มู่เฉียนซีกับเสี่ยวชีมาถึงลานประลอง ทั้งสองดำเนินตามขั้นตอน จากนั้นก็เริ่มทดสอบ และผลการทดสอบของทั้งสองออกมาเป็นที่น่าทึ่งอย่างมาก
“ปรมาจารย์ภูตระดับสี่!”
“ราชาแห่งภูตระดับหนึ่ง!”
สวรรค์! เจ้าหนุ่มสองคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเอง เหตุใดถึงได้วิปริตเช่นนี้ โดยเฉพาะเจ้าหนุ่มชุดเทาผู้นั้น
ผู้นำทางของลานประลองยุทธ์ใต้ดินกล่าวขึ้นว่า “เพื่อความมั่นใจและความยุติธรรมในการประลอง ลานประลองยุทธ์ใต้ดินของเราจึงได้แบ่งระดับและแบ่งเขตเอาไว้สำหรับการเข้าร่วมการประลอง คุณชายมู่จะได้เข้าประลองในเขตสองสำหรับระดับปรมาจารย์ภูต ส่วนคุณชายชีจะได้เข้าประลองในเขตหนึ่งสำหรับระดับราชาแห่งภูต”
“ได้” มู่เฉียนซีพยักหน้า จากนั้นเหลือบมองเสี่ยวชีพลางกล่าวขึ้น “เจ้าระวังตัวด้วย”
เสี่ยวชีพยักหน้า “ขอรับนายท่าน”
เมื่อมู่เฉียนซีเข้าไปในเขตสอง ซึ่งเป็นเขตที่ระดับปรมาจารย์ภูตจะมาประลองกัน ทุกผู้คนก็ส่งเสียงเกรียวกราวขึ้นมา
“โอ้! เขตเรามีหนุ่มน้อยหน้าขาวอ่อนปวกเปียกเช่นนี้เข้าร่วมประลองด้วย”
“อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ พื้นฐานการฝึกเขาจะมีแค่ไหนกันเชียว กล้ามากที่มาที่นี่ ใจกล้ายิ่งนัก!”
“ใช่ ๆ…”
“คุณชายโปรดรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวจะจัดคิวการประลองให้คุณชายแล้วขอรับ”
ผู้คนในที่นี้ ผู้ที่มีพลังวิญญาณอ่อนแอที่สุดคือปรมาจารย์ภูตระดับสี่ หรือไม่ก็ปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสี่ แต่คู่ต่อสู้คนแรกของมู่เฉียนซีกลับเป็นปรมาจารย์ภูตระดับหก
พลังวิญญาณของคนผู้นี้ได้ฝึกฝนมาจนเพียงพอที่จะทะลวงวิญญาณเลื่อนขั้นเป็นระดับเจ็ดแล้ว
สำหรับน้องใหม่เช่นมู่ซี ไม่ควรเลยที่สนามประลองจะส่งคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มาประลองกับเขา และนี่ทำให้พวกเขาเหล่าคนชมดูรู้สึกว่า เจ้าหนุ่มหน้าขาวนัยน์ตาเขียวผู้นี้ต้องไปสะดุดเท้าคนของลานประลองใต้ดินเป็นแน่แท้
เย่หูจ้องมองมู่เฉียนซีที่กำลังเดินไปที่ลานประลองด้วยท่วงท่าสบาย ๆ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าหนุ่ม เจ้าเลือกที่จะมาตายที่นี่ ข้าจะสนองความตายให้เจ้าเอง ฮ่า ๆ ๆ!”
มู่เฉียนซีแค่นเสียง ‘เหอะ!’ ในลำคอก่อนจะกล่าวดูแคลนอย่างมิกลัวเกรง “สำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนมีดีแค่นี้เองรึถึงได้ส่งคนเช่นนี้มาสู่กับข้า ? ข้ารู้สึกผิดหวังจริง ๆ”
เย่หูยิ้ม กล่าวอย่างเย็นชา “เหอะ! ผิดหวังรึเจ้าไก่อ่อน ? รอให้เจ้าตายในเงื้อมมือของข้าก่อนเถอะ เจ้าไม่ผิดหวังแน่”
พลังวิญญาณปรมาจารย์ภูตระดับหกแผ่ซ่านออกมาและได้รวบรวมเข้าไปในกระบี่เล่มใหญ่เล่มนั้นที่มีน้ำหนักถึงสองร้อยห้าสิบถึงสามร้อยกงจิน* หากกระบี่เล่มนี้ฟาดเข้าใส่มู่เฉียนซี กระบี่เล่มนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือที่ออกมาจากภูเขา น่าหวาดกลัวอย่างไม่อาจยับยั้งได้
*กงจินคือกิโลกรัม
ด้วยพลังการกดดันและการเคลื่อนไหวที่โหดร้ายเช่นนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่าในไม่ช้านี้พวกเขาจะต้องได้เห็นเด็กหนุ่มใบหน้างามผู้นี้นองเลือดเป็นแน่ ทว่าในขณะที่กระบี่เล่มนั้นกำลังจะเข้าใกล้มู่เฉียนซี มู่เฉียนซีกลับนิ่ง ไม่ขยับกายแต่อย่างใด
ทุกคนเห็นเช่นนี้ต่างตกตะลึง “นี่เขาจะทำอะไร ? จะฆ่าตัวตายหรืออย่างไร ?”
“อยากฆ่าตัวตายแล้วจะมาที่ลานประลองยุทธ์ใต้ดินทำไมกัน ? บีบคอตัวเองไม่นานก็ตายสมใจแล้ว”
ร่างที่งดงามอย่างไร้ที่ตินั้นถูกคมกระบี่ฟันเป็นสองท่อน แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาเลยสักหยด และในเวลานี้ พวกเขาจ้องมองไปที่ร่างของ ‘มู่ซี’ ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเย่หูด้วยความประหลาดใจ
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแผ่วเบา “เชื่องช้าเช่นเจ้าคิดจะทำร้ายข้า ช่างน่าขัน!”
ทักษะย่างก้าวพันเงาถูกฝึกฝนจนมีความเร็วที่น่ากลัว หากชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้คิดจะฝึกทักษะนี้ คงต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีกระมัง!
ริมฝีปากสีแดงเรื่อของมู่เฉียนซีเปิดออกช้า ๆ นางกล่าวเสียงเย็นเยียบ “โล่มังกรวารี!”
เย่หูยังไม่ทันได้ตอบสนอง ทันทีที่มังกรวารีพุ่งออกมา แน่นอนว่าเขาไม่อาจหลบหลีกได้เลย
— ปัง! —
ร่างทั้งร่างกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศด้วยแรงโจมตีอย่างโหดเหี้ยม และตกลงมาด้านล่างของลานประลองอย่างรุนแรงจนเกิดหลุมลึก
“ซี้ด!”
เหล่าผู้ชมดูสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปพร้อมทั้งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ชนะแล้ว!
กระบวนท่าเดียวของเจ้าหนุ่มใบหน้างามผู้นี้สามารถทำลายคู่ต่อสู้ที่ห่างชั้นกันถึงสองระดับได้ ช่างน่าทึ่ง!
ผู้ดูแลการประลองของระดับปรมาจารย์ภูตเขตสองเข้ามาถามว่า “คุณชายต้องการลงประลองต่อหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “หากระดับพลังวิญญาณไม่เพียงพอ พอจะมีวิธีไหนบ้างที่จะเลื่อนเขตที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้ ?”
“หากพลังวิญญาณไม่พอ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตสอง สามารถเลื่อนขึ้นไปประลองที่เขตสามได้ขอรับ เขตสามเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณปรมาจารย์ภูตระดับเจ็ดถึงระดับเก้า แต่สำหรับคุณชายแล้ว มันอันตรายนะขอรับ”
มู่เฉียนซี “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะประลองต่อ”
มู่เฉียนซีนางคิดกับตนเองว่า นางต้องเป็นที่หนึ่งในเขตสองให้เร็วที่สุด เพราะคู่ต่อสู้ที่เป็นปรมาจารย์ภูตต่ำกว่าระดับหกนั้น สำหรับนางแล้วไม่มีความท้าทายแม้แต่น้อย
ในไม่ช้า ลานประลองใต้ดินก็ได้จับคู่คู่ต่อสู้ให้กับมู่เฉียนซีอีกคน คนผู้นี้มีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ อีกทั้งพลังความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เลวไปกว่าเย่หูผู้ที่พ่ายแพ้ไปในรอบแรกเลย
เขามองมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวด้วยความมั่นใจ “เจ้าโง่เย่หูที่พ่ายแพ้ให้เจ้าผู้นั้น เป็นเพราะมันดูถูกศัตรูเกินไป แต่ข้าไม่มีวันพ่ายแพ้เจ้าแน่นอน”
เมื่อกรรมการประกาศเริ่มการประลอง เจี้ยนกวางก็พุ่งเข้าหามู่เฉียนซี ทว่ามู่เฉียนซีมองข้ามเจี้ยนกวาง นางไม่ขยับร่างกายแต่อย่างใด
ทุกคนลอบกล่าวเบา ๆ “ประเดี๋ยวนะ เจ้าหนุ่มนี่จะใช้วิธีการเดิมงั้นรึ ?!”
ทว่าพวกเขานั้นคิดผิดถนัด ในขณะที่เจี้ยนกวางจะพุ่งเข้ามาใกล้ มู่เฉียนซีก็ยกมือขึ้นมาอย่างเร็วรี่ นางตะโกนดังลั่น “โล่วิญญาณวารี!”
“มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”
การสกัดกั้นและกระบวนท่าโจมตีทำให้ร่างของคู่ต่อสู้ตรงหน้ากระเด็นลอยออกไป
ทว่าหนึ่งกระบวนท่าต่อหนึ่งกระบวนท่า จะเอาชนะศัตรูได้เลยหรือ ?
“อะไรกัน ข้าเคยได้ยินมาว่าจอมภูตพลังธาตุสามารถต่อสู้กระโดดข้ามระดับได้ ทว่านี่ข้ามขั้นเลยเชียว! เหตุใดเพียงแค่กระบวนท่าเดียวของเจ้าเด็กหนุ่มใบหน้างามผู้นั้นถึงได้ฆ่าสังหารคู่ต่อสู้ได้ง่ายดายเช่นนี้”
“เจ้ายังจะถามอีกรึ ? เห็นชัด ๆ ว่าเด็กนั่นมันวิปริตไปแล้ว!”
เมื่ออวิ๋นอี๋ทราบเรื่องนี้ นางบันดาลโทสะเปี่ยมล้น
การประลองในลานประลองใต้ดินแห่งนี้ไม่อาจใช้สัตว์พันธสัญญาได้ อวิ๋นอี๋คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนุ่มนัยน์ตาเขียวจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ฆ่าคู่ต่อสู้ที่มีพลังวิญญาณระดับหกได้ภายในชั่วพริบตาเดียว เกรงว่าในปรมาจารย์ภูตเขตสองนี้จะไม่มีผู้ใดเหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาแล้ว
“คุณหนูใหญ่จะให้จัดเขาไปประลองในเขตสามหรือไม่ขอรับ ? เช่นนี้จะมีโอกาสจัดการเขาได้ง่ายกว่า” คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาชี้แนะ
“ให้เขาประลองในเขตสองไปก่อน รอให้เขาหมดแรงแล้วค่อยว่ากันอีกครา ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะมีไม้เด็ดอันใด”
“ขอรับ”
ผู้ประลองในเขตสองขึ้นมาประลองกับมู่เฉียนซีในร่าง ‘มู่ซี’ ทีละคน ๆ ทว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเหมือนกันหมดทุกรอบคือพวกเขา…
พ่ายแพ้!
พ่ายแพ้!
และพ่ายแพ้ให้แก่มู่เฉียนซีไปทุกคน!
มู่เฉียนซีคิดว่าการยั่วยุของพวกเขานั้นเป็นเพียงการซักซ้อมร่างกายเท่านั้น แต่สำหรับพวกเขาแล้วกลับเป็นข่าวร้าย เหตุใดถึงได้วิปริตเช่นนี้ ?!
ในที่สุดผู้เข้าประลองในลานประลองของปรมาจารย์ภูตเขตสองก็ถูกมู่เฉียนซีโจมตีจนไม่มีแรงที่จะต่อสู้สักคน และในที่สุด ผู้ตัดสินการประลองก็ได้ประกาศชื่อ ‘มู่ซี’ เป็นที่หนึ่งของปรมาจารย์ภูตเขตสอง เขาผู้นี้มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมประลองในเขตสาม
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ อุบายของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ส่งคนลงมาประลองกับนางหลายต่อหลายคนเพื่อให้นางหมดแรง
ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
เมื่อเหล่าคนในกลุ่มการประลองระดับปรมาจารย์ภูตเขตสามเห็นมู่เฉียนซีแล้ว ก็มองว่ามู่เฉียนซีเป็นเพียงแค่เหยื่อผู้ต้องพ่ายแพ้เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยครั้งนักที่ปรมาจารย์ภูตต่ำกว่าระดับหกจะข้ามกระโดดมาอยู่ในเขตนี้ได้ แต่ระดับที่แตกต่างกันนั้นห่างชั้นยิ่งนัก สุดท้ายแล้วผู้ที่ข้ามกระโดดเข้ามานั้นก็ล้วนแต่ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างอนาถทั้งสิ้น
“คุณชายมู่ ต้องการจองห้องพิเศษเพื่อพักผ่อนก่อนหรือไม่ขอรับ ?” ผู้ดูแลประจำเขตกล่าวถามขึ้น
ข้ารับใช้ผู้นั้นลอบคิดในใจว่า ‘คุณชายผู้นี้ดูดีมีสง่าราศี ผิวพรรณขาวผ่องหมดจด แต่กลับเป็นคนที่มีนิสัยดุร้ายยิ่งนัก เพียงเวลาครึ่งวันสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ในเขตสองได้ทั้งหมด ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ลานประลองใต้ดินยังไม่เคยปรากฏคนวิปริตเช่นนี้มาก่อน’
มู่เฉียนซี “ไม่เป็นไร จัดคู่ประลองให้ข้าในเขตสามให้เร็วที่สุด”
“ขอรับ”
ไม่นานนักฝ่ายดูแลการประลองก็ได้จัดคู่การประลอง อวิ๋นอี๋ไม่ทำให้มู่เฉียนซีผิดหวังเลย นางส่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตสามลงมา