สุดท้ายเสวียนอี่ก็เอาชุดนักรบมาใส่
แขนทรงแคบ รัดขา รองเท้าหุ้มข้อ เป็นการแต่งกายแบบที่นางไม่ชอบที่สุด แต่ว่านางก็ได้แต่ต้องยอมรับ หากฝึกกระบี่ ชุดนี้ถือว่าสบายกว่าชุดตัวยาวแขนกว้างและรองเท้าพื้นไม้มาก
อาการเจ็บที่มือขวาในวันที่สองก็ค่อยๆ ดีขึ้นมามากแล้ว เสวียนอี่เริ่มฝึกกระบี่อย่างเป็นทางการ แต่ทว่านักเรียนมีใจจะเรียน อาจารย์ผู้สอนกลับสอนไม่จริงจัง แค่ชี้แนะกระบวนท่าที่ง่ายที่สุดสบายที่สุดอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ขนาดนางเองยังรู้สึกผิดปกติเลย
ตลอดทั้งเช้าเขาไม่สอนกระบวนท่ากระบี่นาง และยังไม่สอนวิธีตั้งท่าให้นางด้วย แต่เพียงยัดกระบี่ไม้ให้นางแล้วกำชับว่า “กำกระบี่ไม้ไว้ สองมือก็ได้ ภายในสามกระบวนท่าหากไม่ถูกข้างัดกระบี่ไม้ลอยออกไป วันนี้ก็ถือว่าจบแล้ว”
…นี่มันคือการฝึกกระบี่แบบไหนกัน
เสวียนอี่กุมกระบี่ไม้ไว้แน่นแล้วตั้งท่า เบื้องหน้านางพลันมีแสงวาบเข้ามา มือสั่นเทา กระบี่ไม้ก็ถูกงัดปลิวไปอยู่บนยอดตำหนัก นางหรี่ตาลงมองกระบี่ไม้บนหลังคากระเบื้องเคลือบ อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ “ทำไมท่านต้องออกแรงมากขนาดนี้ด้วย”
ฝูชางเรียกกระบี่ไม้กลับมา หากว่านางเป็นศิษย์ที่เขาชี้แนะจริงๆ เขาคงจัดการนางเสียจนหาทิศไม่เจอแล้ว ไม่ฝึกท่าหม่าปู้รากฐานไม่มั่นคง ไม่ตั้งท่ากระบี่แขนก็จะไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังเรื่องมากจุกจิกมองเป้าหมายสูงเกินจริง หวังว่าเวลาวันเดียวจะเรียนเป็นเทพกระบี่ได้
“ฝึกต่อ”
เขาโยนกระบี่ไม้ให้นาง เมื่อนางจับได้มั่นแล้ว จึงใช้ฉุนจวินกระแทกไปบนนั้นเบาๆ แขนนางแกว่งไป เกือบจะทำกระบี่ไม้หลุดออกไปได้ เขาจงใจหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงงัดใหม่ โดยออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อย กระบี่ไม้ที่น่าสงสารนั่นก็ลอยข้ามต้นกุ้ยอีกรอบกระเด็นออกไปนอกเรือน
นางเม้มปากก่อนจะตำหนิเขาไป “ท่านจงใจนี่”
ไม่ ไม่ได้จงใจเลยจริงๆ ยังดีที่เป็นเขามาชี้แนะนาง ไม่อย่างนั้นหากเป็นนักรบคนอื่นมา คิดว่าคงได้ถูกนางบีบจนคลั่งแน่
ฝูชางเรียกกระบี่ไม้กลับมาอีกครั้ง และเริ่มกระบวนการทรมานที่ทั้งอ่อนหวานและน่าโมโหนี่ต่อไป
เมื่อกระบี่ไม้ถูกงัดลอยออกไปหลายครั้งเข้า ใบหน้าขององค์หญิงมังกรก็มีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา เขาจึงเก็บฉุนจวินเข้าฝัก “พักครู่หนึ่งก่อนเถอะ”
เสวียนอี่เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ ทันใดนั้นก็ถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าอยากเรียนเปลี่ยนปราณกระบี่เป็นมังกร”
ท่าทีกระตือรือร้นของนางก็ดีอยู่ แต่ว่าเปลี่ยนปราณกระบี่เป็นมังกรนี่…
ฝูชางได้แต่ต้องบอกความจริงอันโหดร้ายนี้แก่นาง “เปลี่ยนปราณกระบี่เป็นมังกรมีเพียงสายเลือดตระกูลหวาซวีเท่านั้นที่ทำได้”
แปลงเป็นมังกรแล้วกลับไม่ยอมให้มังกรจริงๆ อย่างนางเรียน ขี้งกเกินไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นชื่อกระบวนท่านี่ก็ต้องเปลี่ยนใหม่เสีย” เสวียนอี่เกี่ยวลายปักบนผ้าเช็ดหน้าช้าๆ “เรียกว่าปราณกระบี่แปลงเป็นหนอนถึงจะดี”
ฝูชางไม่อยากจะตีนางเพราะคำพูดเหลวไหลเหล่านี้ของนางอีกแล้ว หลายวันมานี้คำพูดไร้สาระเหล่านี้มีมากเกินไปจนเขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเพราะมันแล้ว เขาพลันโยนกระบี่ฉุนจวินออกไป กระบี่วิเศษสีฟ้าแปลงเป็นมังกรสีทองอร่ามโดยพลัน ร่อนลงมายังฝ่ามือเขา หัวและหางส่ายไปมาราวกับมีชีวิตจริงๆ
เสวียนอี่ได้เห็นปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรครั้งที่สอง ครั้งที่แล้วตอนที่รับมือกับปีศาจไหว มังกรสีทองตัวนั้นยังมีขนาดใหญ่มากอยู่ ผ่านไปสองหมื่นกว่าปีกลับเล็กเหลือเท่านี้แล้ว นางเข้าไปมองใกล้ๆ แล้ววิจารณ์ไปว่า “เล็กแค่นี้เอง”
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปลาดุกอุยแล้วกัน
ฝูชางคิดในใจ มังกรสีทองก็กระโดดขึ้น เสวียนอี่ยังไม่ทันหลบ นางรู้สึกมีลมพัดผ่านใบหูนางไป วงแหวนทองบนศีรษะนางถูกมังกรตัวนี้งับลงมาแล้วกลับไปอยู่บนมือเขาอีกครั้ง มังกรสีทองกลายเป็นกระบี่ฉุนจวินสีน้ำเงิน และเก็บคืนเข้าไปในฝัก ฝ่ามือเหลือเพียงวงแหวนทองหรูหราวงนั้น
เสวียนอี่สองตาเป็นประกาย “น่าสนใจ”
ฝูชางดันศีรษะนางออกไปเบาๆ แล้วจับผมใส่เข้าไปในวงแหวนทอง คอนางก็มีแต่เหงื่อ ผมของนางแนบติดอยู่บนนั้น เขาใช้มือปัดออกไปให้นาง ทำเอานางจั๊กจี้หัวเราะแล้วดิ้นไปมา รูปร่างของนางเพรียวบางอ่อนนุ่ม ชุดนักรบที่แข็งกร้าวไม่ได้ทำให้นางเหมือนนักรบเลยแม้แต่น้อย เข็มขัดหนาและใหญ่กลับยิ่งขับเน้นให้เอวของนางดูบางยิ่งขึ้น เขาใช้แขนเกี่ยวไว้ เห็นนางมองมาที่ตนด้วยแววตากระจ่าง เขาก็อดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
ยามเผชิญหน้ากับองค์หญิงมังกร เขาไม่ใช่นักรบผู้ชี้แนะที่ดีเลยจริงๆ
บนฟ้าพลันมีเสียงระฆังขนาดใหญ่จากวิชาเสียงประกาศิตดังขึ้น มันดังยาวสามครั้งสั้นสองครั้ง นี่คือคำสั่งเรียกรวมเหล่านักรบที่อยู่ในตำหนักอวี้หวา คิดว่าเหล่ามหาเทพคงจะกลับมาจากวังสวรรค์กันแล้ว ไม่รู้ว่ามีแผนการใหญ่อะไร
ฝูชางลูบศีรษะนาง “ข้ามีธุระต้องไปก่อน หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็ไปดูกู่ถิงที่เรือนหลักเถอะ”
เสวียนอี่โบกมือแล้วมองส่งฝูชางออกไปจากเรือนไป๋จย่า ฝึกกระบี่ตลอดทั้งเช้าทั้งร่างมีแต่เหงื่อ เขากำลังคิดอยากไปเรียกให้เทพีรับใช้มาเตรียมน้ำอาบให้นาง แต่กลับพบว่ามหาเทพชิงหยวนที่ไม่ได้พบหน้ามานานกลับเข้ามาในเรือนไป๋จย่าอย่างรีบร้อน เขาโบกมือให้นาง “องค์หญิงเสวียนอี่ เชิญตามเปิ่นจั้วมา”
เสวียนอี่เดินตามเขาไปด้วยความฉงนสงสัยเต็มเปี่ยม เดินอ้อมพุ่มดอกชบาไป ตรงหน้าคือตำหนักแปลกตาหลังหนึ่ง ภายในมีแสงรัศมีเทพสว่างไสว ดูแล้วคงมีเผ่าเทพไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
มหาเทพชิงหยวนกล่าวว่า “ครั้งนี้หน่วยนักรบ หน่วยวางแผนล้วนแต่รับผิดชอบโดยมหาเทพไป๋เจ๋อทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ทั้งหกสิบหน่วยขยายเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบหน่วย องค์หญิงอยู่ในหน่วยอี่อี่ไฮ่ เรือนเฉินซูนี้คือที่ทำการชั่วคราวของหน่วยอี๋อี่ไฮ่ ลงไปโลกเบื้องล่างแล้วให้ฟังคำสั่งและการจัดการของแม่ทัพผู้คุมหน่วยอี่อี่ไฮ่แล้วค่อยดำเนินการต่อไป”
เสวียนอี่ตกใจ จัดนางให้เป็นนักรบและจะส่งนางลงไปโลกเบื้องล่างจริงๆ ! เซ่าอี๋ไม่ได้พูดจาส่งเดชจริงๆ ด้วย
เห็นมหาเทพชิงหยวนคิดจะรีบร้อนจากไปนางก็ถามว่า “มหาเทพชิงหยวน ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
มหาเทพชิงหยวนมีสีหน้าเคร่งเครียด “ทะเลหลีเฮิ่นเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น มหาเทพโกวเฉินเขียนหนังสือขึ้นมาขอให้ออกคำสั่งให้เทพทั้งหมดลงไปฆ่ามาร จักรพรรดิสวรรค์เรียกรวมมหาเทพทั้งหมดไปปรึกษาเตรียมการอยู่ครึ่งเดือนและมีคำสั่งลงประกาศมาแล้วว่า ภายในหนึ่งพันปีจะต้องกวาดล้างเผ่ามารทั้งหมดที่โลกเบื้องล่างให้หมดไป”
ทะเลหลีเฮิ่นกลืนพลังความมืดจู๋อินของมหาเทพจงซานเข้าไปครึ่งหนึ่งจึงเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เรื่องนี้จักรพรรดิสวรรค์ปิดบังเอาไว้ และไม่อนุญาตให้แพร่งพรายออกไป เขาเองก็ไม่รู้จะกล่าวกับนางอย่างไรดี และนางยังมีฐานะพิเศษอีก ไม่รู้จะดีกว่า เพื่อไม่ให้วุ่นวายเพราะเรื่องนี้
เสวียนอี่ตกใจไป เทพทุกคนได้รับคำสั่งไปฆ่ามาร กระทั่งเหนือสวรรค์สามสิบสามชั้นขึ้นไป และสี่ห้วงสมุทรแปดทิศ รวมถึงเทพที่เลื่อนไปขั้นหลับใหลพันปีทั้งหมดต่างก็ต้องหยุดทุกอย่างและมารับคำสั่ง ทุกคนต้องเข้าร่วมกับฝ่ายนักรบ ประกาศเช่นนี้เคยใช้ครั้งหนึ่งตอนที่รับมือกับราชาก้งกง คิดไม่ถึงว่ามาวันนี้กลับต้องใช้อีกครั้งเพราะทะเลหลีเฮิ่น
ยังคิดจะถามต่อ มหาเทพชิงหยวนกลับไปไกลแล้ว เสวียนอี่ยืนอยู่ที่หน้าตำหนักครู่หนึ่งแล้วจึงหมุนตัวเข้าไปในนั้น
ภายในตำหนัก แสงรัศมีเทพมากมายบาดตา เสวียนอี่หรี่ตาลงและมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง ที่นี่ล้วนแต่เป็นเทพอายุน้อยที่อายุไม่ต่างจากตนมากนัก เผ่าเทพที่หลับใหลพันปีมักจะมีอายุอยู่ที่สองหมื่นถึงสี่หมื่นปี มหาเทพกลุ่มนี้บ้าไปแล้ว คิดจะส่งพวกเขาลงไปรับมือกับราชาพวกนั้นน่ะหรือ
เทพอายุน้อยที่ถูกจัดให้อยู่หน่วยอี่อี่ไฮ่ดูเหมือนจะมีมากทีเดียว นอกประตูตำหนักยังคงมีเทพเดินเข้ามาไม่ขาดสาย แต่ว่ากลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่นางรู้จัก
ไม่รู้ว่าชิงเยี่ยนจะถูกจัดให้อยู่กับนางหรือไม่ เสวียนอี่หามุมมืดแล้วนั่งลงตัวเหยียดตรง นางก้มหน้าเล่นชายเสื้อ เหล่าเทพเห็นนางมีรูปร่างหน้าตาสะดุดตา ต่างก็คิดจะเข้ามาพูดด้วย แต่พลันเห็นนางปั้นหิมะก้อนหนึ่งอยู่ พวกเขาไม่เพียงแต่จะหน้าเปลี่ยนสีเท่านั้น ยังหมุนตัวอย่างรวดเร็วทำทีว่ามองไม่เห็นอีกด้วย
เป็นองค์หญิงตระกูลจู๋อิน ได้ยินว่านางมีนิสัยประหลาดมาก อีกทั้งด้วยเพราะหายนะจากทะเลหลีเฮิ่น ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินทั้งสองตระกูลมีน้ำหนักมากในใจเหล่าเทพ ไม่ไปหาเรื่องนางจะดีกว่า
เลยยามอู่ไป เหล่าเทพอายุน้อยของหน่วยอี่อี่ไฮ่ต่างมากันได้พอประมาณแล้ว มองไปกลับมีมากถึงสามร้อยคนได้ ไม่นานก็มีนักรบหน้าตาไม่คุ้นคนหนึ่งเชิดหน้าแล้วก้าวเท้ายาวเข้ามา ข้างๆ มีเทพรู้จักเขาและต่างกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เขาคือนักรบที่เก่งกาจที่สุดของหน่วยอี่โฉ่ว เทพดาราอู่ชวีไคหยาง! ”
เขาก็คือหนึ่งในเจ็ดเทพดาราที่มีวัยวุฒิมากที่สุด และเป็นเทพที่มีฝีมือเฉียบคมที่สุดคนหนึ่ง หน่วยอี่อี่ไฮ่กลับได้เขาเป็นผู้ดูแล เทพอายุน้อยต่างก็รู้สึกจิตใจสงบลง
เหล่านักรบมากวัยวุฒิเหล่านี้เวลาทำอะไรก็มักจะไม่มีอ้อมค้อม จัดการเรื่องใดๆ ก็มักจะเฉียบคมเด็ดขาด เทพดาราไคหยางเดินเข้ามาแล้วก็เอ่ยปากทันทีว่า “ครั้งนี้ทะเลหลีเฮิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อไม่ให้เกิดหายนะที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นในภายหลัง จึงมีประกาศให้เทพทุกคนลงไปฆ่ามารเสียให้สิ้น หน่วยอี่อี่ไฮ่มีข้าเป็นผู้นำ ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าไปเผชิญหน้ากับเหล่าราชาเผ่าโบราณทั้งสิบแปดแน่ และอย่าให้ข้ารู้เชียวว่ามีใครแอบลอบไปใกล้กับราชาเหล่านั้น มหาเทพไป๋เจ๋อจัดให้หน่วยอี่อี่ไฮ่ลงไปฆ่าเผ่ามารที่กระจัดกระจายอยู่ให้หมด โดยสถานที่ตั้งคือทางทิศตะวันออกเป็นเขาไท่สิง ทิศตะวันตกเป็นทะเลเหนือ เมื่อลงไปโลกเบื้องล่างแล้ว การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปตามคำสั่งของข้า นักรบที่ไม่ฟังคำสั่งจะต้องถูกลงโทษโดยใช้ประกายสุริยันตีกระหม่อม ทุกคนระวังไว้ด้วย”