หญิงสาวที่บ้าคลั่งเยี่ยงหมาบ้าเช่นนี้ ใครเลยจะคาดคิดว่านางเป็นคุณหนูใหญ่สำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียน
นางกับคุณหนูทั้งสองของสำนักอวิ๋นเยียน หากเปรียบเทียบกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นสำนักเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูใหญ่สำนักย่อยอยู่ดี
มู่เฉียนซีมองใบหน้านางก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณหนูอวิ๋น เจ้าน่าจะบอกข้าตั้งแต่แรกว่าเจ้าเป็นคุณหนูใหญ่สำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียน” น้ำเสียงของมู่เฉียนซีแฝงไปด้วยความเสียดาย
อวิ๋นอี๋กล่าวอย่าลำพองใจ “เหอะ! ตอนนี้เจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว คิดจะเอาใจข้ามันก็สายเกินไปแล้ว ใครใช้ให้เจ้าตาถั่วโง่งมไม่รู้ความเช่นนี้เล่า ?”
เฟิงหลิงอวิ๋นผงะไปครู่หนึ่ง ตลอดหนทางที่เดินทางออกมาจากเทือกเขาชีชงกับคุณชายมู่ซี เขารู้ดีว่าคุณชายมู่ซีผู้นี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก ไม่ยอมจำนนต่อผู้ใดง่าย ๆ
แล้วคำกล่าวนี้ของเขาหมายความอย่างอย่างไรกัน ?
ร่างของมู่เฉียนซีเคลื่อนไหวรวดเร็วราวภาพกะพริบ ทักษะการฝึกวิชาย่างก้าวพันเงาของนาง นับวันนางยิ่งพัฒนา นับวันนางยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเหล่านั้นยังไม่ทันตอบสนองใด ๆ เข็มยาเข็มหนึ่งของมู่เฉียนซีก็ปักเข้าที่คอของอวิ๋นอี๋เสียแล้ว
“เสียดาย… ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง หากก่อนหน้านี้ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนของสำนักอวิ๋นเยียน ข้าก็คงจะฆ่าเจ้าให้ตายอยู่ในเทือกเขาชีชงแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเข้ม ลมหายใจถี่นั้นของนาง ทำให้อวิ๋นอี๋รู้สึกเย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูก
เข็มยาเล็กและบางบนคออวิ๋นอี๋นั้น ทำให้นางรู้สึกว่าความตายได้คืบคลานเข้ามาใกล้ตัวนางจนแทบจะทำให้นางเป็นลมล้มลงไป
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ปล่อยคุณหนูใหญ่ประเดี๋ยวนี้!” เหล่าบรรดาองครักษ์ของอวิ๋นอี๋กล่าวอย่างตระหนกตกตื่น พวกเขาไม่เคยเสียวสันหลังวาบมากถึงเพียงนี้มาก่อน
เฟิงหลิงอวิ๋น “คุณชายมู่ซี สำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนอยู่ในเมืองชางเฟิง หากคุณชายมู่ซีลงมือกับคุณหนูใหญ่ผู้นี้ เกรงว่าจะมีปัญหาเอาได้”
สำนักใหญ่ของสำนักอวิ๋นเยียนนั้นตั้งอยู่ในแคว้นเฉียนเซี่ย ส่วนสำนักย่อย ๆ ก็อยู่ทั่วทั้งห้าแคว้น สำนักย่อย ๆ เหล่านี้ตั้งขึ้นก็เพื่อให้พวกเขาควบคุมเซี่ยโจวได้มากขึ้น
— ปัง! —
มู่เฉียนซีโบกมือ ฉับพลันร่างของอวิ๋นอี๋ก็กระเด็นลอยออกไป
“เอาเจ้าขยะไร้ประโยชน์ของพวกเจ้าไสหัวไปซะหากไม่อยากตาย ต่อไปอย่าได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก”
“ฆ่ามัน!” ดวงตาของอวิ๋นอี๋แดงก่ำ
เฟิงหลิงอวิ๋น “คุณชายมู่ซีเป็นแขกคนสำคัญของกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋น ในเมื่อคุณชายมู่ซีมีใจเมตตาไม่ลงมือเอาเรื่องกับคุณหนูใหญ่อวิ๋นแล้ว ได้โปรดพวกเจ้าอย่าได้ข้องเกี่ยวกันเลย”
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายความเย็นยะเยือกออกมา “คุณหนูอวิ๋น ข้าจับเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองข้าก็จับเจ้าได้ ครั้งต่อไปข้าไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่ เจ้าระวังตัวเองให้ดีเถอะ”
เมื่ออวิ๋นอี๋ได้เห็นดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นก็รู้สึกเหน็บหนาวไปถึงก้นบึ้งหัวใจ ผู้ที่รักตัวกลัวตายเช่นนางไม่มีวันเอาชีวิตมาล้อเล่น! เคล็ดวิชาของเจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างแปลกประหลาดนัก นางยังจำได้ดี
นางกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเรา กลับ!”
“แต่ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!” นางยังมิวายจงใจกล่าวกับมู่เฉียนซีก่อนจะเดินจากไป
คุณหนูใหญ่อวิ๋นมักจะทำตัวอวดดี กำเริบเสิบสานในเมืองชางเฟิงอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีผู้ใดกล้าแข็งข้อกับนางมาก่อน วันนี้ นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นอี๋จะโดนชายหนุ่มผู้หนึ่งทำให้โมโหจนต้องหนีกลับไปเช่นนี้
คนของกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นชื่นชมมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก คุณชายมู่ซีผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก!
มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้นำหลิงอวิ๋น ครั้งนี้ข้าไม่ได้ก่อเรื่องให้เจ้าใช่หรือไม่ ?”
หลิงอวิ๋น “แท้ที่จริงกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นก็มีความขัดแย้งกับสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนอยู่แล้ว เรื่องเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ไม่เป็นไร”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สำหรับผู้นำหลิงอวิ๋น ข้าขอชื่นชมเจ้ามาก ต่อไปข้าจะขอคำขอที่สองแล้ว”
“อืม เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
“ข้าอยากจะขอให้ผู้นำหลิงอวิ๋นช่วยข้าหาสถานที่แห่งนี้” มู่เฉียนซีหยิบแผนที่ที่ท่านเจ้าเมืองของเมืองฉู่ได้มอบให้กับนางออกมา
ตลอดเส้นทางที่เดินทางเข้าเมืองมาด้วยกัน นางสังเกตผู้นำหลิงอวิ๋นมาตลอดทาง นางพบว่าผู้นำหลิงอวิ๋นผู้นี้เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และเชื่อใจได้ นางจึงหยิบแผนที่นี้ให้เขาดู
“สถานที่ในแผนที่นี้อยู่ในเทือกเขาชีชง เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งใดนั้นข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ข้าจะให้คนไปตามหาให้เจอ”
กลุ่มนักผจญภัยเหล่านี้มักจะเข้าออกเทือกเขาชีชงอยู่เป็นประจำ อีกอย่างจำนวนคนก็มีมาก หากอยากจะตามหาสถานที่แห่งนี้ก็คงจะทำได้ง่ายกว่ามู่เฉียนซีมาก
ผู้นำกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นกล่าวถามขึ้น “แล้วคุณชายมู่ซีจะทำอย่างไรต่อรึ ?”
มู่เฉียนซี “ในเมืองชางแห่งนี้มีสถานที่ใดที่สามารถฝึกฝนความแข็งแกร่งได้บ้างรึ ? ข้าต้องการฝึกฝน”
หลิงอวิ๋นผงะไปครู่หนึ่ง เขากล่าวอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “เมืองชางเฟิงแห่งนี้ ดูเหมือนว่า… จะไม่มีสถานที่ใดที่เหมาะสมกับการฝึกของคุณชายมู่ซี”
หลิงอวิ๋นเป็นผู้ที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย การหลบสายตาของเขาและคำกล่าวที่อ้ำอึ้งของเขานั้นทำให้โดนจับได้
ในเวลานี้เอง เสี่ยวชีผู้ที่ดูเหมือนภูตผีปีศาจไร้ตัวตนมานานก็ปริปากกล่าวขึ้น “นายท่าน มีสถานที่แห่งหนึ่งที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วขึ้นได้ ที่แห่งนั้น…”
“เจ้า…” หลิงอวิ๋นเบิกตากว้างถลึงตามองชายหนุ่มที่ดูงดงามยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น เขาจะบอกรึ ? อย่าปริปากบอกเชียว!
“ลานประลองยุทธ์ใต้ดิน”
มู่เฉียนซีอึ้งงัน “ลานประลองยุทธ์ใต้ดิน… เสี่ยวชี เจ้าเคยไปแล้วรึ ?”
“อืม น่าจะประมาณเจ็ดแปดปีก่อนกระมัง”
เวลานี้หลิงอวิ๋นมองเสี่ยวชีราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาดก็มิปาน ไปลานประลองเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ครานั้นเขาอายุเท่าไหร่กัน ?!
มู่เฉียนซีเอง นางก็ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวชีจะเคยไปลานประลองยุทธ์ใต้ดินมาแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้นำหลิงอวิ๋น เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับลานประลองใต้ดินนั่นดีกว่าเสี่ยวชี บอกข้อมูลเกี่ยวกับลานประลองใต้ดินนั่นกับข้าเถอะ”
หลิงอวิ๋นกล่าวอย่างจำใจ “เป็นเพราะว่าเมืองชางเฟิงของเราอยู่ติดกับเทือกเขาชีชง ผู้คนที่นี่จึงต้องมีพลังความแข็งแกร่งที่เพียงพอ อีกอย่างก็ต้องต่อสู้ ดังนั้นจึงได้สร้างลานประลองใต้ดินขึ้นมา”
“ที่ลานประลองใต้ดินแห่งนี้ หากผู้ใดชนะ แน่นอนว่าก็จะได้รับการแก้แค้นมากมายหลายรูปแบบ แต่หากแพ้ก็อาจจะถึงตาย ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยการนองเลือดและการสังหาร คุณชายมู่ซีไม่ควรไปที่นั่นเลย”
เด็กหนุ่มที่ใบหน้างดงามอย่างหาที่เปรียบได้ยาก ท่าทางเสมือนเป็นคุณชายสูงศักดิ์ ไม่เหมาะกับสถานที่ที่แปดเปื้อนเช่นนั้นอย่างแท้จริง
มู่เฉียนซี “เจ้ากล่าวว่าไม่เหมาะ นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้ายังไม่รู้จักข้ามากพอ”
เฟิงหลิงอวิ๋น “ลานประลองใต้ดินนั่น ส่วนมากก็จะถูกควบคุมโดยสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียน ข้าเกรงว่าหากคุณชายมู่ซีไปที่นั่นจะโดนต่อต้านเอาได้”
หากคุณชายมู่ซีผู้นี้อยู่ในกลุ่มนักผจญภัยของเฟิงหลิง สำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนก็คงจะไม่กล้าทำสิ่งใดผลีผลาม แต่หากเขาไปอาณาเขตของสำนักอวิ๋นเยียนแล้วละก็ เกรงว่า…
“เช่นนั้นข้าก็ยิ่งต้องการไปที่นั่น” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเข้ม
“เจ้า…”
เฟิงหลิงอวิ๋นรู้สึกจนปัญญากับมู่ซีผู้นี้มาก ในที่สุดเขาทอดถอนใจ กล่าวว่า “เจ้าคิดดีแล้วรึ ?”
“ข้าต้องการฝึกฝน ต้องการแข็งแกร่งขึ้น หากคนของสำนักอวิ๋นเยียนพยายามลงมือสังหารข้า นั่นก็เท่ากับเป็นแรงผลักดันให้ข้าได้แข็งแกร่งเร็วขึ้น”
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสิ่งที่นางรอคอย นางหวังว่าคนสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนจะลงมือกับนางอย่างไม่ยั้งมือ เพื่อจะทำให้นางกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น และถูกผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนางทำลายลง
มุมปากของเฟิงหลิงอวิ๋นกระตุกเล็กน้อย เขาลอบกล่าวด้วยเสียงอันเบา “เสี่ยงอันตราย วิปริต บ้าคลั่ง วู่วาม…”
มู่เฉียนซี “หากจะแข็งแกร่งขึ้นก็ต้องยอมแลก ข้ารู้ระดับของตัวเองดี”
…
ราตรีกาลผ่านพ้นไปหนึ่งคืน หลังจากที่นอนพักผ่อนแล้ว มู่เฉียนซีก็ให้เฟิงหลิงอวิ๋นไปส่งที่ลานประลองยุทธ์ใต้ดิน
ขณะที่มู่เฉียนซีเข้าไปในลานประลองใต้ดิน คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ส่งข่าวให้กับคุณหนูใหญ่อวิ๋นอี๋ทันที
อวิ๋นอี๋กล่าวอย่างตื่นเต้น “เหอะ! โง่งมนัก ช่างเป็นผู้ที่ไม่รู้จักความเป็นความตายเอาเสียเลย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะมาที่ลานประลองใต้ดินแห่งนี้ รอให้เขาถูกทรมานจนตายที่ลานประลองนี้ก่อนเถอะ ข้าผู้นี้จะสมน้ำหน้าเขาเป็นคนแรก”
.