บทที่ 114 ลงไปสังหารที่โลกเบื้องล่าง

บุหลันเคียงรัก

เทพดาราไคหยางสั่งการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็โบกมือ “วันนี้พอเท่านี้ก่อน อีกสองวัน ยามเฉิน[1]ให้ทุกคนมาตั้งแถวที่ประตูสวรรค์ทิศใต้”

 

 

อีกสองวัน นางยังนึกว่าต้องลงไปโลกเบื้องล่างเลยเสียอีก

 

 

ในเรือนเฉินซูเสียงดังอึกทึก เหล่าเทพอายุน้อยต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับโลกเบื้องล่าง เสียงดังวุ่นวายยิ่ง เสวียนอี่เก็บหิมะเข้าไปในแขนเสื้อ ตอนนี้เหงื่อบนร่างนางแห้งหมดแล้ว ทั้งเหนียวและไม่สบายตัวมาก ปรกติแล้วนางก็มักไม่ชอบที่ที่เสียงดังวุ่นวาย จึงลุกขึ้นแล้วออกไป

 

 

ด้านนอกเองก็อลหม่าน มีเทพมากมายเบียดเสียดกันอยู่อย่างแน่นขนัด มหาเทพบนสวรรค์ชั้นสามสิบสามขึ้นไปเหล่านั้น ส่วนมากต่างก็เป็นเทพที่มีบรรดาศักดิ์เป็นมหาเทพทั้งนั้น และส่วนมากยังไม่เคยต้องไปเข้าร่วมการฆ่าเผ่ามารมาก่อน โลกเบื้องบนมักจะมีใจคิดดูถูกเผ่ามารปีศาจอยู่ตลอด เมื่อคำสั่งนี้ยังนับรวมผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเขาเข้าไปด้วย ทำให้มีเสียงบ่นมากมาย

 

 

เสวียนอี่ถูกแสงรัศมีเทพแยงตาเสียจนมึนหัวไปหมด เดิมนางคิดจะไปหาชิงเยี่ยน คำสั่งให้เทพลงไปฆ่ามารอย่างนี้ เขาจะต้องมาที่ตำหนักอวี้หวาด้วยแน่ๆ แต่ว่านางรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะหาเขาเจอท่ามกลางเผ่าเทพที่มากขนาดนี้ได้ วนอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่ต้องกลับไปเรือนไป๋จย่าอย่างผิดหวัง แล้วเรียกเทพีรับใช้มาปรนนิบัตินางอาบน้ำแต่งตัว

 

 

ต้องลงไปเป็นนักรบที่โลกเบื้องล่าง นางไม่ได้รู้สึกอะไร แค่เพียงแปลกใจว่าทำไมเซ่าอี๋ถึงได้รู้ล่วงหน้าก่อนถึงครึ่งเดือนก็เท่านั้น แม้แต่พวกเขาที่อยู่ในตำหนักอวี้หวาทุกวันยังไม่รู้เลย

 

 

ตระกูลชิงหยางนี่ มีความสามารถในด้านการปิดบังเสียจริง

 

 

ตั่งนุ่มถูกวางไว้บนสนามหญ้าด้านนอกตำหนัก เสวียนอี่ใช้นิ้วมือสางผมที่ยังชื้นอยู่ของนาง แล้วจับพวกมันแผ่ออกเพื่อตากแดด ลมเย็นสบายทำให้ใบไม้บนต้นกุ้ยพลิ้วไหวจนเกิดเสียงดังซู่ ไม่รู้นางหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลับไปได้พักหนึ่ง พลันรู้สึกว่ามีลมบริสุทธิ์โชยผ่านข้างหูไป นางลืมตาขึ้นอย่างตื่นตัว จึงพบว่า มังกรสีทองตัวเล็กที่เกิดจากปราณกระบี่กลายเป็นมังกรของฝูชางนั้นกำลังขดตัวอยู่ตรงหน้านาง

 

 

เขากลับมาแล้วหรือ เสวียนอี่มองไปรอบๆ เรือนไป๋จย่าว่างเปล่า ไม่มีเงาใครสักคน

 

 

ทันใดนั้นมังกรทองตัวน้อยดีดตัวขึ้นมาแล้วพุ่งเข้ามาตัดผมข้างใบหูของนางไปปอยหนึ่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งต่างหูไข่มุกที่นางใส่ไว้ยังถูกคาบไปด้วย จากนั้นมันก็กลายเป็นแสงสีทองแล้วหายไป

 

 

เสวียนอี่กุมหูไว้ นางนิ่งอึ้งไปถึงได้เข้าใจ ฝูชางเป็นถึงนักรบหน่วยติงเหม่า หน่วยที่รวมนักรบชั้นยอดมากมายเอาไว้ เกรงว่าเขาคงรีบลงไปโลกเบื้องล่างทันทีแน่

 

 

เขากลับมาไม่ได้ก็กลับไม่ได้สิ กลับใช้มังกรที่แปลงมาจากปราณกระบี่นั่นมาเอาผมและต่างหูนางไป ต่างหูไข่มุกอันนั้นนางชอบมาก

 

 

เสวียนอี่ล้มตัวลงนอนบนตั่งอีกครั้ง ไม่รู้ทำไม คอของนางกลับร้อนขึ้นมา และนอนไม่หลับอีกเลย

 

 

 

 

เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เทพที่เหลืออยู่ภายในตำหนักอวี้หวามีไม่มากแล้ว สุดท้ายเสวียนอี่ก็ไม่เจอกับชิงเยี่ยน ไปสอบถามอยู่นานถึงได้รู้ว่าชิงเยี่ยนถูกจัดให้อยู่หน่วยติงเหม่าที่เดียวกับฝูชาง วันที่เรียกรวมก็ลงไปที่โลกเบื้องล่างอย่างรีบร้อนแล้ว

 

 

มหาเทพโรคจิตพวกนี้ไม่ยอมปล่อยตระกูลจู๋อินไปแม้แต่คนเดียวจริงๆ เริ่มจากบังคับให้นางมาตำหนักอวี้หวา และตามด้วยการจัดให้ชิงเยี่ยนที่ยังอายุไม่ถึงสี่หมื่นปีให้ไปอยู่หน่วยติงเหม่า หากฆ่าปีศาจครั้งนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว บัญชีนี้เกรงว่าจะต้องได้สะสางกันแน่

 

 

การเรียกเหล่าเทพให้ลงไปฆ่าปีศาจคราวนี้ มหาเทพไป๋เจ๋อจัดการหน่วยนักรบต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบมาก แต่ละหน่วยจะมีการจัดแบ่งเขตกัน เหล่ามหาเทพทั้งหลายไปรับมือกับราชาเผ่าปีศาจโบราณ นักรบชั้นรองลงมาให้รับผิดชอบจัดการเหล่าลูกน้องที่เก่งกาจของราชาทั้งหลาย รองลงไปอีกให้รับผิดชอบบรรดาเหล่าเผ่ามารกลุ่มเล็กๆ หรือพวกที่กำลังจะสร้างกลุ่มขึ้น ส่วนเหล่าผู้อ่อนแอกระจัดกระจายทั่วไป ให้เทพนักรบอายุน้อยที่ยังมีอายุไม่ถึงสี่หมื่นปีอย่างเสวียนอี่เป็นคนจัดการ

 

 

และแม้ว่าจะมีการจัดการอย่างเคร่งครัดเช่นนี้แล้ว เมื่อวานก็ยังมีนับรบหลายสิบคนที่ดับสูญไป อย่างไรเสียสถานการณ์ของเผ่าปีศาจเบื้องล่างก็ไม่แน่นอน หน่วยอี่ซินเหม่าที่ลงไปล่วงหน้าก่อนหนึ่งวันโชคไม่ดีนัก พวกเขาไปเจอกับราชาจื่อโฉ่วเข้าพอดี

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เหล่าเทพที่เข้าร่วมฆ่ามารครั้งแรกต่างหวาดกลัว ตอนที่มารวมกันตรงประตูสวรรค์ทิศใต้ เทพธิดาตัวน้อยข้างเสวียนอี่เอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าแม้แต่จะยืนยันยืนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

 

 

นักรบด้านหลังกล่าวปลอบว่า “มีเทพดาราไคหยางอยู่ พวกเราแค่รับมือกับเหล่าเผ่ามารที่กระจัดกระจายเท่านั้น หลีกเลี่ยงกลุ่มของราชาทั้งหลายก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”

 

 

เทพธิดาที่ร้องไห้ผู้นั้นส่ายหน้าอย่างหมดหวัง “หากว่าไปเจอกับพวกราชาเล่า”

 

 

เสียงแข็งกระด้างของเทพดาราไคหยางดังมาจากด้านหลัง “หากไปเจอเข้า หนีได้ก็หนี หากหนีไม่ได้ก็ดับสูญไปเสีย มีอะไรต้องพูดมาก”

 

 

คำตำหนิที่เยือกเย็นนี้ทำให้เทพธิดาคนนั้นยิ่งร้องไห้หนักขึ้นอีก

 

 

เทพดาราไคหยางไม่พอใจจิตวิญญาณนักรบที่ตกต่ำของหน่วยอี่อี่ไฮ่มาก เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวอีกว่า “ใครก็ไม่ดีใจที่ต้องเห็นนักรบดับสูญไป หากสู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็หนี ร้องไห้มีประโยชน์อันใด ชีวิตตัวเองก็ต้องรักษาเอง นี่ยังต้องให้ข้าสอนอีกหรือ”

 

 

ระหว่างพูด ประตูสวรรค์ทิศใต้ที่ใหญ่โตนั้นก็ค่อยๆ เปิดออกทีละน้อยอย่างแช่มช้า ลมที่แฝงไปด้วยไอขุ่นมัวพัดเข้ามาถูกร่างของเทพทั้งหลายทันที เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่รู้ตัว สองหมื่นสามพันปีมาแล้วที่ไม่ได้สัมผัสลมที่เหนียวเหนอะดุจแป้งเปียกเหล่านี้

 

 

เหล่านักรบต่างนั่งลงบนสัตว์พาหนะของตน แล้วออกไปจากประตูสวรรค์ทิศใต้ตามเทพดาราไคหยาง ส่วนหน่วยอี่อี่ไฮ่ลงไปยังเชิงเชาไท่สิงของโลกเบื้องล่างท่ามกลางเสียงร้องไห้อย่างหวาดกลัวและจิตใจหดหู่ของเหล่าเทพธิดา

 

 

“ตั้งแถว ลงจากสัตว์พาหนะ” เทพดาราไคหยางไม่พูดพล่ามสักคำ เหล่านักรบใหม่ยังไม่ทันจะได้ดื่มน้ำสักอึก ก็เข้าสู่ภารกิจฆ่าปีศาจแล้ว

 

 

คิดว่าเพราะทะเลหลีเฮิ่น ไอขุ่นมัวของโลกเบื้องล่างจึงเข้มข้นกว่าเมื่อสองหมื่นกว่าปีมาก ไอขุ่นมัวหมุนวนอยู่ตามต้นไม้ใบไม้ในป่าไม่สลายไป เหล่าเผ่าปีศาจกระจัดกระจายนับไม่ถ้วนต่างก็แอบซ่อนอยู่ในความมืด เพื่อให้เหล่านักรบลากออกมาฆ่า

 

 

“ดูสิ ก็ไม่ได้ยากมาก” นี่ เหล่านักรบยังคงปลอบใจเหล่าเทพธิดาที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด “ที่พวกเราต้องรับมือก็คือเหล่าเผ่าปีศาจเล็กๆ เหล่านี้ ไม่ต้องกังวล”

 

 

เสวียนอี่ลอยตามมาด้านหลังช้าๆ เบื่อเสียจนแทบจะเคลิ้มหลับไป บอกว่าให้มารับมือกับเผ่าปีศาจที่กระจัดกระจาย ก็เป็นพวกที่กระจัดกระจายจริงๆ ทั้งยังอ่อนแอมาก เทียบกับปีศาจที่ทำร้ายเหยียนสยาอย่างปีศาจเถาวัลย์ตนนั้นยังไม่ได้เลย นางขี้เกียจแม้แต่จะใช้หิมะ จึงเพียงเอาก้อนหิมะมาไว้บนฝ่ามือและโยนไปๆ มาๆ พร้อมมองไปรอบด้านอย่างเบื่อหน่าย

 

 

ลมแรงอย่างบ้าคลั่งสายหนึ่งพัดออกมาจากป่ากะทันหัน เทพดาราไคหยางรีบยกมือขึ้น “หยุด! ”

 

 

เหล่านักรบต่างก็เงยหน้ามองไปอย่างประหลาดใจระคนสงสัย แต่กลับพบว่าที่ไกลๆ มีหมอกบางๆ สีแดงอ่อนกำลังลอยตัวขึ้น แค่พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ถึงหลายร้อยลี้แล้ว มีหมอกปีศาจนั่นหมายความว่าเป็นเผ่ามารที่ร้ายกาจมากตนหนึ่ง เทพดาราไคหยางคิดในใจ หมอกนี่ดูแล้วก็ไม่ใช่เผ่าปีศาจที่ร้ายกาจมาก ลำพังเขาคนเดียวก็พอจะฝืนรับมือได้ เขาไม่อยากถอย ถอยก้าวหนึ่ง จิตวิญญาณนักรบของหน่วยอี่อี่ไฮ่จะต้องลดต่ำจนถึงขีดสุดแน่ และคงยากจะปลุกขึ้นมาได้ใหม่

 

 

“ยืนดีๆ ! ห้ามถอย! ” เขาเอ่ยเสียงเข้มงวด

 

 

ยังไม่ทันกล่าวจบ หมอกปีศาจนั่นก็โถมเข้ามาแล้วครอบคลุมป่าทั้งผืนเอาไว้ พริบตาเดียวพายุก็พัดอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งยื่นมือไปด้านหน้ายังมองไม่เห็นนิ้ว เทพดาราไคหยางท่องคาถา แสงสีเงินนับหมื่นสายก็โถมลงมาราวกับห่าฝน ลมที่เยือกเย็นพัดไปทั่วป่าจนเกิดเสียงดัง แสงสีเงินกระทบถูกมันแต่ราวกับจะไม่เกิดผลอะไร แล้วลมเยือกเย็นก็ลงมาที่พื้น ปรากฏเป็นเงาร่างสี่เงา

 

 

เทพดาราไคหยางเห็นลายปักที่เอวของพวกเขาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เป็นนักรบเผ่ามารของราชาซางเหม่า! คงไม่ได้โชคร้ายขนาดว่าลงมาโลกเบื้องล่างก็เจอเข้ากับราชาหรอกนะ

 

 

หนึ่งในนักรบก้าวมาด้านหน้าแล้วกล่าวด้วยท่าทียโสว่า

 

 

“วันนี้องค์ชายสามของราชาซุ่ยหู่จะมาเป็นแขกของราชาพวกเรา องค์ราชากำชับไว้ว่าให้พวกข้ามากวาดทางให้สะอาด อย่าให้มีเทพจากโลกเบื้องบนมาเดินอยู่แถวนี้ เห็นเหล่าเทพน้อยไร้ความสามารถอย่างพวกเจ้าแล้ว พวกข้าไม่มีอารมณ์แม้แต่จะฆ่าด้วยซ้ำ รีบหลบไปเสีย! ”

 

 

เทพดาราไคหยางใช้พลังเทพตรวจสอบทั่วบริเวณอย่างละเอียด กลับไม่พบร่องรอยของราชาซางเหม่าเลย ในใจเขาพลันสงบลงมาก เขาโบกมือ แส้ยาวราวกับงูสีดำก็ม้วนเร็วราวสายฟ้า ต้นไม้ในป่าพลันถูกตัดไปครึ่งหนึ่ง “ไม่ต้องพูดมาก! บุก! ”

 

 

เหล่าเทพไร้ประสบการณ์ทั้งหลายได้แต่ฝืนรับมือ พวกเข่าสู้กับนักรบทั้งสี่พัลวัน หน่วยอี่อี่ไฮ่มีนักรบสามร้อยคน อีกฝ่ายมีเพียงสี่คน แต่กลับไม่หวาดกลัว อาวุธและเวทมากมายใช้กับพวกเขาไม่ได้ผล เหล่านักรบถูกพวกเขาสัมผัสเข้าหน่อยกลับบาดเจ็บอย่างหนัก

 

 

สถานการณ์นี้ยิ่งทำให้เหล่าเทพหวาดกลัวกันมาก เวทธรรมดาที่ใช้อยู่ทุกวัน ยามนี้หากใช้ได้เป็นปรกติก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว แสงรัศมีเทพกลางอากาศปะทะกับแสงของหมอกปีศาจอยู่ครู่หนึ่ง นักรบปีศาจทั้งสี่ก็ค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบ

 

 

เทพดาราไคหยางตะโกนเสียงดังอย่างร้อนรน “สู้สิ! กลัวอะไร! หากไม่สู้ต่างหากที่ต้องดับสูญจริงๆ ! ”

 

 

 

 

 

 

[1]ยามเฉิน ช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 น. จนถึง 08.59 น.