว

แสงและเงานับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามาในสายตาของเทพวิญญาณอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาสั้นๆ เทพวิญญาณก็อ่านความทรงจำของผู้ฝึกยุทธเบื้องหน้านี้จนสิ้น

“ไม่มี?”

เขาบ่นพึมพำเบาๆ

จากนั้นก็บินไปยังค่ายทหารอีกแห่งหนึ่ง และใช้นิ้วแตะลงบนหน้าผากของผู้ฝึกยุทธหลายคนที่ล้มตัวลงนอนอยู่

ภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา

ทว่ากลับไม่พบร่องรอยใดๆ ของกู่ฉิงซาน

“น่าฉงนนัก…”

เทพวิญญาณรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และหันไปมองรอบๆ

มันเป็นค่ำคืนที่มืดมิดราวกับถูกแต่งแต้มสีหมึก

แต่ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงร่างยักษ์หลายร่างที่สูงถึงขั้นเชื่อมต่อระหว่างผืนดินกับผืนฟ้าในจุดที่ไกลออกไป พวกมันกำลังเคลื่อนที่มายังทิศทางนี้ทีละก้าว ทีละก้าว

ทันใดนั้นเทพวิญญาณก็ก้มหน้าลง

แต่พบว่าผู้ฝึกยุทธในค่ายก็ยังคงหลับใหล

ด้วยการเคลื่อนไหวของตัวตนขนาดมหึมาเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาถึงไม่ตอบสนองเลย?

แต่แล้วเทพวิญญาณก็ตระหนักได้

แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าคนเหล่านี้ได้ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ล่วงหน้า ถูกเตรียมเอาไว้เป็นอาหารของการดำรงอยู่ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามา

เขาเลยมองไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดของมนุษย์เลย

ช่วงเวลานี้ เหมือนว่าจะเป็นช่วงจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

แล้วเหตุใดจู่ๆ ข้าถึงได้ข้ามผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาจนถึงชั่วเวลานี้ได้ในคราวเดียวกัน?

เทพวิญญาณก้มลงมองเหรียญในมือของเขา

เหรียญยังคงไม่ขยับไหวใดๆ ทั้งสิ้น

ทันใดนั้นเทพวิญญาณก็คล้ายย้อนนึกไปถึงคำกล่าวของร่างมนุษย์แสง

“เหรียญโบราณนี้เป็นของจริง สิ่งนี้จะช่วยชักจูงให้เจ้ารับรู้ได้ถึงเป้าหมาย แต่ปัญหาเดียวก็คือ มันมีโอกาสบ้างที่ตำแหน่งจะเกิดการเบี่ยงเบน”

เบี่ยงเบน…

หรือว่าแท้จริงแล้วนี่จะเป็นเพราะตำแหน่งเบี่ยงเบนใช่หรือไม่?

เทพวิญญาณยังคงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยแสงเจิดจรัสบนร่างกาย กวาดบินออกไปทำการค้นหาในทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

แสงทั้งมวลก็กลับคืนเข้าสู่ร่างกายของเขา

เจ้าตัวพบว่าไร้ซึ่งเผ่ามนุษย์คนใดมีชีวิตอยู่

อาจกล่าวได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เกือบจะสูญสิ้นไปแล้ว

แต่กู่ฉิงซานเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่

เทพวิญญาณที่สามารถยืนยันได้ถึงเรื่องนี้ ปากขยับพึมพำ “เหมือนว่าตำแหน่งจะเบี่ยงเบนไปจริงๆ แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องเร่งตามตัวมันให้ทัน มิฉะนั้นแล้วหากมันได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ ยิ่งนาน มันก็จักยิ่งมีอำนาจมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น คงมิแคล้วย่อมเกิดปัญหาใหญ่ตามมา”

ว่าจบก็ระเบิดกระบวนท่าไปในความว่างเปล่าทันใด

ในความว่างเปล่า ปรากฏกะโหลกที่คล้ายกับหลุมดำขึ้นต่อหน้าเขา

เจ้าตัวเบนสายตามองโลกที่กำลังล่มสลายลงตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เทพวิญญาณจะก้าวข้ามผ่านหลุมดำและหายวับไปจากโลกใบนี้

………………………