ตอนที่ 772 เตรียมสู้

Elixir Supplier

หวังเย้าทําเพียงยิ้มเท่านั้น การที่ไม่มีใครเป็นอะไรก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นอาการท้องเสียและอาเจียนสามารถเป็นได้จากการดื่มหนักหรือกินอาหารไม่ถูกสุขอนามัยได้โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่ไม่มีใครใส่ใจว่าการดื่มร่วมกับอาหารบางอย่างจะส่งผลร้ายได้

“หมอหวัง ลองกินจานนี้ดู” พันจวินพูด

“ครับ” หวังเย้าพูด

ทั้งสามทานอาหารมื้อนี้ด้วยความพึงพอใจ พันจวินกับจงหลิวชวนต่างดื่มด้วยกันทั้งคู่

พันจวินอยากชวนหวังเย้ากับจงหลิวชวนไปร้องคาราโอเกะกันต่อหลังจากทานอาหารเสร็จแต่ทั้งสองก็ปฏิเสธไป พวกเขาไม่ชอบสถานที่วุ่นวายแบบนั้น

“ไม่เป็นไร ขับรถดีดีนะหมอหวัง” พันจวินพูด

“ผมไม่เป็นไรเพราะไม่ได้ดื่ม แต่พอย่าขับรถเลยนะครับ เรียกแท็กซี่ดีกว่า” หวังเย้าแนะ

หลังจากส่งหวังเย้ากับจงหลิวชวนกลับไปแล้ว พันจวินก็เรียกแท็กซี่ ในตอนที่เขากําลังจะขึ้นไปนั่งบนแท็กซี่ ก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านเขาไปอ้วกที่แปลงปลูกต้นไม้ใกล้
“คุณดื่มหนักเหรอครับ?” พันจวินถาม

“ไม่นะ ผมไม่ได้ดื่มเยอะเลย” เขาพูด “ผมดื่มเหล้าไปแค่แก้วเดียวเท่านั้น ปกติผมดื่มสามแก้วขึ้นไปด้วยซ้ํา ต้องเป็นเพราะอาหารแน่!”

“โอ้ ฉันว่านายน่าจะดื่มน้อยไปมากกว่า” เพื่อนของเขายื่นขวดน้ําเปล่าให้

บางทีเขาอาจจะสังจานนั้นมาเหมือนกัน พันจวินคิดในขณะที่เขาขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่เขานั้นเชื่อในคําพูดของหวังเย้าอยู่แล้ว

“หวังว่าหมอหวังจะไม่เป็นอะไรนะ” เขาพึมพํา

“กิจการที่นี่ดีมากเลยนะครับ” พันจวินพูดกับคนขับแท็กซี่

“ดีสิ ถ้ามาช่คุณจะไม่ได้โต๊ะเลย” คนขับตอบ “ถึงคนจะพูดกันว่า เศรษฐกิจเดียวนี้ไม่ค่อยดีแต่ร้านอาหารแพงๆแบบนี้กลับขายดีเป็นเทน้ําเทท่า ผมคิดว่ารัฐบาลเข้มงวดเรื่องการใช้เงินในเรื่องนี้ออาหารที่เกี่ยวกับงานแล้วแต่ไม่รู้ทําไมถึงยังเห็นมีเจ้าหน้าที่มากินกันตั้งเยอะอยู่เลย?”

“มันไม่ได้เข้มงวดอย่างที่คุณคิดหรอก” พันจวินที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดยิ้มๆ เขาดีมมากกว่าปกติเล็กน้อย

ขณะเดียวกันนั้น หวังเย้าก็กําลังขับรถกลับหมู่บ้านไปกับจงหลิวชวน
“ดื่มเยอะไปเหรอ?”หวังเย้าถาม

“นิดหน่อยครับ” จงหลิวชวนยิ้ม แล้วนวดขมับ

เขาไม่ได้ดื่มมานานแล้ว เพราะงานที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทําให้เขาไม่มีโอกาสได้ดื่มบ่อยนัก

“ปรับการหายใจของนาย” หวังเย้าพูด “พยายามหายใจตามแบบที่ผมเคยสอนมันจะช่วยให้คุณดีขึ้นได้”

ถึงเขาจะกําลังนั่งอยู่ในรถ ซึ่งต่างจากการนั่งนิ่งตามปกติ แต่จงหลิวชวนก็ พยายามปรับการหายใจของเขา เขาหายใจเข้าและออกอย่างช้าๆและลึก จังหวะการหายใจของเขาก็เปลี่ยนตามไปด้วย

“ดี เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หวังเย้าพยักหน้าในขณะที่กําลังขับรถอยู่

จงหลิวชวนมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนกังฟูพัฒนาการของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมั่นคงที่สําคัญไปกว่านั้นก็คือเขารู้ถึงความสามารถของตัวเองและไม่เคยเร่งมัน

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้าน จงหลิวชวนลงจากรถและเดินกลับบ้าน ทันทีที่เขาเดินไปถึงประตูบ้านเขาก็ได้ยินเสียงพูดของน้องสาว

“แบบนี้มันไม่ยุติธรรม! อาทําม้าหนูยุ่งไปหมดเลย!” จงอันซินบ่น

มีคนกําลังเล่นหมากรุกกับอันซิน?

เขาผลักประตูเข้าไปด้านใน และเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ภายในบ้าน

“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” จงหลิวชวนถาม

“ฉันก็แค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้นเอง” เจี่ยจื้อจายพูดด้วยรอยยิ้ม “นายดื่มมาเหรอ? ฉันคิดว่านายไม่ดื่มซะอีก นายต้องไปดื่มกับหมอหวังมาแน่ๆ แล้วทําไมถึงได้ทิ้งอันซินไว้ที่บ้านคนเดียวล่ะ?”

จงหลิวชวนมองไปรอบๆห้อง แล้วก็พบกับกล่องเคเอฟซีวางอยู่

“อันซินอยากกินไก่ทอด ฉันก็เลยซื้อมาให้” เจี้ยจื้อจายพูด

“เด็กๆไม่ควรกินของทอดมากเกินไป มันไม่ดีต่อสุขภาพ” จงหลิวชวนพูด

“หนูเข้าใจแล้วค่ะ” จงอันซินพูด

“ออกไปเดี๋ยวนี้” จงหลิวชวนพูด

“ก็ได้ๆ อันซินรอพี่ก่อน เดี๋ยวอากลับมา”เจียจื้อจายปฏิบัติกับอันซินเป็นอย่างดีราวกับว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของเขา

“ใครอนุญาตให้นายเข้ามาในบ้านของฉันกัน?” เมื่อเดินออกจากห้องมาแล้วจงหลิวชวนก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

สิ่งที่เลี้ยจื้อจายทําได้ไปสะกิดจุดสําคัญของเขาเข้าและในเวลาเดียวกันมันก็ทําให้เขากลัวเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า ถ้าเป็นคนอื่นอย่างพวกศัตรูของเขาเข้า มาในบ้านตอนที่เขาไม่อยู่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้พวกเราเป็นพวกเดียวกันอยู่นะ” เจียจื้อจายพูดด้วยท่าที่จริงจัง “อีกอย่างฉันอยากเรียนกังฟูกับหมอหวังมาตลอดถึงเขาจะไม่ยอมรับฉันเป็นศิษย์ฉันก็จะรอคอยวันที่เขาเปลี่ยนใจอันซินเป็นเด็กน่ารัก แล้วฉันก็อยากมีน้องสาวมาตลอด”

“ฉันไม่เชื่อนาย” จงหลิวชวนพูดเสียงเย็น

“ฉันพูดความจริง! ให้พระเจ้า พระอาทิตย์ แล้วก็พระจันทร์เป็นพยาน” เจียจื้อจายชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ตอนนี้ไม่มีทั้งพระจันทร์ทั้งพระอาทิตย์” จงหลิวชวนพูดเสียงเย็น

“ดูนายพูดเข้าสิ นายควรจะเปลี่ยนความคิดที่มีกับฉันได้แล้วนะ”เจี้ยจื้อจายพูด“อีกหน่อยพวกเราก็จะได้เรียนกับอาจารย์คนเดียวกันแล้วเราก็จะกลายเป็นเหมือนพี่น้องแล้วนายคิดว่าหมอหวังจะเรียงลําดับพวกเราจากอะไร? จากความสามารถหรืออายุหรือว่าจากระยะเวลาที่พวกเราเริ่มเรียนกับเขา?”

“นายจะไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไกลไปหน่อยเหรอ?” จงหลิวชวนถามแดกดัน
“เอาล่ะฉันไม่พูดแล้ว” เจียจื้อจายพูด “แล้วหมอหวังอยู่ที่ไหน?”

“เขาอยู่ที่คลินิก” จงหลิวชวนพูด

“เข้าใจแล้ว หลังฉันเล่นหมากรุกกับอันซินเสร็จแล้ว ฉันจะไปคุยกับเขา” เจี้ยจื้อจายพูดในตอนที่เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง“เรามาต่อกันเลยไหม อันซิน?”

“ค่ะ!” จงอันซินปรบมืออย่างยินดี “อาเจียเล่นนอกกติกาอีกแล้วนะคะ!”

“โอ้ อาไม่เห็นน่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด

แล้วเขาก็แพ้เกมส์นี้ แต่เขากลับมีความสุข

“อาต้องไปแล้วล่ะ ไว้คราวหน้าอาจะแวะมาอีกนะ” เจียจื้อจายพูด

“บายค่ะ อาเจีย” จงอันซินพูด

“นี่ฉันแก่ขนาดเป็นอาเธอเลยเหรอ?” เขาถาม “ฉันคิดว่าเธอจะเรียกฉันว่าพี่ซะอีก”

“พี่เหรอคะ?” จงอันซินหันไปมองจงหลิวชวน

“เรียกอาได้ เลิกเสแสร้งได้แล้วตาแก่” จงหลิวชวนพูดเสียงเย็น
เจี้ยจื้อจายใบหน้าบิดเบี้ยว เขาโบกมือให้อันซินด้วยรอยยิ้มและจากไป

“อันซิน พี่คิดว่าการเจอเขาบ่อยๆ ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะ” จงหลิวชวนพูด

“ทําไมล่ะคะ?” เธอถาม “หนูคิดว่าอาเจียใจดีมาก แล้วเขาก็บอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับพี่”

“อันซิน เธอจําที่พี่เคยบอกได้ไหม?” จงหลิวชวนถาม “อย่าเชื่อใจคนแปลกหน้าเขาดูเป็นคนดีก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความข้างในเขาจะดีไปด้วยครั้งหน้าอย่าเปิดประตูให้เขาอีกถ้าพี่ไม่อยู่บ้านเธอก็โทรหาหมอหวังหรือไม่ก็ตํารวจได้เลย”

เขาไม่รู้ว่าถ้าเจี้ยจื้อจายมาได้ยินแล้วเขาจะคิดยังไง

“สวัสดี หมอหวัง” เจียจื้อจายพูด

“สวัสดีครับ คุณมาที่นี่มีอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ตอนนี้บอสของพวกเราอยู่ที่เมืองเต๋ แล้วคนจากโพ้นทะเลพวกนั้นก็อยู่ด้วย”เจี้ยจื้อจายพูด “ฉันว่าพวกเขาคงเพิ่งจะทําข้อตกลงขนานใหญ่กันไป”

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่มาบอกนะครับ” หวังเย้าพูด

“แล้วฉันก็มีของขวัญมาให้หมอด้วย หวังว่าหมอจะชอบมัน” เจียจื้อจายหยิบหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งออกมา แล้ววางตรงหน้าหวังเย้า

คัมภีร์ชงเซวียเงิน?

หวังเย้าแปลกใจที่เห็นหนังสือเก่าเล่มนี้ ตัวหนังสือไม่ได้เห็นที่รู้จักมานัก เขาหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดดู

“อืม มันเก่ามาก” หวังเย้าพูด “ราคาเท่าไหร่เหรอครับ?”

“อะไรกัน?” เจียจื้อจายถามด้วยความแปลกใจ “หมอไม่ต้องจ่ายเงินหรอก มันเป็นของขวัญสําหรับหมออยู่แล้ว”

“ผมรับไว้ไม่ได้หรอก ขอบคุณที่เอามาให้นะครับ” หวังเย้าคืนหนังสือให้เจียจื้อจาย

“ฉันแค่อยากแสดงความขอบคุณก็เท่านั้น” เจี้ยจื้อจายพูด

“ผมไม่ได้ทําอะไรให้คุณเลย แล้วพวกเราก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันด้วย” หวังเย้าพูด“พูดตามตรง คุณควรจะมองผมว่าเป็นศัตรูของคุณด้วยซ้ํา เพราะผมเป็นคนที่ขังคุณเอาไว้ทั้งยังทําให้คุณทรมานอยู่ตั้งนาน”

“ฉันไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เจียจื้อจายพูด “ถึงฉันจะเคยอยากฆ่าหมอแต่ฉันก็เปลี่ยนใจแล้ว ตอนนี้ฉันปล่อยวางเรื่องนั้นไปแล้ว และฉันก็อยากเป็นลูกศิษย์ของนายมากจริงๆนะ”

หวังเย้ายิ้มแล้วโบกมือ “นี่เป็นหนังสือที่ดีจริงๆ ผมเคยอ่านมาก่อน ขอแนะนําให้คุณลองอ่านดูนะครับเอามันกลับไปเถอะ”

เจี้ยจื้อจายไม่ได้ดึงดันต่อ เขาเก็บหนังสือที่ได้มาอย่างยากเย็นเอาไว้

“มีเรื่องอะไรอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม

“ไม่มีแล้วล่ะ ฉันคงต้องไปแล้ว ลาก่อนหมอหวัง” เจี้ยจื้อจายพูด

“ลาก่อนครับ” หวังเย้าพูด

หลังเดินออกจากประตูมา เจียจื้อจายก็ถอนหายใจ เขาอยากเรียนรู้จากหวังเย้าแต่ก็รู้ว่าหวังเย้าไม่เชื่อในตัวเขามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากดูจากสิ่งที่เขาเคยทําลงไป

ฉันจะทํายังไงให้เขาเชื่อว่าฉันอยากเรียนกับเขาจากใจจริง? เรื่องนี้รบกวนเขามาสักพักแล้ว

เมื่อเขาออกจากหมู่บ้านมาแล้ว เขาก็กดโทรออก 10 นาทีผ่านไปก็มีรถคันหนึ่งขับมารับเขา

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?” สาวงามในรถถาม

“ฉันบอกเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่เชื่อฉัน” เจียจื้อจายพูด

“นายอยากเป็นลูกศิษย์ของเขาจริงๆเหรอ?” หญิงสาวถาม

“ฉันบอกเธอแล้วว่าฉันพูดจริง ช่างเถอะ จัดการอีกเรื่องให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”เจียจื้อจายพูด

“แล้วเขาตกลงจะทําไหม?” เธอถาม

“น่าจะตกลง ฉันเอาข้อมูลทั้งหมดให้เขาไปแล้ว” เจียจื้อจายพูด

“นายว่ามันจะได้ผลไหม?” เธอถาม

“มันต้องได้ผล

เจี๋ยจื้อจายพูด “ฉันจะใช้ชีวิตอย่างคนสวมปลอกคอหมาตลอดไป
ไม่ได้”

เขาจุดบุหรี่ แล้วหันไปมองหญิงสาวที่นั่งข้างเขา “หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จฉันจะแต่งงานกับเธอพวกเราย้ายไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วก็มีลูกด้วยกันหลายๆคน”

“อืม” เธอพูดอย่างอ่อนโยน

“กลับเมืองเต๋กันเถอะ อีกสองวันเราต้องเข้าประชุม” เจียจื้อจายพูด

รถเคลื่อนออกจากหมู่บ้าน

หวังเย้ากําลังอ่านข้อมูลที่ได้จากเจี่ยจื้อจายอยู่ในคลินิกข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคนเพียงคนเดียวบอสขององค์กรที่เขี่ยจื้อจายทํางานให้บอสมีชื่อเรียกที่เรียบง่ายว่าจางเหว่ยหวังเย้าคิดว่ามันเป็นชื่อที่คนในประเทศจีนใช้มากที่สุดแล้ว

จางเหว่ยเป็นชายใยวัยสี่สิบเขาหัวล้านเล็กน้อยและสวมแว่นตาเขาดูไม่ต่างจากเสมียนที่ทํางานในสํานักงานสักแห่งของรัฐข้อมูลเกี่ยวกับจางเหว่ยที่เขี่ยจื้อจายให้หวังเข้ามาไม่ได้ลงรายละเอียดในสิ่งที่เขาทํามากนัก ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาเพราะคนทั้งหมดที่ตายคือคนที่เคยล่วงเกินเขาเอาไว้ยังรานละเอียดถึงสิ่งที่จางเหว่ยกําลังทําอยู่ในตอนนี้ด้วยเขาค้อวัยวะมนุษย์ในตลาดมืดสิ่งนี้ถือเป็นการก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่และมันจะทําให้เขาได้รับโทษตาย