ตอนที่ 419 ตรวจ DNA กันอีกครั้ง!

คิดไม่ถึงว่ากัวเยว่หมิงจะปฏิเสธ

เหอะๆ เขาย่อมไม่กล้ายอมรับแน่!

ทันทีที่เขายอมรับว่าเขาเคยแต๊ะอั๋งซูมู่ชิงตอนเจ้าหล่อนโดนสะกดจิต

อย่าว่าแต่เย่เฉินจะไม่เอาเขาไว้เลย ถ้าซูมู่หลินเองรู้เรื่องนี้เข้า กัวเยว่หมิงคงจะกลายเป็นพิการแน่!

ดังนั้นเพื่อจะเอาตัวรอด เขาจะต้องไม่ยอมรับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เย่เฉินมองเขาแล้วย้อนถาม “คุณจะบอกว่านอกจากรูปคู่ใบนั้นแล้วคุณไม่ได้เก็บรูปใบอื่นๆ ไว้งั้นเหรอ งั้นแปลว่าก่อนที่ผมจะไปบ้านคุณมีคนจงใจเอารูปถ่ายพวกนี้ใส่ไว้ในช่องลับหัวเตียงของคุณอย่างนั้นเหรอ?”

กัวเยว่หมิงนั่งยองๆ บนพื้น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็มีท่าทีตื่นตูม “ใช่! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณใส่ความผม งั้นจะต้องเป็นฝีมือคนอื่นที่ใส่ความผมแบบนี้! ถึงแม้ว่าประตูลับบานนั้นจะอยู่แถวๆ จุดที่ผมนอนหลับ แต่ว่าต้องใช้มือผลักไม้แผ่นยาวๆ ถึงจะหยิบของด้านในได้ พูดกันตามความจริงแล้วผมไม่ได้เปิดมันออกมาดูของข้างในอย่างน้อยๆ หนึ่งปีแล้ว ผมไม่รู้เลยว่ารูปถ่ายมันเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

กัวเยว่หมิงเป็นคุณหมอทำงานยุ่งทุกวัน พอกลับบ้านหัวถึงหมอนก็หลับ ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น

แล้วอีกอย่างถ้าต้องการจะดูรูปล่ะก็ ในมือถือเขาจะต้องมีไม่จำเป็นต้องเปิดช่องลับดูทุกวัน

ดังนั้นคำพูดนี้น่าเชื่อถือและสอดคล้องกับตรรกะมากทีเดียว

พูดกันตามจริงแล้วเย่เฉินเองก็คิดว่ากัวเยว่หมิงไม่เหมือนคนโกหก!

ถ้าหากว่ากัวเยว่หมิงเป็นผู้ชายลามกอีกทั้งเป็นคนอยากจะครอบครองหญิงสาว งั้นทำไมเขาต้องสะกดจิตให้ซูมู่ชิงชอบเย่เฉินด้วยล่ะ?

ถ้าทำแบบนี้ไม่เท่ากับว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ครองคู่กับซูมู่ชิงตลอดไปหรอกหรือ?

จะให้ทำตัวเป็นคนใจกว้างไปพร้อมๆ กับเป็นคนต่ำช้านั้น การกระทำสองสิ่งนี้ออกจะขัดแย้งกัน อาจจะไม่ใช่พฤติกรรมของคนๆ เดียวกัน

“มีบางอย่างผิดปกติ…”

จู่ๆ เย่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความปิดปกติ เขาขมวดคิ้วแล้วเริ่มครุ่นคิดและสงสัยว่าตนเองกำลังติดกับของใครบางคนหรือเปล่า?

“ถ้าหากว่ากัวเยว่หมิงพูดจริง งั้นแปลว่ามีคนไปที่บ้านเขาก่อนเรา แถมยังจงใจใส่รูปถ่ายพวกนั้นเอาไว้ที่บริเวณช่องลับตรงหัวเตียงด้วย คนที่ไปตามสืบเรื่องกัวเยว่หมิงก่อนเรา…”

ทันใดนั้นเองเย่เฉินก็นึกถึงพี่ชายคนโตของเขาเย่เทียน!

เย่เทียนเองก็เคยพูดเองกับปากว่าเขาเคยตามสืบเรื่องซูมู่ชิง

ในเมื่อเคยสืบเรื่องซูมู่ชิง งั้นก็จะต้องสืบเจอกัวเยว่หมิงที่มีความสนิทสนมกับหญิงสาว

ซึ่งแปลว่าคนของเย่เทียนจะต้องเคยมารื้อบ้านของกัวเยว่หมิงแน่ๆ 100%

ส่วนเรื่องเอาลายนิ้วมือมานั้น ลูกหลานตระกูลเย่ทำเป็นกันทุกคน เพราะพวกเขาต่างก็ได้คนสอนคนเดียวกัน

ถ้าเย่เฉินเข้าบ้านของกัวเยว่หมิงได้ เย่เทียน เย่เซวียนก็เข้าไปได้เหมือนกัน

“แต่ว่าพี่ชายไม่มีทางทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล คนของพี่ใหญ่อาจจะโดนหลอกเหมือนกัน! ก่อนที่พี่ใหญ่จะไป อาจจะมีคนไปที่บ้านของกัวเยว่หมิงก่อน อาจจะถึงขนาดที่ว่าคนๆ นั้นอาจจะรู้ว่าพี่ใหญ่กำลังตาบสืบเรื่องกัวเยว่หมิงเลยจงใจเอารูปถ่ายพวกนั้นไปไว้ในบ้านของกัวเยว่หมิงเพื่อให้พี่ใหญ่เข้าใจผิด! คนๆ นั้นคือใครกันแน่นะ!”

เย่เฉินเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้จำนวนล้านแปด

แต่ว่าข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือกัวเยว่หมิงโกหก!

“ซีกวา!”

“ครับ!”

เย่เฉินเรียกหาซีกวา

เย่เฉินกล่าว “เอาตัวกัวเยว่หมิงไปไว้ที่โรงแรมเฝ้าเขาเอาไว้ ถ้ายอมพูดแล้วค่อยให้เขากินข้าว”

ซีกวามองกัวเยว่หมิงน้อยๆ แล้วกล่าว “คุณหมอกัว เชิญเถอะครับ เห็นแก่ตอนที่คุณมาคุณให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมไม่อยากลงไม้ลงมือทำร้ายคุณ”

กัวเยว่หมิงผุดลุกขึ้นอย่างหัวเสีย “เย่เฉิน ผมชอบคุณหนูซูก็จริง แต่ผมขอถามหน่อยเถอะ คุณหนูซูเป็นคนหน้าตาสะสวย แถมยังมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี ผู้ชายคนไหนจะไม่ชอบบ้าง? ถึงแม้ว่าตระกูลหัวของเราจะด้อยกว่าตระกูลซูแต่บ้านเราสามรุ่นล้วนแต่เป็นคุณหมอ ตลอดชีวิตของเรายึดมั่นในชื่อเสียงและเกียรติยศอย่างมาก! ผมกัวเยว่หมิงต่อให้ตายก็ไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้น!”

พูดจบกัวเยว่หมิงก็เดินตามซีกวาออกไป

ในห้องจึงเหลือแค่เย่เฉินและซูมู่ชิง

ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาในห้องนี้ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขของพวกเขาสองคน

ใครเองก็คาดคิดไม่ถึงว่าแต่งงานกันไปยังไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ จะเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบในวันนี้ขึ้น

เย่เฉินกล่าวกับซูมู่ชิง “ผมจะพาซือซือไปตรวจ DNA อีกรอบ”

น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของซูมู่ชิง “ซือซือเป็นลูกของคุณจริงๆ ฉันสาบานเลยว่าฉันไม่ได้บิดเบือนอะไรในรายงาน DNA อันนั้น”

เย่เฉินกล่าว “ขอโทษด้วยนะ ตอนนี้ผมไม่กล้าเชื่อใครอีกแล้ว ให้รายงานกับข้อมูลมันบอกเถอะนะ แต่ว่าต่อให้ซือซือไม่ใช่ลูกผม เป็นลูกของกัวเยว่หมิง ผมเองก็จะยังเห็นซือซือเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ผมเองหลงรักแม่หนูคนนี้แล้ว หล่อนทั้งน่ารัก มีพรสวรรค์ สะสวยแถมยังแข็งแกร่งด้วย ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะถือว่าซือซือเป็นลูกสาวของผม คุณสบายใจได้”

เมื่อเย่เฉินกล่าวจบก็เตรียมจะเดินหนีหญิงสาว

พอพูดมาถึงขนาดนี้เย่เฉินเองก็คงจะไม่อาจอยู่บ้านหลังนี้ต่อได้ ไม่มีทางร่วมเรียงเคียงหมอนกับซูมู่ชิงได้อีกแล้ว

“เย่เฉิน อย่าไปเลย…”

มือเรียวยาวนวลเนียนของซูมู่ชิงคว้านิ้วมือของเขาเอาไว้

ทว่าเย่เฉินกลับสะบัดมือหญิงสาวทิ้งอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินออกไป

หลังจากนั้นเย่เฉินก็ไปปรากฏตัวที่หน้าซือซือ

แม่หนูน้อยยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังกล่าวกับเย่เฉินอย่างใสซื่อ

“คุณพ่อ หนูไม่อยากจะไปที่นั่นแล้ว คนที่นั่นพูดจาไม่ดีเลย ซือซือไม่ชอบ!”

คราวก่อนตอนที่พวกเขาสองคนพาซือซือไป มีคนพูดจาไม่ดีใส่หล่อนกับมารดา

ดังนั้นซือซือจึงไม่ชอบที่นั่นอย่างมาก

เย่เฉินนั่งยองๆ แล้วบีบแก้มน่ารักๆ ของซือซือ

“ค่ะ เราไม่ไปที่นั่นก็ได้ เราไปเที่ยวดิสนี่ย์แลนด์ที่เทียนไห่ดีไหมคะ?”

ซือซือถาม “ดิสนี่ย์แลนด์สนุกไหมคะ?”

เย่เฉินพยักหน้ารับ “แน่นอน ดิสนี่ย์แล้วเป็นสถานที่เล่นสนุกของเจ้าหญิงแบบหนูนี่แหละ ที่นั่นมีเด็กๆ เยอะเลย มีของเล่นสนุกๆ แล้วก็มีของอร่อยๆ เยอะแยะเลยนะ”

ซือซือกระโดดโลดเต้นทันที “ได้เลยค่ะๆ หนูอยากไป!”

เย่เฉินไม่อยากจะไปศูนย์ตรวจ DNA ในเมืองหลวงเพราะอย่างไรเสียอิทธิพลในเมืองหลวงของตระกูลซูก็มีมาก

เย่เฉินเองกลับค่อนข้างเชื่อมั่นในศูนย์ตรวจ DNA ที่เทียนไห่ที่เขาเคยไปตรวจมาเมื่อคราวก่อนมากกว่า

เย่เฉินนั่งเครื่องพาซือซือมาที่ศูนย์ตรวจ DNA ที่เทียนไห่อย่างรวดเร็ว และเขาก็ได้พบกับศาสตราจารย์ก่วนอีกครั้ง

“ศาสตราจารย์ก่วน”

“คุณเย่ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ศาสตราจารย์ก่วนมองเด็กหญิงตัวน้อยข้างๆ เย่เฉินและเขาก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้

“เฮ้อ ผมล่ะหวังว่าคุณจะไม่มาหาผมอีกเลยนะครับ”

เย่เฉินกล่าว “คุณคือคนที่ผมเชื่อถือที่สุด ผมหวังว่าจะได้ผลตรวจเร็วที่สุด”

ศาสตราจารย์ก่วนพยักหน้า “สามวัน ผมขอสามวัน แล้วผมจะให้คำตอบกับคุณแน่!”