ตอนที่ 43-1 ข้าเกิดมาเพื่อแทะโลม

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

“อย่านะ!” เสียงกรีดร้องของท่านอาจารย์จื่อเวยสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

 

 

“บนร่างเจ้ายังมีกลิ่นเฉกเช่นยามนั้น” เหยียลี่ว์สวินหรูแลคล้ายไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเขา กอดขาของเขาไว้ ดมกลิ่นไปมาคล้ายจิ้งจอก “เฮ้อ เคยได้กลิ่นคนนับมิถ้วน เจ้ายังเป็นผู้ที่หอมที่สุด”

 

 

ดมกลิ่นเสร็จแล้วไปลูบเอวของเขา สองมือกางออกเปรียบเทียบไปมา ครานี้คล้ายพอใจแล้ว เอียงศีรษะยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เอวคล้ายไม่เพรียวบางเท่าข้านะ นับว่ามีสิ่งหนึ่งเหนือกว่าเจ้าแล้ว”

 

 

น่าสงสารตัวนางเองผอมหนังหุ้มกระดูก เข็มขัดของจิ่งเหิงปัวยังพันเอวนางได้ตั้งสองรอบ

 

 

เงาด้านหลังของท่านอาจารย์จื่อเวยแข็งทื่อ คล้ายกำลังสั่นเทิ้มเล็กน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวก็กำลังหัวเราะจนตัวสั่น

 

 

นี่เรียกว่าคนชั่วต้องเจอคนชั่วจัดการสินะ?

 

 

เห็นเหยียลี่ว์สวินหรูคล้ายยังอยากลูบก้นท่านอาจารย์จื่อเวย เหยียลี่ว์ฉีกระแอมเล็กน้อย เหยียลี่ว์สวินหรู “มอง” จิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง ปล่อยมือแล้ว คงกลัวว่า “น้องสะใภ้” จะตกใจ พึมพำว่า “ไม่ได้ลูบก็ไม่เป็นไร ร่างกายยังดีขนาดนี้ ข้าชอบ”

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากบอกนางว่าแท้จริงแล้วนางไม่ถือ เหอะๆ ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังจิ้มอยู่เลย!

 

 

เงาคนกะพริบติดต่อกัน เหล่าเจ็ดสังหารกลับมาแล้ว ล้อมมองจ้องอาจารย์ของพวกเขาเขม็ง คล้ายไม่เคยเห็นท่วงท่านี้ของอาจารย์ ดวงตาสว่างไสวเฉกเช่นโคมฉาย อีชีเอ่ยอย่างเสียใจยิ่งนักว่า “ปัวปัวเจ้าไม่ได้เอากระเป๋าใบนั้นออกมา หากกล่องที่วาดภาพเหมือนได้อะไรนั่นของเจ้าอยู่ด้วย จะดีเพียงใด! เช่นนี้ข้าก็วาดภาพเหมือนให้เขาได้ ภายหลังหากเขารังแกพวกเรา พวกเราก็เอาออกมาให้คนทั่วโลกหล้าเห็นว่ะฮ่าๆๆ”

 

 

“หลีกไป หลีกไป” ท่านอาจารย์จื่อเวยสลัดเหยียลี่ว์สวินหรู ท่าทางกระวนกระวาย แต่ออกแรงไม่มาก จิ่งเหิงปัวเท้าคาง ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ไอ้แก่หนังเหนียว สวินหรูเป็นคนใกล้ตายแล้ว หากเจ้ากล้าออกแรงมากไปทำให้นางตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าตายด้วย”

 

 

ท่านอาจารย์จื่อเวยคล้ายได้แรงบันดาลใจ พลันเอ่ยว่า “เจ้าปล่อยผู้ชราไป ผู้ชรารับปากว่าจะรักษาเจ้าโดยพลัน หากเจ้าไม่ยอมปล่อย เช่นนั้นก็ไม่มีหวังแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวน้ำตาไหล ท่าทางแตกต่างกันเหลือเกิน น่าสงสารนางมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังต้องหาคะแนนอย่างยากลำบากเพื่อถอนพิษ จนตอนนี้ยังวนเวียนอยู่ตรงเส้นสอบผ่าน ห่างจากเจ็ดสิบคะแนนมากนัก สวินหรูแค่ลูบไม่กี่ครั้ง ไอ้แก่หนังเหนียวก็รับปากว่าจะถอนพิษให้นางทันที รู้เช่นนี้ตัวเองก็ไปลูบบ้างตั้งนานแล้ว

 

 

“ให้เจ้ารักษาทำอะไร?” คำตอบของเหยียลี่ว์สวินหรูทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง “หายดีแล้วอยู่ได้นานเท่าใด? หายดีแล้วสมรสกับเจ้าได้หรือ? หายดีแล้วเจ้าคงวิ่งหนีไปไกลสุดขอบฟ้ากระมัง? เรื่องเช่นมีชีวิตอยู่นี้ ได้อยู่อย่างมีความสุขก็นับว่าดีที่สุดแล้ว อยู่นานขนาดนั้นทำอะไร? เจ้าอย่าโวยวาย อย่าเอ่ยวาจา ให้ข้าได้ดมอีกสักหน่อย ได้นึกถึงอีกสักหน่อย เฮ้อ ข้าคล้ายกลับสู่ยามนั้นอีกครั้งแล้ว งามเหลือเกิน ดีเหลือเกิน อย่าปริปากสิ เอ่ยคำหนึ่งข้าก็ตัดผมเจ้าครั้งหนึ่ง ข้ากำลังขาดสมบัติฝังร่วมที่ถูกใจอยู่พอดี”

 

 

จิ่งเหิงปัวอ้อมไปมองสีหน้าของท่านอาจารย์จื่อเวย ไอ้หยาๆ เหมือนจะร้องไห้แล้ว

 

 

มีความสุขจังเลย

 

 

“จิ่งเหิงปัวข้าเพิ่มคะแนนให้เจ้า ขอเพียงเจ้าช่วยข้าโยนนางออกไป โอ้ไม่ ไม่โยนออกไป เชิญลงมา ขอเพียงเชิญลงมาอย่ารบกวนข้าก็พอแล้ว” ท่านอาจารย์จื่อเวยที่คำรามทั่วโลกหล้าหยอกล้อทั่วเขาชีเฟิงไม่กล้าขยับเขยื้อน หางตาเพ่งมองจิ่งเหิงปัว “เจ้าจะเพิ่มเท่าใดก็เพิ่มเท่านั้น”

 

 

“ไม่เอา” จิ่งเหิงปัวปฏิเสธอย่างหยิ่งทะนงทันที “ข้าจะอาศัยของความสามารถตนเองได้คะแนนเต็ม เจ้าอย่ามาดูถูกข้า”

 

 

“รอให้ข้าสิ้นใจแล้ว ข้าจะลงมาเอง” เหยียลี่ว์สวินหรูกอดหลังของเขาไว้ บอกเหยียลี่ว์ฉีว่า “เสี่ยวฉี ดูเอาไว้ ชายรักเดียวกลัวหญิงตามตื๊อ หญิงใจแข็งก็กลัวชายตามตื๊อ”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเพ่งจิ่งเหิงปัว เผยซูก้าวขึ้นมาขวางไว้ จิ่งเหิงปัวเขี่ยเขาออกไปอย่างรำคาญ ความสนใจของนางอยู่บนร่างเหยียลี่ว์สวินหรูหมดแล้ว บนโลกนี้ยากที่จะมีคนจัดการท่านอาจารย์จื่อเวย ช่วยนางแก้แค้นได้ นางจะปล่อยไปได้อย่างไร?

 

 

เพียงแต่กล่าวอีกนัยหนึ่ง ด้วยวรยุทธของท่านอาจารย์จื่อเวย ไม่ว่าสวินหรูมีสภาพอย่างไร เขาอยากจะสลัดนางออกไปย่อมมีวิธี เขาไม่ได้สลัดนางออกไปเลย เพราะอะไรกัน?

 

 

ผู้ชายยอมแพ้ผู้หญิง หลายครั้งไม่ใช่เพราะว่าไม่มีวิธี แต่เพราะว่าเสียดาย

 

 

เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าในใจไอ้แก่หนังเหนียวก็มีไมตรีส่วนหนึ่งต่อสาวน้อยคนนั้นที่หันหน้าหาแสงอาทิตย์ มองทะเลเมฆทั้งวันเคียงข้างเขาตอนนั้นใช่หรือไม่?

 

 

คนเช่นไอ้แก่หนังเหนียวนั้น ท่ามกลางแววตาหลายคน คล้ายต่อต้านสังคมเป็นนิจ ทำตัวเหมือนเด็กเป็นนิจ ใช้ชีวิตสนุกสนานเป็นนิจ แต่นางรู้ว่ายิ่งเป็นคนแบบนี้ ในใจยิ่งมีความเจ็บปวดใหญ่หลวง หลายปีมานี้ เขามองทะเลเมฆทั้งวันทั้งคืนเพียงลำพังตั้งกี่ครั้ง? การอยู่เคียงข้างอย่างเงียบเชียบในวันนั้นปีนั้นมีความสำคัญต่อเขามากแค่ไหนกัน?

 

 

นางส่งสัญญาณบอกใบ้ให้ทุกคนถอยไป มอบความเป็นส่วนตัวให้สวินหรูสักหน่อย แม้สวินหรูไม่สนใจ แต่นี่เป็นความเคารพที่พวกเขาควรมอบให้

 

 

แน่นอนว่าไม่มีคนยอมไป ยากที่จะได้เห็นท่านอาจารย์จื่อเวยหมดท่า นางยอมไปเจ็ดสังหารก็ไม่ยอมไป

 

 

นางนั่งลงบนหินใหญ่ที่อยู่ฝั่งหนึ่ง เผยซูพลันตามมาด้วย พึมพำว่า “เมื่อใดเจ้าจะเป็นเช่นสวินหรูกับจื่อเวยนี้ได้ เป็นเช่นนี้กับข้าด้วยก็ดีสิ…” คิดอยู่ชั่วครู่แล้วปฏิเสธเองว่า “ไม่ได้ สตรีจะกำเริบเสิบสานขนาดนี้ไม่ได้ ต้องนุ่มนวลอ่อนหวาน เช่นนี้แล้วกัน ข้ายอมให้เจ้าเป็นเช่นนี้ครั้งเดียว ทว่าภายหลังก็ไม่ได้แล้วนะ…”

 

 

กลิ่นสุราเจือจางโชยมาเหนือศีรษะ อิงไป๋ชะโงกหน้าลงมา ใช้กระบอกสุราเคาะศีรษะของเขา เอ่ยว่า “ร่ำสุราเมามายทุกวันยังได้สติกว่าเจ้า จะให้ข้าดื่มสุราจนสิ้น เอากระบอกสุราให้เจ้าส่องแทนกระจกหรือไม่?”

 

 

“อิงไป๋เหตุใดเจ้าต้องเป็นศัตรูกับข้าตลอดเลย? ข้ากวนเจ้าแหย่เจ้าที่ใดกัน?” เผยซูกระโดดขึ้นไปต่อสู้กับอิงไป๋แล้ว เทียนชี่กำลังรวบผมอยู่ฝั่งหนึ่ง พึมพำอย่างเหยียดหยามว่า “ทั้งรักทั้งแค้น” ซ้ำยังมองทางนั้นด้วยสายตาแพรวพราว เอ่ยว่า “เฮ้ สวินหรูตัดผมสักหน่อยสิ! ตัดสิ! ข้าอยากได้ผมของเจ้าผู้ชรามานานแล้ว ตัดออกมาเปลี่ยนกับผมของข้า เส้นผมของข้านี้แห้งกร้านตลอดเลย…” เอ่ยจบจะให้จิ่งเหิงปัวดูเส้นผมที่แตกปลายของเขา

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนขึ้น หลบไปอีกฝั่งหนึ่งของหินใหญ่ กลัดกลุ้มว่าเทียนชี่ติดตามนางนับว่าดีจริงหรือเปล่า? หลังจากที่ไม่มีคนเหยียดหยามเขา เขาค่อยๆ ลืมที่จะพยายามเป็นผู้ชาย ยิ่งเหมือนผู้หญิงมากขึ้นทุกวัน

 

 

คนอีกหนึ่งคนนั่งลงข้างกาย กลิ่นอายลมหนาวแดดอุ่นที่คุ้นเคย นางไม่ได้ขยับเขยื้อน กอดเข่ากระซิบว่า “ลำบากแล้ว”

 

 

“ก็ไม่มีอะไร” เขายิ้มแย้มเอ่ยว่า “เจ้าก็ลำบาก”

 

 

“อยากร้องไห้หรือไม่?” นางหันหน้าจ้องมองนัยน์ตาเขา “ไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็ง เจ้าแตกต่างจากสวินหรู นางเป็นพวกไม่สนใจไยดีที่แท้จริง มองทะลุปรุโปร่งแล้ว ทว่าความรู้สึกส่วนนั้นที่เจ้ามีต่อนางกลับอ่อนโยนเหลือเกิน”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย…นี่เป็นสตรีที่เขาชอบน่ะ แลคล้ายไม่สนใจไยดี แท้จริงแล้วมีความเอาใจใส่ที่นิ่มนวลที่สุดกับความอ่อนโยนที่เป็นของนางคนเดียวเสมอ

 

 

นางมักจะดีขนาดนี้ ดีขนาดนี้ ทำให้เขาอยากปล่อยก็ปล่อยไปไม่ได้

 

 

“หรือว่าเจ้ายอมให้ข้ายืมหัวไหล่ร้องไห้?” เขามองนางอย่างหยอกล้อ

 

 

จิ่งเหิงปัวยืดอกทันที ยื่นหัวไหล่ให้อย่างไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “มาสิ”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีกำลังยิ้มแย้ม ทว่าแววตาหม่นหมองลงไปเล็กน้อย

 

 

น้ำใจกว้างขวางเช่นนี้ก็เป็นความห่างเหิน สิ่งที่เขายิ่งเฝ้าปรารถนาคือได้มองเห็นความเขินอายของนาง

 

 

ความเขินอายของนางเอ๋ย…ชั่วชีวิตนี้ เขาจะรอไหวหรือไม่?

 

 

จิ่งเหิงปัวก็แค่ล้อเล่น คิดไว้แล้วว่าเขาแลคล้ายอ่อนโยนแต่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี คงไม่โน้มตัวมาจริงๆ กำลังจะชักไหล่กลับ เขาพลันเอื้อมมือปัดผมของนางอย่างแผ่วเบา หยิบใบไม้ที่ร่วงเปื้อนผมออกไป เอ่ยว่า “เดี๋ยวสระผมให้เจ้า เจ้าดูสิผมเจ้ายุ่งเหยิงเชียว”

 

 

เขาโน้มกายใกล้ชิดนัก ลมหายใจพัดผ่านข้างแก้มนางปานแพรไหม บุรุษงดงามผู้นี้ มีเพียงยามที่พบเจอนางถึงอ่อนโยนจนน่าตกใจ คล้ายกระบี่อ่อนประกายเงินที่แข็งได้อ่อนได้เล่มหนึ่ง

 

 

แต่เรือนร่างนางแข็งทื่อ

 

 

สระผม…

 

 

ส่วนลึกของอวัยวะภายในทั้งตกใจทั้งปวดร้าว กลางภวังค์เป็นแสงวสันต์ใต้เงาดอกไม้วันนั้นอีกครั้ง เห็นหญิงสาวที่นอนอยู่กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกครั้ง ผมดำของนางแกว่งไกวในอ่างทองแดง เขานั่งข้างศีรษะนาง ขยี้ผมยาวของนางอย่างเบามือ แสงเงาดุจผ้าโปร่ง แสงรุ่งอรุณสีแดงเหลือบทองอ่อนที่แผ่คลุมทั้งร่าง เสียงน้ำนิดหน่อย รอยยิ้มเจือจาง ดอกไม้บานสะพรั่ง ลมพัดผ่านแผ่วเบา

 

 

เสียงกระซิบกระซาบวนเวียนไปมา ซ้ำรอยดุจความฝันเช่นกัน

 

 

“กงอิ้น…สระผมสบายยิ่งนัก…”

 

 

“กงอิ้น วันหลังข้าจะสระผมให้เจ้า…”

 

 

“กงอิ้น…ข้าจะมีลูกลิงให้เจ้า…”

 

 

ซ้ำยังมีเสียงหนึ่งของเขา ทำลายความฝันที่ทำให้นางเคลิบเคลิ้ม

 

 

“เปลี่ยนน้ำ”