เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1137 ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

แปลโดย iPAT

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีวิญญาณอมตะอยู่ในการครอบครอง มิฉะนั้นมันจะป้องกันท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิตได้อย่างไร?

 

หัวใจของฟางหยวนลุกไหม้ขึ้นด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้

 

เวลาเปลี่ยนไป

 

หากเป็นก่อนที่ฟางหยวนจะได้รับมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน เขาจะหลีกเลี่ยงฝูงสุนัขอินทรีย์เหล่านี้ แต่ตอนนี้ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไป

 

เขาตั้งใจจัดการสุนัขอินทรีย์ทั้งหมด!

 

‘มิติช่องว่างจักรพรรดิของข้าใหญ่มาก’ ริมฝีปากของฟาหงยวนยกตัวขึ้น

 

‘สำหรับวิญญาณอมตะของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้ ข้าจะเก็บมันไว้เช่นกัน สามารถต่อต้านท่าไม้ตายอมตะดาบประหารชีวิต ให้ข้าดูว่ามันเป็นวิญญาณอมตะสายป้องกันชนิดใด’

 

ฟางหยวนวางกลยุทธ์การต่อสู้ทันที

 

ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งเลือดไม่เหมาะสมที่จะใช้ต่อหน้ากลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน

 

พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์สีเหลืองและสามารถเรียนรู้ความน่ากลัวของเส้นทางแห่งเลือด พวกเขาไม่เหมือนผู้อมตะที่โง่เขลาในถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน

 

แม้ฟางหยวนจะสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะของไห่ฟาน แต่เขาก็ต้องรอบคอบ สิ่งสำคัญก็คือเขายังไม่ได้ฝึกฝนจนมีความชำนาญที่มากพอ หากล้มเหลว เขาจะได้รับผลกระทบย้อนกลับ

 

ดังนั้นฟางหยวนจึงเลือกวิธีที่เขาถนัดที่สุด

 

ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งทาสและความแข็งแกร่ง หมื่นตัวตน!

 

ในเวลาต่อมาภูตมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

“อา…” กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกพูดไม่ออก

 

ผมที่หกแสดงออกด้วยความตกตะลึงแต่ภายในเขาไม่แปลกใจ

 

เขารู้เกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนมานานแล้ว

 

แต่ในไม่ช้ารูม่านตาของผมที่หกก็หดเล็กลง เขาอุทาน “เขา…เขาหายไป!?”

 

ในการรับรู้ของผมที่หก ฟางหยวนหายตัวไปอย่างสมบูรณ์

 

ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยซ่อนตัวอยู่ในกองทัพภูตมนุษย์

 

“ไป!”

 

กองทัพภูตมนุษย์ตะโกนและพุ่งเข้าไปหาสุนัขอินทรีย์บรรพกาลราวกับสายฝน

 

ดวงตาของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลส่องประกายขึ้น มันกระพือปีกทำให้เกิดเป็นเงาสีดำเป็นชั้นๆ

 

ความเร็วของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน มันตั้งใจล่าถอย!

 

การเคลื่อนไหวนี้อยู่ในการคาดเดาของฟางหยวน

 

เห็นได้ชัดว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีวิญญาณอมตะดวงที่สอง เงาดำเกิดจากพลังอำนาจของวิญญาณอมตะ

 

‘มีวิญญาณอมตะอีกดวง!’ ความปรารถนาของฟางหยวนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 

เขาสั่งให้กองทัพภูตมนุษย์ไล่ล่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลต่อไป

 

กองทัพภูตมนุษย์กระจายออกไปราวกับดอกไม้บานและเข้าปิดล้อมสุนัขอินทรีย์บรรพกาลเอาไว้

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลกรีดร้องและพยายามล่าถอยอีกครั้ง

 

ฟางหยวนคำนวณเส้นทางการล่าถอยของมันเอาไว้แล้ว ดังนั้นกองทัพภูตมนุษย์จึงพุ่งไปข้างหน้าราวกับมังกรวารีสะบัดหาง

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่ต้องการล่าถอยบิดตัวไปทางขวาอย่างกะทันหัน ปีกของมันดึงร่างกายพุ่งเป็นเส้นโค้งและสามารถหลบหนีจากกองทัพภูตมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์

 

กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกกระวนกระวายเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมด

 

เปรียบเทียบกับสุนัขอินทรีย์บรรพกาล พวกเขาต้องการให้ฟางหยวนได้รับชัยชนะโดยธรรมชาติ

 

แต่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีไหวพริบมาก มันสามารถหลบหนีจากการปิดล้อมของฟางหยวนได้หลายครั้ง

 

“ความเร็วของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้สูงกว่าฟางหยวนมาก แล้วพวกเขาจะตามทันได้อย่างไร?” ผมที่สิบสองสังเกตและรู้สึกหดหู่ใจ

 

อย่างไรก็ตามดวงตาของผมที่หกกลับส่องประกายขึ้น ‘ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งทาสของฟางหยวนดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อย มันกำลังจะจบลงในไม่ช้า! สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้อาจมีความเร็ว แต่มันทำได้เพียงบินไปรอบๆสนามรบ อีกไม่นานมันจะถูกจับโดยฟางหยวน’

 

สนามรบอยู่บนท้องฟ้า

 

สุนัขอินทรีย์ทั้งหมดบินขึ้นมาและต่อสู้กับกองทัพภูตมนุษย์

 

ฟางหยวนให้ความสำคัญกับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลเท่านั้น

 

‘มีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้!’

 

ฟางหยวนสามารถจัดการสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวอื่นได้อย่างง่ายดาย เขาใช้กำปั้นหมื่นตัวตนเพียงไม่กี่กำปั้นก็สามารถจับกุมพวกมัน มีเพียงสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์และสามารถมองทะลุแผนการของเขา มันยังสามารถล่าถอยและโจมตีได้ในเวลาที่เหมาะสม

 

ในที่สุดฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการปิดล้อมสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้

 

“เขาปิดล้อมมันได้จริงๆ!” ผมที่สิบสองตะโกนด้วยความยินดี

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลส่งเสียงกรีดร้องขณะกระพือปีกและกวักแกว่งกรงเล็บออกไปทุกทิศทางเพื่อโจมตีภูตมนุษย์จำนวนมาก

 

ภายในเวลาไม่กี่นาทีสถานการณ์ของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็เริ่มดีขึ้น มันกำลังจะฝ่าวงล้อมออกไป

 

แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญ

 

เนื่องจากร่างจริงของฟางหยวนลอบเข้าประชิดตัวมันแล้ว

 

เมื่อเขาเข้าใกล้มันมากพอ เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืดทันที

 

ความพิเศษของท่าไม้ตายนี้คือกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจะไม่รั่วไหลออกมาเมื่อกระตุ้นใช้งาน

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลกรีดร้องอย่างน่าสังเวชเมื่อมันถูกลอบโจมตี

 

เกิดรูปรากฏขึ้นบนลำคอของมันและมีเลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ

 

แต่ในพริบตาเลือดก็หยุดลง บาดแผลของมันได้รับการเยียวยาและหายเป็นปกติ

 

ร่างกายของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกปกคลุมด้วยเงาสีดำอีกครั้ง นี่ทำให้ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า มันพุ่งเข้าโจมตีศัตรูอย่างดุเดือดด้วยปีกและกรงเล็บ

 

“บึม!”

 

ภูตมนุษย์จำนวนมากถูกทำลายโดยไม่สามารถต่อต้าน

 

กระทั่งร่างจริงของฟางหยวนยังถูกส่งลอยกลับหลัง

 

แต่ด้วยอาภรณ์เลือด เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก

 

“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”

 

“มีกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจำนวนมากรั่วไหลออกมาจากสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้!”

 

ผมที่สิบสองและคนอื่นๆอุทานด้วยความตกใจ

 

ดวงตาของผมที่หกเบิกกว้างขึ้นเช่นกัน  เขากล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้! มันสามารถใช่ท่าไม้ตายอมตะงั้นหรือ?”

 

พลังอำนาจชนิดนี้และกลิ่นอายของวิญญาณอมตะจำนวนมากบ่งบอกว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้ขัดต่อหลักการทั่วไปของโลกผู้อมตะ

 

สัตว์อสูรมีสติปัญญาเพียงพอที่จะกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ!

 

ฟางหยวนถูกส่งลอยกลับหลัง แม้เขาจะหลีกเลี่ยงการโจมตีโดยตรง แต่เขายังได้รับผลกระทบ

 

เขามองสุนัขอินทรีย์บรรพกาลด้วยดวงตาส่องประกาย ‘เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกแปลกๆ สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้คือผู้มอตะ!’

 

เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ป่าจะมีความฉลาดถึงระดับที่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ!

 

ผมที่หกไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้เพราะเขาไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

 

ฟางหยวนมีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดา

 

ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงบางคนเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาล แต่เนื่องจากเขาเปลี่ยนร่างบ่อยเกินไปหรือนานเกินไป สุดท้ายเขาจึงไม่สามารถย้อนกลับสู่ร่างมนุษย์และกลายเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่แท้จริง

 

เช่นเดียวกับการหลอมรวมวิญญาณ ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงเมื่อพวกเขาเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งอื่น

 

ในประวัติศาสตร์กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องหายาก

 

การต่อสู้นี้เป็นการพิสูจน์การคาดเดาของฟางหยวน

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลยังมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง นี่ทำให้มันมีไหวพริบและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม

 

แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ผู้อมตะ มันไม่มีสติปัญญาของมนุษย์ที่แท้จริง มันไม่สามารถทำความเข้าใจการต่อสู้และไม่สามารถใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อน

 

เมื่อมันต่อสู้ มันจะใช้วิญญาณอมตะเป็นหลัก เมื่อมันตกสู่สถานการณ์แห่งชีวิตและความตาย สัญชาตญาณของมันจะกระตุ้นให้มันใช้ท่าไม้ตายอมตะออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

ก่อนหน้านี้ฟางหยวนเคยใช้ท่าไม้ตายอมตะลอบสังหารในความมืดเพื่อแทงทะลุศีรษะของมัน แต่ในช่วงเวลาสำคัญมันสามารถหลบและเลี่ยงการโจมตีไปที่ลำคอ!

 

เงาสีดำที่ปะทุออกมาจากร่างของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลส่งฟางหยวนบินกลับหลัง นี่คือท่าไม้ตายอมตะเช่นกัน

 

การต่อสู้เข้าสู่ทางตันเมื่อมาถึงจุดนี้

 

หากเป็นสุนัขอินทรีย์บรรพกาลทั่วไป ฟางหยวนจะจับพวกมันทั้งหมด แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่แตกต่าง สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีปัญหา

 

เมื่อใดก็ตามที่ฟางหยวนลอบโจมตีสุนัขอินทรีย์บรรพกาล มันสามารถเลี่ยงจุดตาย สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเพราะประสบการณ์ของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะได้รับความช่วยเหลือจากเจตจำนงสวรรค์

 

เดิมทีฟางหยวนตั้งใจจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว แต่แผนการนี้กลับถูกขัดขวาง

 

เสียงดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งขณะที่ภูตมนุษย์ถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่อง

 

แต่การเติมเต็มของฟางหยวนทำให้กองทัพภูตมนุษย์ยังไม่ลดลง

 

คุณภาพของพวกมันอาจไม่เท่ากัน แต่ในแง่ของปริมาณ ฟางหยวนถือว่าได้เปรียบ

 

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกโจมตีและร่วงลงมากระแทกพื้นเป็นครั้งคราว

 

“ฟางหยวน…ผู้อาวุโสฟางหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้!”

 

“แข็งแกร่งนัก!”

 

“ผู้อาวุโสฟางหยวนทรงพลังจริงๆ!”

 

ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่ถอยออกจากสนามรบไปแล้วเริ่มกล่าวถึงฟางหยวนในฐานะผู้อาวุโสโดยไม่รู้ตัว

 

การแสดงออกของผมที่สิบสองเต็มไปด้วยความตกใจและขมขื่น

 

ในความเป็นจริงเขายิ่งเข้าใจมากกว่าคนอื่นๆ

 

ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งทาสของฟางหยวนอนุญาตให้เขาควบคุมกองทัพภูตมนุษย์จำนวนมหาศาล นี่ทำให้ผมที่สิบสองรู้สึกถึงเงามืดขนาดใหญ่ที่กดทับลงมา

 

ตั้งแต่ต้นจนจบฟางหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบตลอดมา สุนัขอินทรีย์บรรพกาลไม่สามารถทำสิ่งใดเขาได้

 

‘เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ควรเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้’ ร่างจริงของฟางหยวนหยุดโจมตีและถอยกลับไป

 

เขารวบรวมสมาธิเพื่อกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอีกท่าหนึ่ง

 

เดิมทีเขาได้รับการปกป้องโดยอาภรณ์โลหิต ใบหน้าที่คุ้นเคย และภาพอนาคตสามลมหายใจ เขาลอยอยู่กลางอากาศและกระตุ้นใช้วิญญาณ บางครั้งก็เติมเต็มกองทัพภูตมนุษย์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายอมตะที่เขากำลังจะกระตุ้นใช้งานมีความซับซ้อนขณะที่เขายังไม่ได้ฝึกฝนมันจนเกิดความชำนาญ ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดโจมตีและย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่าเพื่อรวบรวมสมาธิและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายนี้

 

วิญญาณปีอมตะถูกกระตุ้นการทำงานตามมาด้วยวิญญาณระดับมนุษย์อีกจำนวนหนึ่ง

 

ท่าไม้ตายอมตะ อัญเชิญอสูรปี!

 

‘ออกมา อสูรปีบรรพกาลของข้า!’

 

“ครืน…ครืน…”

 

กลางอากาศ สายธารแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้น

 

ท่ามกลางคลื่นน้ำที่ซัดสาดอย่างไม่หยุดยั้ง ร่างหนึ่งกระโดดออกมา

 

อสูรปีเข้าสู่สนามรบ!

 

————-

พรุ่งนี้หยุด