องค์หญิงมังกรของเขา ยามเย็นชาก็เหมือนกับหิมะน้ำแข็ง แต่ในอ้อมอกของยามนี้กลับมีผิวกายร้อนจัด
ฝูชางอ้าปากแล้วกัดลงไปบนลำคอเรียวระหงของนางเบาๆ ความทรงจำในยามอยู่โลกมนุษย์ย้อนกลับมาซ้อนทับกัน เขาอยากทำอย่างนี้มานานแล้ว เห็นนางเบ่งบานอยู่ในฝ่ามือของตน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้นางผลิบานได้ ท่าทีงดงามนั่นทำให้เขาทำให้เขาอดที่จะเกิดความคิดชั่วรร้ายที่หาได้ยากเหล่านั้นไม่ได้ กัดนาง นิ้วมือสอดเข้าไปที่ไหล่นาง อยากให้นางรับรู้ถึงความคิดอันชั่วร้ายที่ไร้ทางปลดปล่อยของเขา
ในความรักสุดซึ้งที่เขามีต่อนางมักจะสอดแทรกไปด้วยความแค้นเคืองจางๆ เขามักจะยอมตามใจและโอนอ่อนต่อนาง ขณะเดียวกันก็มักจะอยากรังแกนางเสียจนไร้หนทางหนี
นางเจ้าเล่ห์แต่กลับไร้เดียงสา เย็นชาทว่าอ่อนแอ เห็นแก่ตัวแต่กลับบริสุทธิ์ นิสัยชั่วร้ายและดีงามทั้งหมดของนางเขาเข้าใจดี ซ้ำยังเคยรังเกียจมันมาก่อน แต่ว่าก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ถูกมันดึงดูดได้ พวกเขาไม่เหมือนกันเลย นางนำพาความประหลาดและมากด้วยสีสันทั้งยังเด่นชัดสะดุดตามาให้ น้ำพุเหลืองจิ่วโยว สวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้น เขาควบคุมตนเองไม่ได้และตกลงไปในเงื้อมมือของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ครั้งนั้นที่ตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างและกลับมาถึงแดนเทพ ท่านพ่อที่มักไม่ยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาแสดงท่าทีต่อต้านอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก เขาไม่อยากจะให้บุตรชายของเขาไปเกี่ยวข้องกับองค์หญิงตระกูลจู๋อินอีก
แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว นับตั้งแต่ที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา สัมพันธ์เลวร้ายนี้ก็ได้ผูกมัดเข้าแล้ว กล่าวกันว่าเมื่อตัดเหตุของชะตาแล้วจะเข้าใจทุกอย่างและรู้ซึ้งกับทุกอย่างได้ นางเป็นผู้ฝังสัมพันธ์ชะตาที่เลวร้ายนี้ให้เขา และเป็นผู้ตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้ให้เขา ความเข้าใจแจ่มแจ้งและรู้ซึ้งกับทุกสิ่งของเขาล้วนแต่เป็นนางทั้งนั้น เปลือกนอกที่ขาวซีดงดงามถูกยัดความมีชีวิตชีวาเข้ามาจนเต็ม เขาไม่สามารถแยกจากนางได้อีกแล้ว
องค์หญิงมังกรในอ้อมอกกำลังสั่น มือของนางยังคงยันไว้ที่หน้าอกของเขา ฝูชางจับแขนของนางไว้ให้มันโอบรอบตน เขาอยากทำให้นางเจ็บ จึงกัดลงบนริมฝีปากของนางหนักๆ ตรงนั้นไม่มีเกล็ดมังกร แขนทั้งสองรัดแน่นจนแทบจะบีบกระดูกแขนเรียวของนางจนแตก
หากเจ็บอีกนิดก็หลบไม่ได้แล้ว กล้าเผชิญหน้ากับมัน เหมือนกับแต่ก่อน ไม่ต้องกลัวอีก เขารู้ว่านางหวาดกลัว ในเมื่อเขาตั้งมั่นแล้วว่าจะกระโดดลงไป ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ต่อให้น้ำทะเลแห้งเหือดหินถูกกัดกร่อน เขาก็จะรัดนางไว้แน่น อย่าไปจากเขา อย่ากลับไปที่เขาจงซานที่ฝังอยู่ในหิมะอันเยือกเย็นและมีม่านพลังขวางกั้นนั่นอีก เขาเองก็เคยคิดว่าตนนั้นชอบการอยู่คนเดียวตามลำพัง เขามีนิสัยเฉื่อยชา ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ หรือใครก็มักจะไม่มีความรู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ แต่ว่าเขาไม่อยากจะต้องเผชิญกับวันเวลาที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาสองหมื่นสามพันปีอีกแล้ว นั่นมันแทบตายจริงๆ
นางเริ่มดิ้นรนขัดขืนอีกครั้ง ลมหายใจหอบถี่ดังขึ้นข้างหู กัดฟันอย่างพยายามอดทนอะไรบางอย่างมิปาน ฝูชางค่อยๆ ปล่อยนางในที่สุด นางรีบพลิกตัวแล้วขดเป็นก้อนทันที ปกที่เปิดออกเผยให้เห็นลำคอโผล่ออกมา และยังเห็นไปถึงรอยแดงบริเวณบ่าของนางอีกด้วย
เขาค่อยๆ ดึงชุดนางให้เข้าที่ ทั้งยังจัดการผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางให้ดีแล้วรวบไปด้านหลัง เขาก้มหน้าลงไปใกล้ศีรษะของนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ของเขาดังขึ้น “…ข้าไม่ขอโทษหรอกนะ”
ศีรษะของเสวียนอี่แทบจะมุดลงไปแล้ว ร่างของนางรู้สึกถึงทะเลสาบสุราพิษที่หอมหวานกลมกล่อมนั่นแล้ว เส้นผมใกล้จะขาด นางกำลังจะร่วงลงไป จะร่วงลงไปแล้ว
แม้แต่อาการเจ็บปวดที่มือขวาของนางยังรู้สึกเหมือนดีขึ้นมามาก
น้ำเสียงของนางยังคงสั่นสะท้าน “…มารยาทและพิธีการทั้งหลายของตระกูลหวาซวีเจ้าเล่า”
ฝูชางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ริมฝีปากเขาแนบไปกับเส้นผมเยือกเย็นของนาง “ลืมไปหมดแล้ว”
เสวียนอี่พลันขยับตัวแล้วเงยหน้าขึ้น รอยแดงที่น่าหลงใหลค่อยๆ ลดลงไปจากใบหน้างดงามของนาง นางมองเขาครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคว้าด้ายเส้นสุดท้ายที่กำลังยื้อชีวิตไว้เป็นครั้งสุดท้าย และกล่าวอย่างไม่คิดว่า “…ท่าน…มักจะไร้มารยาทกับข้าอย่างนี้ตลอด เพราะเสียดายหรือ ที่ยังไม่ได้ประสานหยินหยางกับข้า”
ดวงตาดำสนิทของฝูชางจ้องมาที่นางเนิ่นนาน เรียวคิ้วเลิกขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ช่วยทำให้ความเสียดายนี้ของข้าสิ้นสุดทีเถอะ”
เขาไม่รอให้นางตอบ มือจับปกเสื้อที่เพิ่งจะจัดให้มิดชิดนั้น เพียงดึงเบาๆ หัวไหล่เปล่าเปลือยกว่าครึ่งก็ปรากฏตรงหน้า นิ้วมือเรียวสอดเข้าไปในชุดอย่างไม่ลังเล คว้าแขนที่เยือกเย็นอ่อนนุ่มของนางแล้วไล้ไปตามศอกลงไปด้านล่าง ชุดของนางแทบจะร่วงลงไปบนเตียงหมดแล้ว
นี่ต่างหากที่เรียกว่าฟ้าถล่มดินทลาย เสวียนอี่แทบจะคลั่งอยู่แล้ว นางดึงชุดไว้และออกแรงผลักเขาออก ทั้งยังถอยหลบไปด้านหลัง เรียกได้ว่ากลิ้งไปทั่วทั้งเตียง ฝูชางกลับดึงนางเข้ามา นางใช้แขนเสื้อบังหน้าไว้ ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาดึงผ้าห่มมาคลุมให้นางจากนั้นก็เงียบไป
เสวียนอี่เอาหน้าฝังลงไปบนหมอนและสงบอารมณ์ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีเสียงอันใด
นางจึงค่อยๆ แง้มผ้าห่มออก พลันสบเข้ากับดวงตาดำสนิทที่กำลังจดจ้องมาคู่หนึ่ง เขานั่งอยู่ข้างกาย นางชะงักไปอย่างตกใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามือของฝูชางวางไว้บนผ้าห่ม ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าอยากจะผลักไสข้าออกไปอีกครั้งจริงๆ หรือ”
นางนิ่งเงียบไปนาน ความเจ็บปวดที่มือขวาคืนกลับมาในพริบตา จนทำให้ดวงตานางเจ็บปวดมาก
นางค่อยๆ กันมือเขาที่วางอยู่บนผ้าห่มออก แต่เพียงสัมผัสถูกมือเขาก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว
ผลักเขาไป แต่กลับยังใช้นิ้วมือไปเกี่ยวแขนเสื้อเขาไว้อย่างขัดแย้งกัน
ฝูชางเอาแขนวางไว้เบื้องหน้านางด้วยระยะห่างที่เหมาะสม
ไม่ใกล้เกินไปแต่อย่าจากไป ช้าหน่อย ใกล้ไปไกลไปต่างก็เป็นการทำร้ายกันและกันทั้งสิ้น
แขนเสื้อเขาอยู่ใกล้มาก ลายปักเมฆสีเงินนั้นยามใช้นิ้วเกี่ยวแล้วให้ความรู้สึกดีมาก ใช้นิ้วมือจับไว้เบาๆ แล้วค่อยใช้เล็บค่อยๆ เกี่ยวมันออกมาทีละเส้น นางชอบทำอย่างนี้มาก นางไม่ได้สัมผัสลายเมฆนี้มานานถึงสองหมื่นสามพันปีแล้ว
เสวียนอี่เอาหน้าแนบลงไปแล้วหลับตาลง น้ำตาเย็นเฉียบสองหยดไหลออกมาจากใต้แพขนตาแล้วร่วงลงไปบนแขนเสื้อเขา
ปลายนิ้วของฝูชางค่อยๆ เช็ดขนตาที่เปียกชื้นให้นางช้าๆ ไม่เคยเห็นนางร้องไห้มาก่อนเลย เด็กโง่
แสงอาทิตย์สดใสของฤดูใบไม้ร่วงสาดเข้ามาทางหน้าต่างวงเดือน กระทบเข้ากับม่านกั้นเป็นชั้น ขนตาขององค์หญิงมังกรแห้งแล้ว และสั่นสะท้านอยู่ที่ปลายนิ้วเบาๆ ความรู้สึกที่ปลายนิ้วทั้งชาและจั๊กจี้ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาประสานกัน ตอนที่ช่วยตัดสัมพันธ์ให้เขาที่โลกเบื้องล่าง ดวงตาสุดท้ายที่มองมาที่เขาก็คือดวงตาคู่นี้
เสวียนอี่กุมนิ้วเขาไว้แล้วกล่าวเสียงขึ้นจมูกว่า “ตัดสัมพันธ์รู้สึกอย่างไร”
ฝูชางกลับเกี่ยวนิ้วกลางของนางไว้ ชื่นชมกับเล็บเคลือบน้ำมันแดงเด่นสะดุดตาดุจเปลวเพลิง “เป็นการปล่อยวางภาระหนักที่ติดค้างในใจมานาน”
นางกล่าวเสียงเบา “ภาระหนักของท่านคือข้า?”
เขาส่ายหน้า
เสวียนอี่ไม่ได้ถามต่อ นางเล่นปลายนิ้วเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มนิสัยเคยชินอันเลวร้ายไปเกี่ยวลายเมฆที่แขนเสื้อนั่นอีกครั้ง รู้สึกไม่คุ้นเคยบ้างแล้ว เกี่ยวมาตั้งนานเส้นด้ายสีเงินเหล่านั้นกลับยังไม่คลายออก จู่ๆ นางเรียกเขาเสียงเบา “ศิษย์พี่ฝูชาง แผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ศิษย์พี่ฝูชาง เสียงนี้ของนางกลับทำให้ใจเขาสั่นสะท้านขึ้นมา
เขาไม่ได้สบายเหมือนกับท่าทีที่เขาแสดงออกมา การหลบหนีของนางทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและร้อนรน วันนั้นนางคิดจะหนีกลับเขาจงซาน ถึงแม้ว่าจะกลับมาอีกครั้งเพราะเรื่องของกู่ถิง แต่ก็ยังเป็นเสมือนเข็มทิ่มแทงใจเขา
การหลบหนีของนาง เขามีแต่ต้องบีบเข้าไปใกล้ทีละก้าวเท่านั้น
แต่ว่า ยังดีที่เขาไม่ใช่คนวู่วาม
ฝูชางช้อนนางออกมาจากผ้าห่มอย่างนุ่มนวลทว่ามั่นคง อัญมณีที่ด้ามกระบี่เกิดประกายแสงขึ้น เสวียนอี่ใช้มือลูบไป ชุดผ้าไหมตัวยาวเลื่อนหลุดจากบ่าไหลลงไปจนถึงข้อศอก เมื่อครู่นี้ชุดนางถูกดึงลงไปยังไม่ได้จัดให้ดี
นางกำลังจะดึงชุดขึ้น แต่กลับมีมือเรียวข้างหนึ่งจับไปยังชุดผ้าไหมของนางขึ้นมาให้ แล้วจัดเสื้อผ้าที่เกือบจะขาดนั่นใหม่ให้ดี บนศีรษะพลันหนักขึ้นมา หน้าผากเขากดลงบนนั้น “ครั้งหน้าอย่าพูดจากเช่นนั้นอีก”
“ที่พูดว่าประสานหยินหยางคือเรื่องที่ท่านเสียดายนั่นน่ะหรือ”
ฝูชางถอนหายใจแล้วดึงนางลงจากเตียง “หากยังพูดอีก วันนี้จะไม่ให้กินข้าว”